ฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ในใจนึกเสียใจเป็นอย่างมากในหัวความทรงจำผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ตอนนั้นเขาพูดไปอย่างใจร้อนว่า “ไม่มีคำว่าถ้า ถึงมีฉันก็ไม่มีทางให้เขาคลอดออกมา”ตอนนั้นเธอต้องผิดหวังและอับจนหนทางมากแน่ ๆ...ฉะนั้นเธอจึงปิดบังมาตลอดจนถึงวันนี้เวินเหลียงพูดต่อ “อันที่จริงฉันโชคดีมาก ที่ฉันปิดบังเรื่องที่ตัวเองตั้งท้องมาตลอด ไม่อย่างนั้นพอมาเจอเหตุการณ์เมื่อวาน ต้องรักษาเด็กคนนี้เอาไว้ไม่ได้แน่”เธอปิดบังฟู่เจิง และปิดบังฉู่ซืออี๋กับแม่ของฉู่ซืออี๋ด้วยถ้าเสิ่นฮู่ยรู้ว่าเธอตั้งท้อง คงไม่มีทางปล่อยเด็กในท้องเธอไปในใจขงอฟู่เจิงราวกับถูกคนใช้มีดทิ่มแทงไปทีหนึ่ง เลือดไหลอยู่ตลอดเวลา“อาเหลียง ฉันรับรองกับเธอเลยว่า หลังจากนี้จะไม่มีแบบนี้อีกแล้ว...”“เรื่องหย่า...”“อาเหลียง เห็นแก่ลูกของเรา เธอให้โอกาสฉันอีกครั้งได้ไหม?”“...”เธอรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้แต่ว่าฟู่เจิง ตอนนี้เขาแยกได้อย่างชัดเจนหรือเปล่า ว่าความรู้สึกที่มีต่อเธอนั้นเป็นเพราะใส่ใจจริง ๆ หรือเพราะต้องรับผิดชอบ?หรือเป็นความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงของเขากันแ
สามวันผ่านไป เวินเหลียงออกจากโรงพยาบาลฟู่เจิงอุ้มเวินเหลียงเข้าไปในรถ หลังกลับมาถึงคฤหาสน์ก็อุ้มขึ้นไปยังห้องนอนหลักอีกครั้ง ตลอดทางไม่ให้เท้าของเวินเหลียงแตะพื้นเลยผ่านไปสองวัน เวินเหลียงแกะผ้าก๊อซที่อยู่บนหน้าออกบนหน้าหายบวมไปตั้งนานแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงรอยตกสะเก็ดสีแดงจาง ๆ สามรอยหนึ่งรอยในนั้นอยู่ตรงตำแหน่งโหนกแก้ม ขึ้นไปอีกนิด อาจบาดเจ็บไปถึงดวงตาฟู่เจิงลูบศีรษะน้อย ๆ ของเวินเหลียง ปลอบโยนอย่างถึงที่สุด “ไม่เป็นไรนะ มันจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้”เขาจะหายาลบรอยแผลเป็นและเครื่องมือที่ได้ผลที่สุดมาให้เธอสีหน้าของเวินเหลียงกลับราบเรียบ ราวกับไม่ได้สนใจนักจะบอกว่าไม่รักสวยรักงามก็ไม่จริง เพียงแต่เวินเหลียงรู้ว่า ตัวเธอนั้นไม่ใช่คนที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่าย หลังจากแผลตกสะเก็ดหลุดไป ผิวที่เกิดขึ้นมาใหม่จะอ่อนนุ่มกว่าผิวโดยรอบอยู่เล็กน้อย และขาวกว่าหน่อย ใช้รองพื้นและคอนซีลเลอร์กลบก็ได้แล้ว“ฉันจะไปหาพ่อ” เวินเหลียงเงยหน้ามองฟู่เจิงแล้วเอ่ย“ได้ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเธอเอง”ขณะที่ออกจากบ้าน เวินเหลียงสวมหน้ากากอนามัย บดบังส่วนใบหน้าของตัวเองมิดชิดฟู่เจิงอุ้มเวินเหลียงเข้
พอตื่นขึ้นมาก็เหลือเธอคนเดียวแล้วหลังเกิดเรื่อง นักข่าวก็แข่งกันรายงานข่าว ภายใต้การช่วยเหลือของคุณท่านฟู่และคนมีน้ำใจมากมาย ช่วยจัดงานศพและงานไว้อาลัยของพ่อให้ในตอนนั้น เวินเหลียงงงเป็นไก่ตาแตกไปหมด สับสนจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับหุ่นไม้ชักใยอย่างนั้นพ่อจากไปอย่างกะทันหันเกินไป เธอไม่รู้จะทำยังไง ถึงขั้นร้องไห้ไม่ออกจนกระทั่งเรื่องนี้ผ่านไปนานแล้ว ทุกเย็นวันศุกร์ เธอเลิกเรียนกลับบ้าน ระหว่างทางผ่านร้านปลาย่างแห่งหนึ่ง มองลอดผ่านกระจก เห็นข้างในร้านมีคนเดินเข้าเดินออกอย่างไม่ขาดสายในวินาทีแสนราบเรียบนั้นเอง ไม่รู้ว่ามันไปแตะเส้นประสาทเส้นไหนของเธอเข้า ในตอนที่เธอได้สติกลับมา น้ำตาก็ไหลอาบเต็มหน้าแล้วในตอนนี้ เธอถึงได้รู้สึกตัวว่า พ่อจากไปแล้วจากเธอไปตลอดกาล!หลังถูกตระกูลฟู่รับเลี้ยง เธอยังกลับไปดูห้องเล็ก ๆ ที่เธอเคยอาศัยอยู่กับพ่อบ่อย ๆ เธอคิดถึงพ่อต่อมาที่นั่นถูกรื้อถอน เธอเก็บของที่เหลือทิ้งไว้ดูต่างหน้าของพ่อกลับมาเล็กน้อยเสื้อผ้าของพ่อเวินเหลียงเผาทิ้งไปหมดแล้ว เอากลับมาแค่ของใช้ประจำวัน หนังสือและสมุดบันทึกบางส่วนเท่านั้นของทุกชิ้น ทำให้เวินเหลียงหวนนึกถึงท่าทา
วันนี้ ฟู่เจิงต้องได้เห็นเวินเหลียงกินข้าวเช้าก่อน ถึงจะไปบริษัทได้ขณะที่ฟู่เจิงไปรับสาย เวินเหลียงกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่เธอเองก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกมาให้ตัวเองสองสามเล่มเช่นกันก่อนหน้านี้กลัวว่าจะถูกฟู่เจิงรู้เข้า เธอจึงไม่ได้ไปศึกษาความรู้ในด้านนี้เลย ตอนนี้ในที่สุดก็มีเวลาสักทีมีหมายเลขชุดหนึ่งโชว์ขึ้นบนหน้าจอ โทรศัพท์ใหม่ของเวินเหลียงไม่มีสมุดรายชื่อเดิมที่อยู่ในเครื่องเก่าเธอรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ?”ปลายสายพลันมีเสียงผู้หญิงแว่วมาเสียงหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “เวินเหลียง ตอนนี้เธอคงพอใจมากใช่ไหม?! ฟู่เจิงเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเธอต่อหน้าสื่อแล้ว แถมเธอยังตั้งท้องอีก รู้สึกตัวเองโชคดีมากใช่ไหม?”เป็นอู๋หลิงฟู่เจิงดำเนินคดีกับเธอ และไล่เธอออกจากบริษัทไปแล้วแต่การดำเนินคดีนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้อู๋หลิงยังลอยนวลอยู่ในวันที่เวินเหลียงออกจากโรงพยาบาล อู๋หลิงเองก็อยู่ที่โรงพยาบาลพอดี เธอเห็นฟู่เจิงอุ้มเวินเหลียงขึ้นรถ ด้วยท่าทางระมัดระวังดูแลเป็นอย่างดีมากับตาตัวเอง มันช่างบาดตาบาดใจเธอมากจริง ๆมีสิทธิ์อะไร?
อู๋หลิงเงียบไปสักพัก ก่อนจะด่าอย่างเดือดดาลว่า “นังคนชั้นต่ำ เธอทำปากแข็งไปเถอะ! เรามาคอยดูกัน!”เธอไม่เชื่อ!เวินเหลียงต้องทำเป็นปากแข็งอยู่แน่นอน!ฟู่เจิงจะทิ้งตำแหน่งประธานของฟู่ซื่อเพื่อเธอได้ยังไงกัน?!เขาอายุยังน้อยขนาดนี้ ยืนอยู่ในตำแหน่งด้านบนของพีระมิด และมีอำนาจอยู่ในกำมือแล้ว มีหน้ามีตาระดับไหน เฉิดฉายระดับไหน!เขาจะออกไปอย่างสมัครใจได้ยังไงกัน?!หลังจากวางสายไป เวินเหลียงก็นั่งอยู่บนเตียง หวนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นของอู๋หลิงถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงทั้งหมด ตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของเหล่าประธานพวกนั้นคือใครกันนะ?ไม่มีทางเป็นคนของผู้จัดการมืออาชีพ พวกเขาไม่มีทางเชื่อใจถ้าอย่างนั้นคนที่ถูกเลือกเหลือแค่ไม่กี่คนอารองเหรอ?ถึงเขาจะเป็นประธานกรรมการของบริษัท แต่ก็สอดมือมายุ่งเรื่องกิจการของบริษัทน้อยมาก เอาแต่ยุ่งอยู่กับบริษัทลูกร้านอาหารของตัวเองอยู่ตลอด หลายวันก่อนตอนที่อาสะใภ้รองมาเยี่ยมเธอ ยังบอกว่าร้านหนึ่งในเมืองบีของอารองเกิดปัญหา อารองก็เลยเดินทางไปทำงานที่นั่นแล้วลูกพี่ลูกน้องฝ่ายพ่อก็คงเป็นไปไม่ได้ก่อนหน้านี้ฟู่เจิงเคยบอกว่าจะยกตำแหน่งให้น้อง แต่น้อง
เมื่อได้ยินดังนั้น ภายในห้องประชุมก็เงียบกริบ บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นมาเหล่าประธานแต่ละคนมองหน้ากันบางคนกระซิบกระซาบ บางคนไม่สนใจ และมีบางคนส่งสายตาให้กันประธานเกามองไปรอบ ๆ แล้วพูดขึ้นอีกว่า “แน่นอนว่า ผมไม่มีทางปฏิเสธคุณงามความดีที่ประธานฟู่เจิงมีต่อบริษัท แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง แม่ทัพคนหนึ่ง ต่อให้ก่อนหน้านี้ชนะมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ดันพ่ายแพ้ย่อยยับ จนทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย ถึงยังไงก็ต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ปัญหามากมายที่อยู่ในนั้น ล้วนเกิดจากชีวิตส่วนตัวของฟู่เจิงทั้งสิ้น ผมอยากให้ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้เข้าใจ เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ ทุกคำพูดทุกการกระทำของเขาแสดงถึงภาพลักษณ์ขององค์กร แต่เขาไม่มีทีท่าที่จะนึกถึงองค์กรเลย เอาพวกเราและผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไปไว้ตรงไหน?”เมื่อประธานเกาพูดจบ ก็มีคนพูดต่อทันที ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความลังเล “มาเปลี่ยนประธานในช่วงนี้เวลานี้ กลัวว่าบรรดาผู้ถือหุ้นคงไม่เชื่อถือและศรัทธากันง่าย ๆ แน่”“อย่างน้อยก็แสดงถึงท่าทีของเราต่อบรรดาผู้ถือหุ้น และหาคำอธิบายไปให้พวกเขาได้สักข้อ หรือว่าจะปล่อยให้พวกเขาขายหุ้นออก
“แต่ว่า ทุกท่านมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ในวันนี้ คิดว่าคงมีแนวคิดและสไตล์ที่ไม่ตรงกันกับผม ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมเองก็จะไม่บังคับ วิถีทางไม่ตรงกัน อย่ามาร่วมคิดค้นทำอะไรร่วมกัน เป็นศัตรูต่อกัน นับตั้งแต่วันนี้ไปฟู่เจิงขอลาออกจากตำแหน่งประธานและผู้จัดการทั่วไปของฟู่ซื่อ กรุ๊ป!”“แม้ว่าจะเคยประสบพบเจอกับสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ใจก็ตาม แต่ก็ต้องขอบคุณการสนับสนุนและการไว้วางใจต่อการทำงานของผมหลายปีมานี้ด้วยนะครับ แล้วก็ปีหน้าผมจะอายุสามสิบ และเป็นปีที่ผมจะได้กลายเป็นพ่อคน ภรรยาของผมกำลังตั้งท้อง ผมเองก็อยากมีเวลาและกำลังใจไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ”เหล่าประธานสีแต่ละคนสีหน้าต่างกันไปภายในห้องประชุมเงียบไปสองสามนาทีมีประธานคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ตำแหน่งประธานนี้สำหรับฟู่ซื่อ กรุ๊ปแล้วมันหมายความว่าอะไร ผมเชื่อว่าทุกคนต่างรู้ดี ประธานฟู่อย่าใช้อารมณ์ไปเลย ผมว่าเรื่องนี้ ยังไงก็มาโหวตกันดีกว่า”“ไม่จำเป็นครับ” ฟู่เจิงลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ล้อเก้าอี้เลื่อนไปข้างหลังอัตโนมัติ “จดหมายลาออกที่เป็นลายลักษณ์อักษรผมส่งไปที่อีเมลของคณะกรรมการบริษัทแล้ว ขอให้ทุกท่านอนุมัติโดยเร็วด้วยนะครับ ตรวจสอบการทำงานเรียบร้อยแ
ฟู่เจิงจ้องเธอเขม็งเขาดูเหมือนน่าสงสารและดูน้อยเนื้อต่ำใจมาก ๆ เหมือนกับเจ้าหมาที่ถูกทอดทิ้งในใจของเวินเหลียงสั่นไหวเล็กน้อย เกือบจะโดนตกเพราะท่าทางนี้ของเขาแล้วรู้ ๆ กันอยู่ว่าเขาเป็นคนขอหย่าก่อนคนที่เขารัก เดิมทีก็ไม่ใช่ตัวเธออยู่แล้วคนที่เขาชอบคือฉู่ซืออี๋เธอเองก็ไม่อยากเหนี่ยวรั้งเขาต่อไปโดยใช้ลูกมาอ้างเวินเหลียงก้มหน้า “เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่าคุณเป็นประธานของฟู่ซื่อหรือเปล่า”“ตอนนี้ฉันมีแค่เธอกับลูกแล้ว” ทันใดนั้นฟู่เจิงก็กอดเธอเอาไว้ พร้อมทั้งแนบหน้าไปที่หน้าท้องของเธอ สีหน้าอ่อนโยนอาลัยรักอย่างไม่เคยมีมาก่อนฉากประเภทนี้ เธอในเมื่อก่อนปรารถนาจะเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน เธอในอดีตทำได้ทุกอย่างเพื่อวินาทีนี้แต่ว่าในตอนนี้ใจของเธอกลับเป็นดั่งน้ำนิ่งฟู่เจิงไม่มีทางชอบเธอ เธอเองก็ไม่ยอมทำอะไรโง่ ๆ อีกต่อไปแล้ว“พอลูกคลอดออกมา คุณมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ ได้นะ”ฟู่เจิงแข็งทื่อไปทั้งตัว พลันเงยหน้ามองเวินเหลียง “หมายความว่ายังไง? ลูกคลอดออกมาแล้ว เธอก็ยังจะหย่ากับฉัน?”ไม่รอให้เวินเหลียงตอบ ฟู่เจิงก็ลุกขึ้นพรวด “เธอจะให้ลูกของฉันไปเรียกโจวอวี่ว่าพ่อเหรอ?!”“เรื่อ