เห็นพี่สาวเริ่มเอาหินมากองทำเป็นฐานตั้งหม้อ ฉินซือหยวนก็ไปหาเศษกิ่งไม้มาทำเป็นฟืน กระท่อมน้อยในมิติมีอุปกรณ์ทำครัวครบครันแล้ว นางแค่ไปหยิบยืมออกมาใช้หั่นเนื้อหั่นผักก็เอาไปเก็บที่เดิมได้โดยไม่ผิดสังเกตอะไร ระหว่างกำลังทำอยู่นั้นนางก็คอยจับสัมผัสหลี่เจิ้นหัวไปด้วยว่าจะออกมาในเร็ว ๆ นั้นหรือไม่ หากไม่มีวี่แววจะออกมา นางจึงค่อยเข้าไปในมิติกลิ่นอาหารในหม้อหอมฉุยโชยฟุ้ง ชวนน้ำลายไหลแค่เพียงได้กลิ่น ฉินซือหยวนนำถ้วยกะลาทำเองมายืนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างหม้อ ยามขึ้นเขาเดินป่ากัน พี่สาวของเขาจะพกอุปกรณ์จำเป็นเหล่านี้มาด้วย แต่เป็นขนาดเล็กที่เด็กพกพาได้โดยไม่หนักเกินไป มีหลายครั้งที่พวกเขาทำอาหารกินเองระหว่างวัน มีอุปกรณ์พวกนี้ไว้ก็ทำให้สะดวกมากขึ้นคนน้ำแกงในหม้อไปในใจก็รู้สึกผิดสังเกตบางอย่าง ในถ้ำนี้นอกจากพวกแร่หายาก สมุนไพรชั้นเลิศ ก็ไม่พบสัตว์อสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว ราวกับมีบางอย่างไล่พวกมันออกไป กันไม่ให้เข้ามา ขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกถึงจิตคุกคามใด เหมือนถ้ำแห่งนี้เป็นฝ่ายอนุญาตให้พวกนางเข้ามาเอง“นี่ของเจ้า” ฉินหลิวซีนำถ้วยที่ทำจากกะลามะพร้าวของน้องชายมาตักแกงไก่ใส่ พวกเขาไม่ได้หุงข้าว
“ข้าจะไม่เข้าป่าสักเจ็ดวันนะ ไม่ต้องมารอที่นี่ล่ะ” เมื่อมาถึงทางแยก ฉินหลิวซีหันไปบอกกับสหายแซ่หลี่ก่อนจะแยกย้ายกันในวันนี้“เข้าใจแล้ว” อีกฝ่ายรับคำอย่างเข้าใจ ขนาดเขายังรู้สึกเหนื่อยเลย นับประสาอะไรกับนาง บางทีก็ต้องหยุดพักบ้าง“หลังจากนี้เจ็ดวันข้าจะมาหาเหมือนเดิมนะ”“ตามใจเจ้าเถอะ ข้าไม่ได้บังคับให้ต้องมาทุกวันเสียหน่อย” ถึงการมีเขาไปไหนมาไหนด้วยจะอุ่นใจ แต่ก็ไม่อยากให้คิดว่า เพราะเป็นเรื่องที่ทำประจำและรับปากนางไว้จึงไม่อาจเลี่ยงหลังจากเอ่ยลากันเรียบร้อย นางก็พาน้องชายกลับบ้าน วันต่อมาหลังจากที่ผ่านเรื่องผจญภัยในป่าไพรอัคคีนางก็ไม่ได้ออกไปที่ป่าเหมือนประจำทุกวัน หลังจากคนในบ้านออกไปทำงานจนหมด ฉินหลิวซีก็พาน้องชายเข้าไปอยู่ในมิติเรื่องที่สมควรทำในการฝึกขั้นต้นนางสอนน้องไปหมดแล้วจึงปล่อยให้เขาฝึกฝนด้วยตัวเองในห้อง ส่วนนางก็มานั่งคัดแยกสมุนไพรที่เก็บมาเมื่อวาน ปริมาณของมันมากเสียจนคิดว่า ใช้เวลาแค่วันสองวันคงไม่เสร็จระหว่างที่คัดแยกสมุนไพรนางก็จดบันทึกต้นที่ไม่เคยเห็นไว้ด้วย บางอย่างอ่านจากตำราเข้าใจได้ก็จริง แต่การจดบันทึกซ้ำก็ช่วยให้จำได้ดีกว่าเดิม เด็กหญิงขลุกอยู่ในมิติเกือบทั
ฉินหลิวซียังคงหมกตัวอยู่ในห้องตลอดจนครบเจ็ดวัน หลังจากวันที่สามที่นางไม่ออกไป บ้านสกุลฉินก็เริ่มหวั่นใจว่านางจะไม่ออกไปล่าสัตว์อีก แต่พอเข้าเช้าวันที่แปดเห็นนางเตรียมตัวออกจากบ้านก็โล่งใจ“ไม่ได้เจอพี่ชายหลี่ตั้งเจ็ดวัน ข้าคิดถึงเขามากเลย” หลังออกมาจากบ้านเด็กชายตัวน้อยก็พูดเจื้อยแจ้วเช่นนี้ตลอดทาง จนนางอดรู้สึกเอ็นดูน้องไม่ได้“เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ” นางบีบแก้มเขาด้วยความมันเขี้ยวหลังจากมาถึงที่ที่เคยนัดพบกันเป็นประจำฉินซือหยวนก็รู้สึกประหลาดใจที่วันนี้ไม่เห็นหลี่เจิ้นหัวมาก่อน“พี่ชายหลี่ยังไม่มาเลยท่านพี่”“วันนี้เขาอาจจะตื่นสายก็ได้ เรารอก่อนเถอะ”หลังจากรออยู่เกือบชั่วยามในที่สุดเด็กชายแซ่หลี่ก็วิ่งมา เห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาแต่ไกล นางก็รู้สึกไม่สบายใจไปล่วงหน้า“งะ ไง” เขาทักทายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเขาวิตกกังวลเรื่องอะไร แต่นางคิดว่ารอให้เจ้าตัวเล่าเองดีกว่า“ไปกันเถอะ” นางจับมือน้องชายเดินนำเขาเข้าไปในป่า พวกเขายังห
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่หลี่เจิ้นหัวจะเข้าป่ามาด้วยกัน พรุ่งนี้เด็กชายต้องเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมบิดา และฉินซือหยวนไม่ได้มาด้วย เพราะชิวย่าหนานหยุดงาน ผู้เป็นแม่อยากใช้เวลาอยู่กับลูกบ้าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยรั้งไว้เพราะปกติก็รู้ว่าน้องชายจะออกมากับนาง ฉินซือหยวนเป็นเด็กดีและรักครอบครัวมาก ถึงแม้จะเสียดายที่ไม่ได้มาส่งด้วยตัวเอง แต่น้องชายของนางก็ฝากของขวัญอำลามาให้“วันนี้เหลือแค่ข้ากับเจ้าสองคนเช่นนั้นสินะ”“ไม่ต่างจากปกตินักหรอก แค่ขาดความสดใสของน้องข้าไปก็เท่านั้น” นางทำท่าทางเสียดายสุดใจสวนทางกับคำพูด เอ่ยประโยคนั้นเสียงติดตลกหลี่เจิ้นหัวหัวเราะออกมาด้วยความชอบจ่าย นางไม่ปรากฏมุมนี้ให้เห็นบ่อยนัก นี่คงเป็นอีกหนึ่งสีหน้าที่เขาไม่อาจลืมเลือนไปจากใจได้“วันนี้จะทำอะไร แยกกันล่าหรือ”“แยกกันล่าลองดูไหมเล่า อาจจะคล่องตัวกว่าปกติก็ได้” นางเสนอเพราะทุกครั้งที่ผ่านมาจะต้องมีคนหนึ่งคอยดูน้องชายของนางเอาไว้ แล้วจึงค่อยมาเปลี่ยนกันออกไปหาเหยื่อหลังจากตกลงกันได้ดังนั้น พวกเขาต่างก็แยกไปคนละทาง แต่ยังเ
หลี่เจิ้นหัวเปิดฝากาน้ำดูก็พบว่าเป็นสิ่งวิเศษแน่ น้ำที่เห็นนั้นใส ไร้กลิ่น ไร้สี แต่สัมผัสถึงพลังทิพย์ได้อย่างหนาแน่น ดูล้ำค่ามากเสียจนเขาไม่กล้าถามเลยว่า นางไปได้มันมาอย่างไร ซาบซึ้งน้ำใจที่เด็กหญิงผู้นี้มอบเงินให้“ข้าจะใช้อย่างดี ขอบคุณเจ้ามาก”“พรุ่งนี้เจ้าคงต้องเดินทางแต่เช้า กลับได้แล้วกระมัง”หากมัวแต่ร่ำลากันอยู่แบบนี้คงไม่ได้ไปไหนหลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เขาเองก็ไม่อยากกลับทำทีเป็นลืมเวลาไป ไม่นึกว่านางจะเป็นฝ่ายทักขึ้นมาเอง แต่มองดูพระอาทิตย์ที่เกือบลับฟ้าไปหมดแล้ว ก็เป็นเวลาอันสมควรที่ควรกลับบ้าน“แล้วพบกันใหม่”“วาสนาได้พานพบ มีหรือรู้ได้”“มันจะเกิดขึ้นแน่ เพราะข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาเป็นพันลี้ก็ตาม”นับถือในดวงตามุ่งมั่นนั้นนะ แต่จะเป็นไปได้สักแค่ไหนกันเชียวคำถามนี้นางไม่ได้ตอบรับกลับไปอีก “ถ้าอย่างนั้นก็ไว้พบกันใหม่ ลาก่อนหลี่เจิ้นหัว”นางกล่าวคำลาราวกับจะตัดขาดจนคนฟังรู้สึกสะเทือนใจ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ
หลี่เจิ้นหัวกลับเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว ฉินหลิวซีกับน้องชายออกจะเหงาอยู่บ้าง ปกติต้องมีเด็กผู้ชายช่างถามอยู่ด้วย แต่ถึงจะไม่มีเขาก็ไม่ได้มีผลต่อชีวิตเท่าไร แค่ไม่ชินเล็กน้อย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เกือบปี ฉินหลิวซีแทบจะอยู่กับน้องชายและหลี่เจิ้นหัวตลอด พอมีอะไรขาดหายไปจึงรู้สึกแปลก ๆเด็กหญิงอยู่บ้านกับน้องชายเกือบทุกวันตั้งแต่สหายผู้นั้นจากไป นางออกไปล่าสัตว์แค่เท่าที่จำเป็น ไม่ได้อยู่ทั้งวันเหมือนก่อน“ท่านพี่ ท่านอย่าเศร้าไปเลย เล่นกับข้าก็ได้นะ” น้องชายเห็นพี่สาวสีหน้าไม่สู้ดีก็คอยชวนนางทำนั่นทำนี่ เขาคิดถึงพี่ชายหลี่ พี่สาวก็คงคิดถึงเหมือนกันเห็นน้องชายพยายามเอาใจนาง ฉินหลิวซีก็ลูบศีรษะเขาด้วยความเอ็นดู มีน้องชายอีกคนที่คอยเอาใจใส่นางเช่นนี้ก็ทำให้ความเหงาคลายลงไป ชีวิตประจำวันค่อนข้างสงบสุข หากไม่นับเสียงรบกวนที่มักจะลอยมาเข้าหูอยู่ทุกวัน คนในบ้านนี้ก็ไม่มีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่แล้ว เวลาประชดประชันก็ชอบพูดเสียงดังให้ได้ยินไปทั้งเรือนวันนี้ก็เช่นกัน“ทำไมนางถึงเอาแต่อยู่บ้านไม่ทำงานทำการ!”เสียงอาหญิงเล็กดังทะลุประตูมา ฉินซือหยวนที่เคยตกใจจนสะดุ้งตอนนี้ชินกับเสียงตวาดของคนในบ้าน
ย่าฉินเริ่มคล้อยตาม ฝันถึงอนาคตที่ถูกเป่าหูซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงได้จริงหรือไม่ ฉินหลิวซีกอดอก กลอกตาเป็นครั้งที่สองด้วยความเหนื่อยหน่าย สองคนนี้ได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน อย่างน้อยก็ดีกว่านางแน่ ๆ ต่อให้ในวันนั้นไม่มีเนื้อเลย สองคนนี้ก็ยังได้กินไข่ แต่วัน ๆ หนึ่งกลับไม่ทำอะไรนอกจากอ้างว่าต้องเตรียมตัวสำหรับสองอย่างที่ว่ามานั้น“ที่พูดมานั้นจะทำได้จริงเมื่อไหร่กันล่ะเจ้าคะ ถึงวัยอันเหมาะสมทั้งสองคนแล้วไม่ใช่หรือ ยังเห็นนอนกระดิกเท้าอยู่บ้านกันอยู่เลย”ย่าฉินได้ยินนางต่อปากต่อคำก็เริ่มฉุน “หลิวซี หัดเคารพผู้ใหญ่เสียบ้าง!”“ก็ทำตัวให้น่าเคารพเสียหน่อยสิ” นางบ่นงึมงำกับตัวเอง พวกเขาจึงไม่ได้ยิน แต่ก็รับรู้ได้ว่านางกำลังไม่เห็นหัวคนอายุมากกว่าทั้งสามคน ถึงจะไม่รู้เนื้อหาที่นางบ่นกับตัวเองก็ตาม“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ออกไปทำงาน เราได้เห็นดีกันแน่”ฉินหลิวซีคร้านจะต่อปากต่อคำจึงหันหลังกลับ พบว่าน้องชายแอบฟังอยู่ เขายื่นหน้าออกมาเพียงครึ่งเดียวแต่ไม่กล้าออกจากห้อง ฉินหลิวซีพาน้องกลับเข้าไปด้านในเพราะไม่อยากให้เขาทนฟังอะไรแสลงหูที่บ้านเริ่มบรรยากาศไม่ดีตั้งแต่นั้น เช้าวันต่อมานางจึงพาน้องชายออกไปข้างนอ
“เช่นนั้นเมื่อเจ้าไม่ชอบสิ่งใด ก็อย่าได้ทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น”“เช่นนั้น ท่านป้าชอบที่ถูกตำหนิหรือ?” เขายังคอยสงสัยอย่างหนักฉินหลิวซียิ้มมองด้วยความเอ็นดู ความใสซื่อของเด็กน้อยช่วยเยียวยาหัวใจของพี่สาวได้ดีจริง ๆ“พวกเขาไม่ได้ชอบหรอกอาหยวน พวกเขานั้นมองแค่ว่า ตนไม่ผิดจะทำอย่างไรกับใครก็ได้ ในขณะที่หากผู้อื่นทำกับตนเองเช่นนั้นก็จะโมโหและโกรธขึ้นมาเหมือนกัน”“ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลย”“โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งไม่สมเหตุสมผลนับร้อยพัน แต่ภายใต้ความไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้น ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ฟังตอนนี้อาจเข้าใจยากไปสักหน่อย เมื่อเจ้าโตขึ้นอาจค่อย ๆ เข้าใจคำที่พี่บอกนี้ทีละน้อย”เด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ ฉินหลิวซีจึงเอ่ยเสริม“ถึงจะบอกว่าหากไม่ชอบก็อย่าทำเช่นนั้นกับคนอื่น แต่ในกรณีที่เจ้าถูกรังแกมันคนละเรื่อง อย่ายอมให้ใครรังแกเจ้าได้ ทว่าเมื่อเจ้าทำผิด จงยอมรับอย่างกล้าหาญ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้”“ข้าเข้าใจแล้ว อาหยวนจะจำไว้” เด็กชายมองพี่สาวด้วยแววตานับถือ และแววตาเช่นนี้มองตามห
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เรื่องไร้สาระ ท่านอาจารย์อย่าได้ใส่ใจ”“เตรียมของพร้อมหรือยัง”นางพยักหน้าและกลับไปเอาของที่วางไว้ทั้งหมดใส่ย่าม เดินกลับออกมาพร้อมจูงมือน้องชายมาด้วย ฉินก่วงกับชิวย่าหนานเดินออกมาส่งบุตรทั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวกำชับนางหลายเรื่อง ทั้งเป็นห่วงทั้งอยากจะรั้งไว้ แต่ก็หักห้ามตนเอง“เดี๋ยวข้ากับน้องจะกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”“ลาก่อนขอรับ” ฉินซือหยวนกอดท่านพ่อท่านแม่เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เจอทั้งสองคนอีกนาน“เดินทางปลอดภัยนะ”พวกเขามาส่งลูก ๆ ถึงหน้าประตูเมือง ยืนมองจนกระทั่งแผ่นหลังของทั้งสามคนหายลับไปจากสายตาสองสามีภรรยากลับมาบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว คิดว่าพวกตนต้องเหงาแน่ ฉินก่วงโอบไหล่ภรรยาด้วยต้องการจะปลอบประโลมนาง เขายังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทำให้นางต้องเหงาจนเกินไปแน่ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ความสงบที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้พบเจอกลับมลายหายไป“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวดี! ข้าหรืออุตส่าห์กำชับไว้แล้ว ทำไมเด็กพวกนั้นไม่พาอาสี่ของตนไปด้วยฉินซือหยวนก็ไม่อย
“เจ้าตัวดี เดี๋ยวนี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะ” นางบีบแก้มหลานสาวเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ฉินซือหยวนเห็นพี่สาวทำแล้วท่านน้าชอบใจก็เลียนแบบ กลายเป็นหลานทั้งสองติดน้าหญิงเล็กแจเสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้พวกที่ได้ยินรู้สึกพองฟูในหัวใจตามไปด้วยชีวิตประจำวันดำเนินไปเช่นนี้ไม่แตกต่าง เวลาผันผ่านจากวันที่อาจารย์จากไป รวมแล้วห้าเดือนอย่างที่เคยบอก ในที่สุดหมอเทวดาก็หวนกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง“คารวะท่านอาจารย์ เดินทางครั้งนี้คงเหนื่อยแย่สินะเจ้าคะ”บ้านหลังเดิมที่เขาเคยเช่าอยู่ ตอนนี้ปัดฝุ่นไว้จนสะอาดด้วยฝีมือของลูกศิษย์ตัวน้อยก่อนเขาจะมาถึงด้วยซ้ำ ซุนเป่ยฉีเห็นดังนั้นก็รู้สึกชอบใจมาก หัวเราะและเอ่ยชมนางออกมาเสียงดัง“ข้าไม่อยู่เพียงไม่นานก็เลื่อนขั้นได้ด้วยตัวเองแล้วหรือ ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้” เขาหรี่ตามอง ใช้ปราณเพ่งสำรวจ ระยะเวลาไม่กี่เดือนลูกศิษย์ของเขาก็เลื่อนขั้นไปอีกสองขั้นแล้ว ก้าวหน้าเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหรือผู้มีพรสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น“พ่อแม่กับน้องชายเจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากหมอเทวดาจากไปได้สองเดือน นางเหลือเวลาอีกไม่นานในการเตรียมบิดามารดาให้พร้อม ฉินหลิวซีพาบิดาเข้าป่าล่าสัตว์และฝึกฝีมือไปด้วย ฝีมือการล่าสัตว์ของบิดาดีกว่าฉินหลิวซีมาก เขาล่าได้มากกว่าสามเท่าที่ฉินหลิวซีเคยล่าสัตว์ได้เด็กหญิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันด้วยความพอใจ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ให้พวกเขาเลือกปลุกพลัง คนเรามีความสามารถ แค่อยู่ที่จะถูกค้นพบและจุดประกายเมื่อไหร่“ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าฝีมือของท่านจะหาตัวจับได้ยาก แต่ก็อย่าเพลินเกินไปจนล่าสัตว์หมดป่านะเจ้าคะ” นางเอ่ยเตือนทั้งรอยยิ้ม หัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ“พ่อจะระวังก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดายิ้มตอบ ดูเหมือนว่าการที่เขาเลือกทางนี้จะถูกต้องแล้ว เพราะบุตรทั้งสองมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นในฝีมือการล่าสัตว์อันล้ำเลิศของบิดาน้องชายก็ตื่นเต้นมากจนขอร่วมฝึกด้วย ฉินหลิวซีให้น้องชายไปฝึกเรื่องการแกะรอยและล่าสัตว์กับผู้เป็นพ่อ ส่วนนางก็มาฝึกเพลงหมัดและการเดินปราณให้แม่หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนทั้งครอบครัว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่า“ท่านพ่อ
หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
“วันนี้ขอรบกวนด้วยนะเจ้าคะ” ชิวย่าหนานกับสามีโค้งลงให้อาจารย์ของบุตรสาว นางมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือมาเป็นมารยาทซุนเป่ยฉีหันไปถามเรื่องราว จนได้ความว่าทั้งสองรู้เรื่องเพียงคร่าว ๆ หมอเทวดาพาทั้งคู่มานั่งด้านในเรือน นำน้ำชามารับรอง ทั้งสองมองดูบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างคล่องมือ“พวกท่านตัดสินใจอย่างใดหลังจากได้ฟังเรื่องที่นางพูด”“ข้ายังลังเล เพราะเงินที่เสียไปนั้นเหมือนว่าชาตินี้ข้าก็ไม่มีทางหาได้ การต้องแลกเปลี่ยนดูเป็นน้ำหนักที่มากมาย” ชิวย่าหนานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ“การแลกเปลี่ยนย่อมต้องเท่าเทียม ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านนั้นมีอยู่มากมายที่รู้สึกเสียดายกับการฝึกตน แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นผู้รู้สึกเสียดาย ก็ต้องถามความสมัครใจ สำหรับผู้อยากย้อนเวลาแต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร จึงได้คิดค้นยาเม็ดนี้ขึ้นมา ซึ่งวัตถุดิบของมันก็ไม่ใช่ว่าหาง่าย”“นั่นละขอรับ มันต้องมากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินก่วงก็รู้สึกลำบากใจไม่แพ้ภรรยา หากพวกเขาหาเงินจำนวนนั้นไม่ได้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอไปจนสิ้นอายุขัยหรือ“นางจะเป็นห่วงพวกท่านนั้นก็ไม่แปลก เพราะนางรู้ดีว่าคนที่มีวิชากั
หลังจากได้ปรึกษาซุนเป่ยฉี อาจารย์ของนางจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน และเดินทางไปยังเมืองอื่นถึงห้าเดือน รวมเวลาเกือบครึ่งปีจึงจะวนกลับมารับฉินหลิวซีเพื่อไปศึกษาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว ระหว่างนั้นนางต้องเป็นผู้ฝึกสอนการใช้ปราณให้คนในบ้าน ทว่าเรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจนักว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ หากปฏิเสธนางคงต้องเกลี้ยกล่อมหนักหน่อย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวถูกผู้อื่นรังแกตอนที่นางไม่อยู่วันนั้นหลังจากกลับมาบ้าน ฉินหลิวซีก็ขอคุยกับพ่อแม่อย่างจริงจังหลังอาหารมื้อเย็น เห็นบุตรสาวทำหน้าจริงจังพวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจ จะถามก่อนก็ไม่กล้าจึงได้แต่รอให้ฉินหลิวซีเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน“ข้ารู้สึกเป็นห่วงคนข้างหลัง การติดตามอาจารย์นั้นไม่มีทางจบในวันสองวัน นอกจากนี้อาจารย์เป็นหมอเทวดา ต้องออกเดินทางรักษาผู้คนไปตามเมืองต่าง ๆ ลูกผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องติดตามไปดูแลปรนนิบัติท่านด้วย การไปศึกษาสถานการณ์จริงย่อมต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ข้า ทว่าการจะให้ทิ้งพวกท่านไปก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” การเดินทางแต่ละครั้งอย่างเร็วสุดก็คงครึ่งปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ อย่างที่อาจารย์ของนางเล่าว่าที่เดินทางออกไปนั้นกินเวล
“เรื่องนี้ข้าก็คิดว่าจะหาเวลาไปคุยกับท่านอยู่พอดี อาจารย์ของข้าไม่ปักหลักอยู่ที่เมืองใดนาน อีกไม่นานก็จะเดินทางไปจากเมืองนี้ และข้าก็จะติดตามไปด้วย หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้บ้านเสร็จก่อนออกเดินทาง”“ข้าพอรู้อยู่ว่าสกุลฉินเป็นอย่างไร เห็นด้วยอย่างที่เจ้าว่า ข้าจะเร่งมือให้”“ขอบคุณท่านลุงที่ช่วยเหลือ” นางประสานมือก้มหน้าลงแสดงการขอบคุณ ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องแบบบ้านที่นางต้องการเพิ่มเติมจากคราวก่อน ไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปโดยเข้าไปพบหมอเทวดาครั้งหนึ่งเพื่อทักทาย“ตัดสินใจแน่แล้วหรือว่าจะไปกับข้า” ซุนเป่ยฉีได้ยินเรื่องที่คุยกันทั้งหมด แต่เขายังไม่ได้บอกนางว่ากำหนดจะออกเดินทางเมื่อใด ไม่คิดว่านางจะคาดการณ์ล่วงหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนรู้จากท่าน ย่อมต้องติดตามท่านไปแน่นอน” ฉินหลิวซีตอบรับอย่างหนักแน่น นางอยากท่องโลกกว้างใบนี้ นางเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรน่าสนใจรออยู่มากมาย เพราะที่นางอยู่เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น “ท่านพี่จะไปหรือ” ฉินซือหยวนเดินเกาะชายกางเกงผู้เป็นอาจารย์ของพี่สาวออกมา ดวงตาปรือปรอยเหมือนพึ่งตื่นจ
“ก่อเกิดลมปราณแบ่งได้เป็นระดับขั้นใหญ่ ๆ แปดขั้น สามขั้นแรกต้องผ่านขั้นย่อยเก้าขั้นจึงจะไปสู่ขั้นถัดไปได้ เมื่อไปถึงปฐพีลมปราณที่เป็นขั้นที่สี่ ต้องผ่านขั้นย่อยทั้งสิ้นห้าขั้น จึงจะไปถึงก่อกำเนิดเซียนที่เป็นขั้นห้า พวกขั้นน้อยใหญ่เหล่านี้ บางคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่อาจไปถึงได้ เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่มาถึงขั้นห้าได้นับว่ามีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์”นอกจากขั้นของผู้ฝึกตนเหล่านี้แล้ว ยังมีขั้นของสัตว์อสูรและผู้ปรุงโอสถที่นางต้องจดจำ ธาตุหลักทั้งสี่ส่งผลต่อกันอย่างไรนางก็ต้องรู้ ต่อต้านกันอย่างไรนางก็ต้องเข้าใจให้ชัดแจ้ง หากสามารถเข้าใจศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ นางอาจสามารถผสานธาตุต่าง ๆ เพื่อใช้งานได้สัตว์อสูรมีเจ็ดขั้นใหญ่ ๆ ความสามารถของมันเพราะบ่งบอกถึงความยากในการจับและเอาชนะ ก่อเกิด ก่อกำเนิด จักรพรรดิ เซียน บรรพกาล เทพ และเทวะ ในเจ็ดขั้นนี้มีเพียงสามขั้นแรกที่สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีกสิบระดับสายผู้ปรุงโอสถที่อาจารย์ของนางชำนาญก็มีความชำนาญแบ่งตามระดับขั้นเช่นกัน แต่อาจารย์บอกให้นางเรียนรู้ไปก่อน เรื่องขั้นลำดับยังไม่ต้องไปจำนักก็ได้ฉินหลิวซีเห็นด้วย บางอย่างต่อให้จำไปก็เท่านั
ทั้งสองคนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของใหม่ที่ไม่มีรอยปะรอยขาด เป็นเรื่องปกติที่ใครก็ควรได้รับแท้ ๆ แต่เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้รับของเหล่านี้ ทั้งสองรู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา ชิวย่าหนานเปลี่ยนชุดใหม่ให้บุตรชาย เห็นเขาได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ก็ยิ่งร้องหนัก แต่ไม่ได้สะอื้นให้บุตรชายได้ยินหากนางมีความสามารถพอที่จะทำได้แบบนี้ก่อนหน้านี้ก็คงดีฉินหลิวซีนำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงยื่นไปให้ผู้เป็นอาจารย์ นางเก็บเอาไว้ไม่ถึงร้อยตำลึง เพราะให้บิดาไปบ้างและยังซื้อข้าวของไปไม่น้อย“สิ่งนี้คือ?”“เงินที่ท่านอาจารย์ออกหน้าช่วยไว้ ข้าขอคืนให้เจ้าค่ะ”นี่ก็ทำให้เขาอึ้งอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะซื้อที่ดินสร้างบ้าน นี่ยังนำเงินมาคืนเขาอีก เด็กคนนี้มีเงินติดตัวอยู่เท่าไรกันแน่แต่ถามไปก็คงไม่บอกสินะ“ข้าไม่อยากรู้สึกว่า ตนเองติดหนี้บุญคุณใคร อาจารย์โปรดรับไว้ด้วย”“ก็ได้ ตามใจเจ้า” เขารับตั๋วเงินใบนั้นเก็บเข้าไปในอกเสื้ออย่างว่าง่าย เพียงเจอนางไม่กี่ครั้งก็พอจะคาดเดานิสัยนางได้แล้ว เขาต้องกา