“นี่แก... นังทราย แกปล่อยฉันได้แล้ว...” เสียงทุ้มจะไพเราะน่าฟังที่สุด ถ้ามันจะไม่ใช่ในภาวะกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และยังต้องยิ้มไปกระซิบกับคนที่กอดเขาแนบแน่นด้วย
“ฮือ... เดฟ... ฉันขอบใจแกมากที่มาหาฉัน ถึงฉันจะไม่เหลือใคร แต่ฉันก็เหลือแก ฉันดีใจจริงๆ ฮือ... เดฟ... ฉันรักแกที่สุด ฮือ...”
ใบหน้างดงามฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา คละเคล้าอยู่กับแผงอกแกร่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผละจาก เพราะท่าทางเข้มแข็งมั่นใจอย่างสุดๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อปิดบังความอ่อนแอที่ตกตระกอนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ ต้องมาพังทลายลงไม่เป็นท่าแค่ได้เห็นเขา แค่ได้เห็นแววตาเห็นใจ แววตาที่บอกเป็นนัยว่าให้เธอเข้มแข็งให้ได้ แววตาอ่อนโยนอย่างที่สุดที่เธอไม่เคยได้รับจากใครนอกจากพ่อแม่และก็เดฟ
“ทราย... นังเซาะทราย... แกรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ นังชะนีลูกครึ่ง แกกำลังทำให้ฉันเสียหาย แก...”
เดฟยิ้มพร้อมเข่นเขี้ยวเพราะเซาะทรายไม่มีทีท่าว่ากำลังฟังสิ่งที่เขาพูดสักนิด เธอยังคงร้องไห้คร่ำครวญราวเด็กสาวที่เพิ่งอกหักกับรักครั้งแรก แต่นั่นมันไม่ใช่เขานี่นาที่เป็นคนทำ
“นังทราย... ถ้าแกไม่ปล่อยฉัน ฉันจะกรี๊ดให้ถนนแหกเลยคอยดู”
เขาไม่ได้ขู่ เพราะเขาจะทำจริงถ้าในอีกชั่วอึดใจเซาะทรายยังจะบดเบียดหน้าอกน้องๆ แม่วัวนั้นกับร่างกายช่วงบนของเขาต่อไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าขนหัวลุกตั้งจนแทบจะกระโดดเต้นแรงเต้นกาด้วยความขยะแขยงหล่อนอยู่แล้ว
“อิอิ.. แค่นี้ก็ทำหวงเนื้อหวงตัวไปได้ แกน่ะเดฟ เจอผู้หญิงสักครั้งแกจะเป็นไม้แปลกป่าไปเลย”
เซาะทรายผละออกจากแผงอกที่ซึมซับเอาน้ำตาของเธอไว้จนเต็มเปี่ยม ดวงตาสวยหวานฉายแววเด็ดเดี่ยวไม่ยอมคนมองสบสายตาเพื่อนรัก เธอยิ้มทั้งสีหน้าและแววตา ก่อนที่เดฟจะยีเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเล่นหยอกเย้า เพราะความหมายที่สื่อถึงนั้นมันคือคำขอบคุณ มันคือความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อน และที่สุดนั้นคือ เพื่อนจะอยู่เคียงกันเสมอทั้งในยามมีความสุขหรือในยามที่กำลังซึมซับกับความทุกข์อย่างนี้
“ไป... ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว แกไม่ต้องทำมาอมยิ้ม เดินห่างๆ ฉันด้วย ฉันไม่ชอบให้ชะนีมาเกาะแข้งเกาะขา เข้าใจซะด้วย”
เดฟกระซิบบอกพลางหันไปยิ้มกับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจเขากับเซาะทรายเกินกว่าเหตุ ถ้าไม่เข้าใจว่ากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ คนเหล่านี้มีหวังเข้าใจว่าเขากับเซาะทรายต้องเป็นคู่รักกันแน่ๆ แต่ถึงแม้เขาจะแอ๊บแมนจนไม่มีใครจับได้นอกจากเซาะทรายที่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครเข้าใจว่า เซาะทรายเป็นคู่รักของเขา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะไปอธิบายให้หนุ่มๆ ในสต็อกฟังได้ยังไงกันว่าเขาน่ะยังคงเหมือนเดิม
“อิอิ... ฉันไม่ยอม ฉันจะเดินควงแขนแกไปอย่างนี้ แกต้องเล่นบทเป็นคู่รักที่กำลังปลอบใจที่ห่อเหี่ยวของฉันไปจนกว่าฉันจะอาการดีขึ้น ไปได้แล้วนังเดฟ ฉันร้องไห้เสียพลังงานไปเยอะ ฉันต้องการอะไรก็ได้มาเติมกระเพาะ แกนำไปเลยมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
เซาะทรายเกาะแขนเดฟไม่ยอมปล่อย ทั้งเกาะ ทั้งซบ เพราะอยากจะซุกซ่อนหยาดน้ำตาไว้ที่อ้อมกอดนี้เท่านั้น เธอไม่ได้อยากให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังร้องไห้ ทั้งที่มันอดไม่ได้ไปซะแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังมีแผงอกนี้ให้ซุกซบ แม้ว่ามันจะแอ๊บไปหน่อยก็ตาม
“นังชะนีลูกครึ่ง ฉันฝากไว้ก่อนเถอะแก นี่ฉันเห็นแก่อาหารเลิศรสที่แกจะเป็นเจ้ามือนะ ไม่งั้นแกไม่มีโอกาสได้แอ้มฉันแน่ แค่นมแม่วัวของแกมากระทบฉัน ฉันก็แทบจะต้องรีบกลับบ้านไปทั้งขัดทั้งถูให้มันสะอาดเอี่ยม จะได้ไม่ติดกลิ่นสาบสาวของแกที่หน้าอกหน้าใจฉัน ไม่ต้องเกาะฉันแน่น! นังชะนี...”
เดฟทำท่าขยะแขยงที่จู่ๆ เซาะทรายก็เขย่งขึ้นจุ๊บที่แก้มใสกิ๊กของเขา ใจจริงเขาอยากจะกรีดร้องออกมาเสียมากกว่า แต่ติดที่คนมองนี่แหละมันเลยทำอะไรก็ไม่ได้ เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ พร้อมกับลากเซาะทรายให้เดินปลิวลมออกจากตำแหน่งนี้และตามเขาให้เร็วที่สุด
เซาะทรายหัวเราะคิกคักแต่ก็ยอมเดินตามคนร่างสูงที่กึ่งลากกึ่งจูงเธอให้เดินตามอย่างเร็วรี่ “เดฟ” เป็นเพื่อนรักมากที่สุดของเธอ หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสไทยเหมือนกันกับเธอ อาจเพราะว่าแม่ของเธอและแม่ของเดฟเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อคนหนึ่งได้สามีเป็นคนฝรั่งเศสก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทย
จึงกลายเป็นว่า นอกจากแม่จะเป็นเพื่อนกันแล้วนั้น บ้านที่ฝรั่งเศสก็อยู่ไม่ไกลกันอีกด้วย ทำให้ในทุกวันหยุดสัปดาห์ทั้งสองครอบครัวจึงมักจะมีปาร์ตี้กันตลอด จนเมื่อ 10 ปีที่แล้วเมื่อพ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ก็ได้เดฟและครอบครัวนี่แหละที่คอยดูแลให้คำปรึกษา
โดยเฉพาะแม่ของเดฟนั้นถึงกับขอให้เธอไปอยู่กับท่านในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและเหมือนว่าไม่มีใคร เพราะภาษาไทยเป็นภาษาแม่ที่ให้ความอบอุ่นแก่เธอเสมอและทุกคนในบ้านก็จะพูดภาษาไทยกับเธอ เว้นแต่เดฟที่เขาจะไม่ยอมพูด เพราะเขาชอบที่จะเป็นฝรั่งเศสอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะเป็นอย่างครึ่งๆ กลางๆ เพราะแค่ความรู้สึกเป็นผู้ชายของตัวเองก็มีแค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากมีส่วนไหนมาสะกิดใจเพิ่ม
“ฌอง เซลิเซ่” ถนนที่เต็มไปด้วยความหรูหราของสินค้าและโลกแฟชั่น ถนนที่มีภัตตาคาร ร้านอาหารขนาดต่างๆ หรือแม้แต่ร้านอาหารจานด่วนให้เลือกบริโภคได้ตามรสนิยม ถนนแห่งความบันเทิงทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์หรือแม้แต่นางโชว์ และเป็นถนนที่หลากหลายไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติร้านกาแฟข้างทางดูเหมือนจะมีมากกว่าร้านรวงอื่นๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักและทอดอารมณ์มองถนนที่มีชีวิตนี้ด้วยความสุข แต่ร้านที่ลูกค้าสาวๆ จะให้ความสนใจเป็นพิเศษนั้นคงไม่พ้น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง หรือน้ำหอมแบรนด์ดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Guy Laroche, Dior, Caron, Givenchy, Rochas, Guerlain, Paco Rabanne หรือแม้แต่ Louis Vuitton เจ้าพ่อแบรนด์กระเป๋าชั้นนำของโลกที่สร้างจุดเด่นให้ร้านของตัวเองโดยไม่เลือกสถานการณ์แม้ในขณะกำลังปรับปรุงร้านอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้ากำแพงแห่งแฟชั่นที่สูงตระหง่านจนนักท่องเที่ยวต้องป้องปากร้องอุทานเบาๆ เพราะกระเป๋า Louis ใบยักษ์ไม่ต่างจากกำแพงตึกขนาดมหึมาหลากสีหลายรุ่น ที่ทางผู้ดำเนินการตกแต่งร้านนำมากั้นบดบังสายตาผู้คนที่จะมองเห็นขั้นตอนการดำเนินงานด้านในสิ่งที่เห็นยิ่งตอกย้ำว่า “ฌอง เ
เซาะทรายมองเจ้านายของเธอ ไม่สิ... ต้องเรียกว่ารุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่เธอเคยศึกษาด้านแฟชั่นมากกว่า สาวฝรั่งเศสร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่สาวลูกผสมอย่างเธอ ใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แก่กว่าเธอไม่มากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ควรจะเจรจาด้วยสักนิด เพราะกี่ครั้งแล้วที่เธอต้องพูดแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ขอปรับเงินเดือนทั้งที่มันไม่ควรที่เธอจะต้องมาพูดมาเสนอเลยสักนิด ในฐานะที่เธอเป็นดีไซเนอร์ที่สรรค์สร้างชุดชั้นในหลากคอลเล็กชั่นออกมาสร้างรายได้ให้กับร้านเป็นกอบเป็นกำ แต่เธอกลับได้เงินเดือนที่ไม่เป็นธรรม จริงอยู่ที่เงินเดือน 2000 ยูโรในปารีส สามารถกินอยู่ใช้สอยได้อย่างสบายสำหรับคนที่มีบ้าน มีรถยนต์ขับเพราะพ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้เธอพอประมาณ แต่ถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่เขาต้องเช่าบ้านอยู่ ต้องซื้อหาทุกอย่าง เงินเพียงเท่านี้คงพออยู่พอกินอย่างไม่ขัดสนเท่านั้น และหากเธอจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ใช่เอะอะก็พูดว่า “ทราย... ทรายต้องเข้าใจพี่นะ พี่ลงทุนไปกับร้านก็ตั้งมาก ไหนจะเงินเดือนคนตัดเย็บ เงินค่าวัตถุดิบ ทรายเอาไปเท่านี้ก่อนนะ ถ้าในอนาคตแบรนด์เราดังกว่านี้ พี่ค่อยให้ทรายเพิ่มนะ” “แบรนด์เรา...” คิด
“อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากใช้เงินฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ใช่ต้องประหยัดกระเหม็ดกระแหม่ ใช้จ่ายให้รู้ค่าเงิน ทั้งที่เงินที่ทรายทำไว้มันควรจะได้มากกว่านี้ หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะสมน้ำสมเนื้อกับที่ทรายสร้างเงินสร้างงานให้พี่ ไม่ใช่ว่าให้เหมือนเป็นบุญคุณ ให้เหมือนว่าทรายได้กำไรจากยอดขายของพี่รายเดือน อย่างที่พี่นำทรายไปพูดกับพนักงาน”เรื่องคับแค้นได้โล่ถูกโพล่งออกไปด้วยอารมณ์เพราะเกรซนำข้ออ้างว่าต้องจ่ายเงินปันผลกำไรจากยอดขายได้กับเธอ 50 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ เดือนทำให้ไม่สามารถขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานได้ มันน่าเจ็บใจไหมล่ะที่เงินดังกล่าวจะหมดไปกับค่าเดินทางรอบโลกของเจ้าหล่อน แทนที่เธอจะได้ใช้เงินนั้นจริงอย่างที่กล่าวอ้างแค่นั้นที่เธอพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกมาดั่งคนที่ยกภูเขาออกจากหน้าอกขนาด 36 นิ้วได้สำเร็จ เพราะแค่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่ได้สัดส่วนกับช่วงเอวคอดและสะโพกผายเธอก็ไม่ไหวจะแบกแล้ว การที่เธอแบกรับความหนักอกหนักใจมา 1 ปีเต็มก็ถือว่าหินสุดๆรอยยิ้มละมัยส่งให้กับดีไซเนอร์ฝึกหัดซึ่งเป็นผู้ช่วยให้กับเธอและคงมารอฟังผลอยู่ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกัน โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องสติ
โครเชต์ผ้าฝ้ายที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเสื้อผ้าที่สาวๆ ในย่านชนบทจะสวมใส่เพื่อปกป้องเนื้อกายจากความหนาวเหน็บ แต่เมื่อมาอยู่บนเรือนร่างนี้ทำไมถึงโดดเด่นและสร้างความร้อนรนจนเขาอยากจะไปกระชากออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเข็มขัดหนังเส้นหนาที่ช่วยขับเน้นให้อกเป็นอก เอวเป็นเอว และสะโพกก็เป็นสิ่งที่เขาวาดหวังหากจะได้ทาบฝ่ามือร้อนๆ นี้ลงไปพร้อมกระชากเข้าหากายแกร่งที่เริ่มร้องประท้วงทั้งที่ไม่ใช่เวลาสักนิด และถุงน่องนั้นล่ะให้ความอบอุ่นกับเธอพอหรือยัง เพราะถ้ายังเขาจะได้ลูบไล้ให้มันร้อนจนเธอต้องถอด แต่ท่าทางเดินเหินเรื่อยๆ อย่างมีความสุขนั้นคงบอกได้ว่าเจ้าของช่วงขาเพรียวยาวประหนึ่งนางแบบบนแคตวอล์กนี้คงไม่หนาวสักนิดทรวงอกที่เขากะขนาดได้ไม่ผิดเพราะความช่ำชองของประสบการณ์ “ของจริง” อย่างแน่นอน ยามที่เธอทิ้งน้ำหนักลงที่ปลายเท้าพร้อมกับพาตัวเองก้าวเดิน ความอวบใหญ่ขนาดสะท้านหัวใจก็เหมือนจะขยับขยายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะก้าวเดินทุกๆ ครั้งในยามนี้จินตนาการของเขาบรรเจิดไปไกลว่าหากจมูกโด่งๆ ของเขาได้คลอเคลียคลุกเคล้าใบหน้าลงไปในซอก ความหอมในบุคลิกนี้ควรจะเป็นน้ำหอมกลิ่นใดกัน “ฟีโรโมน” คือสิ่งที่เขาคิดถึง ก็เธอน่ะม
“นี่แก... นังทราย แกปล่อยฉันได้แล้ว...” เสียงทุ้มจะไพเราะน่าฟังที่สุด ถ้ามันจะไม่ใช่ในภาวะกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และยังต้องยิ้มไปกระซิบกับคนที่กอดเขาแนบแน่นด้วย“ฮือ... เดฟ... ฉันขอบใจแกมากที่มาหาฉัน ถึงฉันจะไม่เหลือใคร แต่ฉันก็เหลือแก ฉันดีใจจริงๆ ฮือ... เดฟ... ฉันรักแกที่สุด ฮือ...”ใบหน้างดงามฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา คละเคล้าอยู่กับแผงอกแกร่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะผละจาก เพราะท่าทางเข้มแข็งมั่นใจอย่างสุดๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อปิดบังความอ่อนแอที่ตกตระกอนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ ต้องมาพังทลายลงไม่เป็นท่าแค่ได้เห็นเขา แค่ได้เห็นแววตาเห็นใจ แววตาที่บอกเป็นนัยว่าให้เธอเข้มแข็งให้ได้ แววตาอ่อนโยนอย่างที่สุดที่เธอไม่เคยได้รับจากใครนอกจากพ่อแม่และก็เดฟ“ทราย... นังเซาะทราย... แกรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ นังชะนีลูกครึ่ง แกกำลังทำให้ฉันเสียหาย แก...”เดฟยิ้มพร้อมเข่นเขี้ยวเพราะเซาะทรายไม่มีทีท่าว่ากำลังฟังสิ่งที่เขาพูดสักนิด เธอยังคงร้องไห้คร่ำครวญราวเด็กสาวที่เพิ่งอกหักกับรักครั้งแรก แต่นั่นมันไม่ใช่เขานี่นาที่เป็นคนทำ“นังทราย... ถ้าแกไม่ปล่อยฉัน ฉันจะกรี๊ดให้ถนนแหกเลยคอยดู”เขาไม่ได้ขู่ เพราะเขาจะท
โครเชต์ผ้าฝ้ายที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเสื้อผ้าที่สาวๆ ในย่านชนบทจะสวมใส่เพื่อปกป้องเนื้อกายจากความหนาวเหน็บ แต่เมื่อมาอยู่บนเรือนร่างนี้ทำไมถึงโดดเด่นและสร้างความร้อนรนจนเขาอยากจะไปกระชากออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเข็มขัดหนังเส้นหนาที่ช่วยขับเน้นให้อกเป็นอก เอวเป็นเอว และสะโพกก็เป็นสิ่งที่เขาวาดหวังหากจะได้ทาบฝ่ามือร้อนๆ นี้ลงไปพร้อมกระชากเข้าหากายแกร่งที่เริ่มร้องประท้วงทั้งที่ไม่ใช่เวลาสักนิด และถุงน่องนั้นล่ะให้ความอบอุ่นกับเธอพอหรือยัง เพราะถ้ายังเขาจะได้ลูบไล้ให้มันร้อนจนเธอต้องถอด แต่ท่าทางเดินเหินเรื่อยๆ อย่างมีความสุขนั้นคงบอกได้ว่าเจ้าของช่วงขาเพรียวยาวประหนึ่งนางแบบบนแคตวอล์กนี้คงไม่หนาวสักนิดทรวงอกที่เขากะขนาดได้ไม่ผิดเพราะความช่ำชองของประสบการณ์ “ของจริง” อย่างแน่นอน ยามที่เธอทิ้งน้ำหนักลงที่ปลายเท้าพร้อมกับพาตัวเองก้าวเดิน ความอวบใหญ่ขนาดสะท้านหัวใจก็เหมือนจะขยับขยายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะก้าวเดินทุกๆ ครั้งในยามนี้จินตนาการของเขาบรรเจิดไปไกลว่าหากจมูกโด่งๆ ของเขาได้คลอเคลียคลุกเคล้าใบหน้าลงไปในซอก ความหอมในบุคลิกนี้ควรจะเป็นน้ำหอมกลิ่นใดกัน “ฟีโรโมน” คือสิ่งที่เขาคิดถึง ก็เธอน่ะม
“อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากใช้เงินฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ใช่ต้องประหยัดกระเหม็ดกระแหม่ ใช้จ่ายให้รู้ค่าเงิน ทั้งที่เงินที่ทรายทำไว้มันควรจะได้มากกว่านี้ หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะสมน้ำสมเนื้อกับที่ทรายสร้างเงินสร้างงานให้พี่ ไม่ใช่ว่าให้เหมือนเป็นบุญคุณ ให้เหมือนว่าทรายได้กำไรจากยอดขายของพี่รายเดือน อย่างที่พี่นำทรายไปพูดกับพนักงาน”เรื่องคับแค้นได้โล่ถูกโพล่งออกไปด้วยอารมณ์เพราะเกรซนำข้ออ้างว่าต้องจ่ายเงินปันผลกำไรจากยอดขายได้กับเธอ 50 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ เดือนทำให้ไม่สามารถขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานได้ มันน่าเจ็บใจไหมล่ะที่เงินดังกล่าวจะหมดไปกับค่าเดินทางรอบโลกของเจ้าหล่อน แทนที่เธอจะได้ใช้เงินนั้นจริงอย่างที่กล่าวอ้างแค่นั้นที่เธอพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกมาดั่งคนที่ยกภูเขาออกจากหน้าอกขนาด 36 นิ้วได้สำเร็จ เพราะแค่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่ได้สัดส่วนกับช่วงเอวคอดและสะโพกผายเธอก็ไม่ไหวจะแบกแล้ว การที่เธอแบกรับความหนักอกหนักใจมา 1 ปีเต็มก็ถือว่าหินสุดๆรอยยิ้มละมัยส่งให้กับดีไซเนอร์ฝึกหัดซึ่งเป็นผู้ช่วยให้กับเธอและคงมารอฟังผลอยู่ด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกัน โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องสติ
เซาะทรายมองเจ้านายของเธอ ไม่สิ... ต้องเรียกว่ารุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่เธอเคยศึกษาด้านแฟชั่นมากกว่า สาวฝรั่งเศสร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่สาวลูกผสมอย่างเธอ ใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แก่กว่าเธอไม่มากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ควรจะเจรจาด้วยสักนิด เพราะกี่ครั้งแล้วที่เธอต้องพูดแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ขอปรับเงินเดือนทั้งที่มันไม่ควรที่เธอจะต้องมาพูดมาเสนอเลยสักนิด ในฐานะที่เธอเป็นดีไซเนอร์ที่สรรค์สร้างชุดชั้นในหลากคอลเล็กชั่นออกมาสร้างรายได้ให้กับร้านเป็นกอบเป็นกำ แต่เธอกลับได้เงินเดือนที่ไม่เป็นธรรม จริงอยู่ที่เงินเดือน 2000 ยูโรในปารีส สามารถกินอยู่ใช้สอยได้อย่างสบายสำหรับคนที่มีบ้าน มีรถยนต์ขับเพราะพ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้เธอพอประมาณ แต่ถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่เขาต้องเช่าบ้านอยู่ ต้องซื้อหาทุกอย่าง เงินเพียงเท่านี้คงพออยู่พอกินอย่างไม่ขัดสนเท่านั้น และหากเธอจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ใช่เอะอะก็พูดว่า “ทราย... ทรายต้องเข้าใจพี่นะ พี่ลงทุนไปกับร้านก็ตั้งมาก ไหนจะเงินเดือนคนตัดเย็บ เงินค่าวัตถุดิบ ทรายเอาไปเท่านี้ก่อนนะ ถ้าในอนาคตแบรนด์เราดังกว่านี้ พี่ค่อยให้ทรายเพิ่มนะ” “แบรนด์เรา...” คิด
“ฌอง เซลิเซ่” ถนนที่เต็มไปด้วยความหรูหราของสินค้าและโลกแฟชั่น ถนนที่มีภัตตาคาร ร้านอาหารขนาดต่างๆ หรือแม้แต่ร้านอาหารจานด่วนให้เลือกบริโภคได้ตามรสนิยม ถนนแห่งความบันเทิงทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์หรือแม้แต่นางโชว์ และเป็นถนนที่หลากหลายไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติร้านกาแฟข้างทางดูเหมือนจะมีมากกว่าร้านรวงอื่นๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักและทอดอารมณ์มองถนนที่มีชีวิตนี้ด้วยความสุข แต่ร้านที่ลูกค้าสาวๆ จะให้ความสนใจเป็นพิเศษนั้นคงไม่พ้น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง หรือน้ำหอมแบรนด์ดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Guy Laroche, Dior, Caron, Givenchy, Rochas, Guerlain, Paco Rabanne หรือแม้แต่ Louis Vuitton เจ้าพ่อแบรนด์กระเป๋าชั้นนำของโลกที่สร้างจุดเด่นให้ร้านของตัวเองโดยไม่เลือกสถานการณ์แม้ในขณะกำลังปรับปรุงร้านอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้ากำแพงแห่งแฟชั่นที่สูงตระหง่านจนนักท่องเที่ยวต้องป้องปากร้องอุทานเบาๆ เพราะกระเป๋า Louis ใบยักษ์ไม่ต่างจากกำแพงตึกขนาดมหึมาหลากสีหลายรุ่น ที่ทางผู้ดำเนินการตกแต่งร้านนำมากั้นบดบังสายตาผู้คนที่จะมองเห็นขั้นตอนการดำเนินงานด้านในสิ่งที่เห็นยิ่งตอกย้ำว่า “ฌอง เ