ดอกแก้วเดินออกมาสูดอากาศด้านนอก เพื่อระงับอารมณ์ไม่คงที่ที่เกิดจากสตรีสองนางนั้นอย่างอ่อนล้า แต่ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกับอดีตคู่หมายเข้าโดยบังเอิญหมื่นเดชาหาญณรงค์เองก็เหมือนจะเห็นนางแล้วเช่นกัน จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหา ในตอนแรกนางคิดว่าตัวเองตาฝาดเสียอีก เพราะบุรุษตรงหน้าดูเปลี่ยนไปมาก เขาไม่สง่าผ่าเผยเช่นเก่าดอกแก้วมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ นางพอจะได้ยินมาบ้างว่าเขาประสบอุบัติเหตุต้องรักษาตัวร่วมเดือน แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะดูซูบผอมลงมากเช่นนี้ ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา บัดนี้ดูหมองคล้ำไม่มีสง่าราศี เห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วนางก็อดที่จะใจหายไม่ได้ จิตใจของนางอ่อนยวบ"แม่ดอกแก้วสบายดีหรือไม่"หมื่นเดชาหาญณรงค์เอ่ยกับสตรีตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ดูยินดีเป็นอย่างมากที่มาพบนางที่นี่ เขามีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ยกับนาง"ข้าสบายดีเจ้าค่ะ แล้วท่าน...เหตุใดจึง...เป็นเช่นนี้"ใบหน้าของบุรุษตรงหน้าที่เศร้าสลดลง ทำให้นางเกิดความรู้สึกสงสารจับใจ ในตอนนี้นางมิได้โกรธเคืองเขาอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะนางไม่ได้มีใจให้เขาเช่นชู้สาวตั้งแต่แรก แต่กลับมองอีกฝ่ายเป็นพี่ชายมาตลอด
เพียงไม่นานดอกแก้วนางก็เห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกมา ข้างกายเขายังคงเป็นแหม่มนางนั้น พวกเขากำลังร่ำลากัน สตรีนางนั้นยื่นใบหน้าขึ้นจุมพิตสันกรามเขาก่อนจะเดินแยกออกไป ดอกแก้วเม้มปากแน่น ไม่มีคำอธิบายใดจากบุรุษผู้นั้น นางเองก็ไม่ปริปากถามเช่นกัน เพียงก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเงียบๆ บรรยากาศภายในรถดูอึดอัดขึ้นทบทวี จนนางแทบจะหายใจไม่ออก ความกดดันบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างสูง เขากำลังไม่พอใจนาง นั่นคือสิ่งที่นางสัมผัสได้ แต่มันต้องเป็นนางมิใช่หรอกหรือที่ต้องมีความรู้สึกนั้น ขุนไกรบดกรามกรอด ภาพที่นางกอดกับชายอื่นทิ่มแทงใจของเขา จนเจ็บปวดทรมานไปหมด เขาพอจะได้ยินข่าวลือของชายผู้นั้นมาบ้าง ดูเหมือนชีวิตคู่ของทั้งสองจะไม่ราบรื่น ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นดูเหมือนจะไม่ดีนักและเขาพอจะได้ยินข่าวลือในทางที่ไม่ดีของเฉิดจันทร์ผ่านหูมาบ้าง ดูเหมือนว่าคราวนี้นางคงจะมิได้ตบแต่งกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน และนั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะดีนัก แม้ว่าตอนนี้สตรีนางนั้นจะยังคงอาศัยร่วมเรือนเดียวกันกับหมื่นเดชาหาญณรงค์ก็ตาม สายตาของชายผู้นั้นที่ทอดมองสตรีของเขามันลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ นางเองก็ดูจะใจอ่อนกับช
เรือนร่างงดงามที่บัดนี้นั้นเปลือยเปล่าดิ้นรนขัดขืนเขาอย่างไม่ยินยอม ท่าทางคล้ายรังเกียจเขานั้นยิ่งโหมกระพือโทสะของบุรุษเหนือร่างให้ยิ่งรุกโชน เมื่อคิดว่านางจะทิ้งเขาเพื่อกลับไปหาชายผู้นั้น ชายที่ทรยศหักหลังนาง การกระทำของเขานั้นจึงไร้ซึ่งความอ่อนโยนดอกแก้วมองความเกรี้ยวกราดของขุนไกร แววตาที่เคยมองนางอย่างรักใคร่หวงแหนบัดนี้นั้นแดงก่ำมองไม่เห็นก้นบึ้ง ภาพของเขากับแหม่มผู้นั้นลอยเข้ามาในหัวของดอกแก้วราวกับน้ำหลาก วาจาร้ายกาจของเขาที่กล่าวว่านางอื้ออึงอยู่ในหัว แล้วยังความหยาบคายที่เขากระทำต่อนางอยู่ตอนนี้ จึงทำให้ดอกแก้วอ้าปากกัดไหล่เขาเต็มแรงด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามา จนสัมผัสถึงรสฝาดของเลือดที่ซึมเข้ามาในปาก แต่นางกลับไม่คิดที่จะปล่อยแต่แล้วนางก็ต้องกรีดร้องเสียงหลง เมื่อชายผู้นั้นลุกล้ำกายนางอย่างไม่ออมแรง ทั้งๆ ที่เขายังไม่ปลดกางเกงพ้นสะโพกสอบเลยด้วยซ้ำ ราวกับจะลงโทษนางที่คิดทำร้ายเขา ความเจ็บแสบและจุกแน่นที่ได้รับทำให้นางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร"ไอ้คนสารเลว คนถ่อย คนชั่ว อึก ข้าเกลียด...อื้อ"เสียงสะอื้นไห้และก่นด่านั้นเงียบลงเมื่อริมฝีปากหนาเลื่อนมาปิดคำแสลงหูที่นางก
เรือนของหมื่นเดชาหาญณรงค์ตอนนี้นั้นก็โหมกระหน่ำไปด้วยเปลวไฟร้อน เมื่อเฉิดจันทร์นั้นนางได้ตั้งครรภ์ ความจริงมันสมควรที่จะเป็นเรื่องน่ายินดี หากหมื่นเดชาหาญณรงค์มิเปิดเผยความจริงออกมาว่าเขานั้นเป็นหมันเมื่อครั้งที่เขาประสบอุบัติเหตุหมอได้แจ้งกับเขาว่าเขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงเอวลงไปและตรงช่วงล่างนั้นได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แม้จะรักษาหายและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่เขาจะไม่สามารถมีบุตรได้ เขาเป็นหมัน ซึ่งเรื่องนี้เขามิได้บอกให้ใครทราบ แม้กระทั่งผู้เป็นมารดา เพราะกลัวว่าท่านจะวิตกกังวลถึงการมีทายาทของเขาเฉิดจันทร์รู้เช่นนั้นนางก็ไม่ยอมรับ นางด่าว่าเขา หาว่าเขานั้นโป้ปดและคิดจะใส่ร้ายนาง สาดโคลนใส่นางว่าคบชู้สู่ชายเพราะคิดที่จะกลับไปหาแม่ดอกแก้ว ประจวบเหมาะกับหม่อมผู้นั้นมาขอพบเขาและแม่เฉิดจันทร์ถึงเรือน และเปิดโปงเรื่องที่เฉิดจันทร์มีความสัมพันธ์กับสามีของตน ซึ่งหม่อมนางนั้นได้ว่าจ้างนักสืบให้สืบเรื่องนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว และยังลากตัวชู้รักของเฉิดจันทร์มาด้วย เฉิดจันทร์ที่ดิ้นไม่หลุดจำนนด้วยหลักฐานก็กรีดร้องราวกับคนเสียสติ นางวิ่งลงจากเรือนจนลื่นถลาพลัดตกบันไดสร้างความตกต
ขุนไกรเมื่อเขากลับถึงเรือนเวลาก็ล่วงเลยจนดึกดื่นแล้ว สายตาคมมองเข้าไปในเรือนใบหน้าหล่อเหลาดูกระวนกระวายเพราะทิ้งนางให้อยู่เรือนเพียงลำพัง เห็นทีเขาคงต้องหาบ่าวสักคนมาคอยอยู่เป็นเพื่อนนาง เหตุเพราะวันนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับกิจการของเขาจึงต้องเร่งจัดการให้เสร็จสิ้น แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนกลับพบว่าด้านในนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาของสตรีที่เขาคิดถึง คิ้วเข้มขมวดมุ่นก่อนหางตาจะหันไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ตรงโต๊ะหัวเตียงจึงรีบเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาอ่าน ข้อความในจดหมายทำให้ขุนไกรต้องยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นมาตบหน้าผากของตัวเองอย่างแรงพร้อมสบถออกมาอย่างหัวเสียเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ช่างเลือกวันได้ดีเยี่ยมเสียจริง เขาไพล่นึกไปถึงเสมียนที่เข้ามารายงานทันทีที่เขากลับเข้าไปในกระทรวงว่ามีสายถึงเขาแต่ปลายสายมิได้แจ้งว่าเป็นสายจากใคร จึงทำให้เขามิได้ให้ความสนใจมากนัก ตอนนี้เขานึกรู้ได้ในทันทีว่าคงจะเป็นแม่ดอกแก้วเป็นแน่ แม่ดอกแก้วจะเคืองเขาหรือเปล่านะ บิดาของนางออกจากโรงหมอแทนที่เขาจะเป็นคนพากลับเรือน เขากลับวุ่นวายอยู่กลับเรื่องอื่น ขุนไกรได้แต่ครุ่นคิดอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะตัดสินใจเข้
ขุนไกรขับรถเข้ามาจอดอยู่ด้านหน้าเรือนไม้สักทองหลังใหญ่ ก่อนจะก้าวลงไปก็หันมาไถ่ถามสตรีที่นั่งมาด้วย"เจ้าจะลงไปด้วยกันหรือไม่""ไม่ดีกว่าค่ะ เชิญตามสบาย"มิเชลเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว หากนางรู้ว่าธุระสำคัญของอีกฝ่ายคือการมาเรือนของสตรีนางนั้น นางคงไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนี้เป็นแน่ ตอนนี้จึงทำได้เพียงกระฟัดกระเฟียดอยู่เพียงลำพัง มองแผ่นหลังกว้างของบุรุษที่นางปรารถนาเดินขึ้นเรือนไปอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นักคุณพระสรเดชที่หน้าตานั้นดูสดใสขึ้นและอาการป่วยดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ท่านกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ ถึงแม้ว่าจะไม่แข็งแรงดังเก่า แต่ก็ดีมาก ยังสามารถใช้ชีวิตได้เช่นคนปกติ เพียงแค่ทำงานที่หนักเกินไปไม่ได้เท่านั้น สายตาของบุรุษชรามองสำรวจชายหนุ่มที่เข้ามาพบเขาด้วยสายตามิอาจที่จะคาดเดาความรู้สึก เขาพอจะรู้จักบุรุษหนุ่มผู้นี้มาบ้างเพราะเคยเจอกันในกระทรวงบ่อยครั้งเป็นบุรุษหนุ่มอนาคตไกลผู้หนึ่งและบุรุษผู้นี้ยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตนเอาไว้เมื่อครั้งที่มีปัญหาในบ่อน นั่นจึงทำให้คุณพระสรเดชให้การต้อนรับขับสู้อีกฝ่ายเป็นอย่างดีบุรุษต่างวัยทั้งสองต่างก็พูดคุยไถ่ถามกันด้วยความเป็นกันเอง คุณพระสรเ
"เจ้าคิดจักทำสิ่งใด"ขุนไกรเอ่ยถามสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างในทันทีที่ถอยรถออกมาจากเรือนไทยหลังใหญ่ มือหนานั้นกุมพวงมาลัยรถแน่นจนสั่นเกร็ง พยายามระงับไฟโทสะที่ก่อตัวขึ้น เขาเอ่ยเรียกแม่ดอกแก้วแต่นางกลับขึ้นรถไปกับชายผู้นั้น ไม่หันมามองเขาแม้แต่น้อย เขารู้ว่านางกำลังโกรธเคืองเขา เพราะมีใครบางคนจงใจให้นางเข้าใจเขาผิด สายตาน่ากลัวหันมองสตรีข้างกายที่ยังคงไม่สะทกสะท้าน"ฉันทำสิ่งใดคะ คุณคิดมากเกินไปแล้ว"มิเชลถึงแม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัวกับสายตาของอีกฝ่าย นางไม่เคยเห็นเขาโกรธมากเท่านี้มาก่อน แต่ก็ยังข่มอารมณ์หวาดกลัวเอ่ยตอบเขาไป ขุนไกรระบายลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เอ่ยกับสตรีด้านข้างเสียงเข้มกดต่ำ"อย่ามายุ่งเรื่องของข้าอีก ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน"กล่าวเพียงเท่านั้นขุนไกรก็เร่งเครื่องรถไปด้วยความเร็ว เขาคงต้องเร่งจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นไปเสียที จะได้ตกแต่งแม่ดอกแก้วมาเป็นภรรยา บุรุษอื่นจะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับนางอีก...เรือนท่านเศรษฐีทองคำ..."หนอย เจ้าตัวแสบ เจ้าขุนไกรราชภักดี ทำข้าเจ็บแสบนัก"เสียงเอ่ยลอดไรฟันของคุณนายสายหยุด ทำให้ผู้เป็นสามีขนพองสยองเกล้า ลองผู้เป็นภรรยาเอ่ยเรียกนามบุต
ยามเมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า หมู่นกกาบินกลับรวงรัง ม่านสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ คบไฟถูกจุดขึ้นให้แสงสว่าง ต่างคนต่างเร่งทำกิจกรรมสุดท้ายของวันก่อนจะแยกย้ายกลับเรือนใครเรือนมัน ผู้คนในเรือนของคุณพระสรเดชก็เช่นกัน เมื่อเสร็จกิจทุกอย่างต่างก็ดับฟืนดับไฟพากันเข้าห้องหับเพื่อพักผ่อน หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแต่ภายในเรือนนอนของคุณหนูของเรือนกลับยังมีแสงไฟส่องสว่าง ได้ยินเสียงสนทนาแว่วดังออกมาเป็นระยะแจ่ม บ่าวคนสนิทของดอกแก้วกำลังสางผมนุ่มสลวยของผู้เป็นนายอย่างเบามือ ยิ้มหัวฟังคำสนทนาของคุณหนูทั้งสองที่พูดคุยกันด้วยความคิดถึง ทั้งสองไม่ได้เจอกันมาแรมเดือน นางเองก็คิดถึงคุณหนูดอกแก้วเช่นกัน หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นบนเรือนดูเหมือนว่าคุณหนูของนางจะดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทั้งสามต่างพากันพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ พูดคุยเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มตามภาษาสตรี จนเมื่อเวลาล่วงเลยคุณหนูยิ้มก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว แม้ว่าเธอจะยังอยากอยู่สนทนากับผู้เป็นพี่สาวมากเพียงใด แต่ก็มิอาจฝืนทนความง่วงงุนได้อีกดอกแก้วที่เห็นท่าทางของน้องสาวตัวน้อยก็ยกยิ้มขึ้นอย่างนึกเอ็นดู ฝ่ามือบางยกขึ้นลูบเรือนผมนุ่มของผู้เป็นน
เมื่อหนุ่มสาวนั้นเข้าใจกัน ผู้ใหญ่ก็เร่งหาฤกษ์มงคลด้วยความเปรมปรีดิ์ ฤกษ์มงคลนั้นจะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นฤกษ์ที่เร็วที่สุด แต่ก็ยังถือว่าช้ามากสำหรับเจ้าบ่าวที่อยากจะแต่งเสียวันพรุ่ง นั่นจึงทำให้ได้รับคำเหน็บแนมจากผู้เป็นมารดา กว่าจะถึงวันแต่งก็ได้ตกลงหมั้นหมายกันเอาไว้เสียก่อน คุณนายสายหยุดนั้นจัดเตรียมสินสอดทองหมั้นสู่ขอแม่ดอกแก้วเสียใหญ่โต ผู้คนที่เห็นของหมั้นต่างพากันอิจฉา ทั้งทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา ต่างถูกเรียงรายจนนับไม่หวาดไม่ไหวในระหว่างนั้นดอกแก้วนางก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนของท่านเศรษฐีทองคำตามความต้องการของคุณนายสายหยุด แต่กลับสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับว่าที่เจ้าบ่าวที่ถูกกีดกันจากผู้เป็นมารดาไม่ให้มีโอกาสได้เข้าใกล้สตรีคนรักแม่ดอกแก้วนั้นก็ตามติดมารดาเขาไม่ยอมห่าง แม้เขาจะส่งสายตาออดอ้อนปานใดนางก็ทำเมินใส่ จนเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้ บ่าวไพร่นั้นหรือก็ล้อมหน้าล้อมหลังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใกล้ชิดนางแม้แต่น้อยเห็นอาหารจานโปรดวางอยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจที่จะหยิบกินได้ช่างรู้สึกทรมานยิ่งนักแต่แล้วฟ้าก็เป็นใจให้กับขุนไกรในวันหนึ่งเมื่อเขาต้องเดินทางกลับพระนค
"คุณป้าเจ้าคะ"หลังจากที่ดอกแก้วนอนหลับไปตลอดทั้งวันก็เดินออกมาจากเรือนนอนตรงมาหาผู้เป็นป้า สายตานั้นสอดส่ายหาผู้ที่ช่วยชีวิต"อ้าว แม่ดอกแก้วออกมาทำไมกัน ดีขึ้นแล้วหรือลูก"คุณนายสายหยุดที่ลุกขึ้นเข้าไปประคองหญิงสาวให้มานั่งลงข้างๆ เอ่ยถามอย่างห่วงใย"ข้ามิเป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณพี่กลางเล่าเจ้าคะ ข้าอยากจะขอบพระคุณคุณพี่เธอ"ดอกแก้วเอ่ยถึงเจตนาของตน นางเองก็ไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน คุณนายสายหยุดยกยิ้มขึ้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"พี่เขาคุยอยู่กับคุณลุงของเจ้า อยู่ในห้องหนังสือนู่นแหนะ ออ ออกมาพอดี"ดอกแก้วนางหันไปมองตามสายตาของคุณนายสายหยุด แต่กลับเห็นเพียงท่านเศรษฐีทองคำเดินออกมาเพียงผู้เดียว"แล้วพ่อกลางเล่าเจ้าคะคุณพี่"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามผู้เป็นสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน สายตาของคนทั้งคู่สบกันโดยที่สตรีอีกนางไม่อาจรับรู้ได้"ยังอยู่ด้านใน เห็นบ่นว่าอยากกินของหวานๆ มิรู้ว่ามารดาจะมีเมตตาหรือไม่"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยคำที่บุตรชายนั้นฝากมา แล้วยิ้มกริ่มให้ภรรยา เผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาถึงดอกแก้ว"รักษาตัวดีๆ หนาแม่ดอกแก้วลุงเป็นห่วง"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยกับนางอย่างห่วงใย ท่านคงหมายถึ
"แม่ดอกแก้ว ตื่นแล้วหรือเป็นเช่นไรบ้าง"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามร่างบอบบางของสตรีที่ยันกายขึ้นโดยการประคองของบ่าวของนาง นั่งพิงพนักหัวเตียง ใบหน้างามนั้นดูดีขึ้นมามากแล้ว มิได้ซีดเซียวเช่นตอนที่ไม่ได้สติดอกแก้วหันมาหาเจ้าของเรือนที่ใช้สายตามองมายังตนอย่างห่วงใย ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป นางคงคิดถึงเขาจนเลอะเลือน ก่อนจะเอ่ยตอบเจ้าของคำถามด้วยน้ำเสียงแหบโหยเกรงอกเกรงใจ ยกมือกระพุ่มตรงกลางอกอย่างงดงามเอ่ยขอลุแก่โทษที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง จนคนฟังนึกเอ็นดู"คุณป้า ข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ข้าขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้คุณป้าต้องร้อนใจ""โถ แม่เจ้าประคุณ ขวัญเอยขวัญมานะลูก แม่ดอกแก้วคงจักตกใจไม่น้อย"คุณนายสายหยุดยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหัวทุยเล็กที่มีเส้นผมหนานุ่มปกคลุมอย่างรักใคร่ กล่าวอย่างเอื้อเอ็นดู แม่หญิงนางนี้กิริยามารยาทล้วนงดงาม หน้าตาหรือก็สะสวยเหมือนกับผู้เป็นสหายของตนมิมีผิดเพี้ยนดอกแก้วทำเพียงยิ้มอ่อนส่งไปให้ ยอมรับว่านางนั้นทั้งหวาดกลัวและตกใจมากจริงๆ"ถือว่าพระท่านยัง
หลายวันมานี้ขุนไกรมาทำงานด้วยจิตใจที่หม่นหมอง เขาให้คนของตนสืบข่าวเรื่องของนางก็ไร้ผล นางเงียบหายไปราวกับไม่อยากจะพบหน้าเขาอีก เหตุใดนางถึงไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย ท่าทางเซื่องซึมของอีกฝ่ายนั้น ทำให้เพื่อนร่วมงานนั้นต่างเป็นห่วง"ท่านขุนขอรับ มีจดหมายถึงท่านขอรับ"ขุนไกรปรายตามองเสมียนผู้นำจดหมายมาให้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายวางมันลง"ขอบใจ"เขามองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงเล็กน้อย ชื่อที่จ่าอยู่หน้าซองทำให้เขาระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เป็นจดหมายจากแม่เล็กน้องสาวของเขาที่ส่งมา มือหนายื่นออกไปหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอย่างไร้อารมณ์ เขานั้นเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะกลับเรือนและผู้เป็นมารดาบังคับให้อีกฝ่ายเขียนจดหมายถึงเขาเหมือนทุกทีขุนไกรอ่านจดหมายในมืออย่างเลื่อนลอยไล่สายตาอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง"ขุนไกร"เสียงเอ่ยเรียกที่ดังขึ้นทำให้ขุนไกรต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้น"ขุนพันมีอันใดหรือ"บุรุษตรงหน้าคือหนึ่งในสหายของเขาที่ทำงานอยู่ในสังกัดเดียวกัน"ไม่มีอันใดหรอก เพียงเห็นว่าท่านดูเครียดๆ หากมีอันใดให้ช่วยก็บอกได้นะ""อืม ขอบใจมาก"เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วจึงก้มลงมองจดหมายในม
วันหยุดวันนี้ไม่ได้สุขสมชื่นมื่นดังที่คิด ขุนไกรเมามายหัวราน้ำตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่กลับจากเรือนของคุณพระสรเดช เมื่อคืนนี้เขามิรู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวมาอีกที ตอนนี้ดวงตะวันก็ขึ้นตรงหัวแสงสว่างสาดส่องเข้ามาแยงตาเสียแล้ว แต่ทว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแม้แต่น้อย ยังคงคว้าขวดเหล้าขึ้นมาดื่ม ใบหน้าคร้ามคมนั้นหมองหม่นเศร้าซึมเสียงเคลื่อนไหวภายนอกที่ดังขึ้น ทำให้ขุนไกรชะงักมือที่ถือขวดสุรา หันไปมองตามต้นเสียงด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังชัดเจนขึ้น"แม่ดอกแก้ว แม่ดอกแก้วใช่หรือไม่"ขุนไกรที่เอ่ยออกมาแผ่วเบา ต้องเป็นนางที่กลับมาหาเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงยกยิ้มขึ้นอย่างยินดีแต่เงาร่างบอบบางของสตรีที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ใบหน้าที่รู้สึกยินดีในตอนแรกหม่นหมองลง"มิเชล มีอันใดหรือ"ขุนไกรเอ่ยทักทายสตรีตรงหน้า ก่อนจะยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง หัวใจที่พองโตเมื่อครู่เล็กแฟบลงทันตามิเชลมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความเสน่หา เยื้องย่างเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อนางได้รับรู้ว่าสตรีนางนั้นได้หนีไปจากขุนไกรนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก สิ่งที่นางได้ทำถือว่าประสบผลสำเร็
ดอกแก้วนางเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเตรียมเอาไว้เพื่อที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้นั้นนางก็ได้นัดหมายกับชายผู้นั้นเอาไว้เช่นกัน คืนนี้กว่านางจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ต้องเสียน้ำตาไปอีกมากมาย นางคิดเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารไปให้อีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายและจะถือโอกาสนำเงินไปคืนเขาวันรุ่งขึ้นนางลุกขึ้นจัดเตรียมอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะคุณป้าสายหยุดจะมารับนางตอนสายๆ เมื่อสำรับอาหารเสร็จเรียบร้อยจึงได้ออกจากเรือนไป และนางได้นำเงินที่คุณป้าสายหยุดให้มาไปส่งคืนให้อีกฝ่ายด้วย เมื่อนางไปถึงก็พบว่าเขานั้นได้ออกไปทำงานแล้ว ซึ่งนางก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว นางไม่อยากจะเจอหน้าเขา ไม่อยากให้เขาหลอกนางซ้ำๆ ซากๆ นางกวาดตามองเรือนที่อยู่อาศัยร่วมสามเดือนด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเอ่อคลอดวงตา นางเลือกที่จะเก็บเพียงความทรงจำดีๆ เอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจวางซองเงินบนเตียงนอนกว้าง หากเขากลับมาจะได้สังเกตเห็นมัน ก่อนจะเขียนข้อความถึงอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้มิต้องลังเลหากจะลาเขาโดยตรง ต่อแต่นี้ไปเขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีก"ลาก่อน"ระหว่างเขาและนางคงจบสิ้นกันเสียทีดอกแก้วนางเดินออก
ขณะที่ดอกแก้วนั้นกำลังโศกเศร้าเสียใจเพราะบุรุษผู้นั้น บิดาของนางเองก็กำลังขุ่นเคืองขุนไกรอยู่เช่นกัน คุณพระสรเดชฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นบุตรีในระหว่างที่ตนกำลังรักษาตัวอยู่อย่างเจ็บปวดเสียใจ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตนแท้ๆ ที่ทำให้บุตรสาวต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เขาช่างเป็นบิดาที่ไม่เอาไหน แม่ดอกแก้วนางต้องเจ็บปวดชอกช้ำมากเพียงใดกันที่ต้องลดค่าตัวเองเช่นนั้น เขาเป็นผู้ที่ทำให้บุตรสาวต้องเหยียบย่ำศักดิ์ศรีตนเอง หากตายไปคงไม่มีหน้าไปเจอผู้เป็นภรรยา คุณพระสรเดชได้แต่โทษตัวเอง ครุ่นคิดอย่างเจ็บปวดซึ่งคนที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับรู้มาก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน แต่การแจ้งเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้นั้นก็ดีกว่าปิดปังเอาไว้ หากอีกฝ่ายมารับรู้ในภายหลังคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม"แต่ตอนนี้ ข้าเชื่อว่าเด็กทั้งสองนั้น มีใจรักต่อกันจริงๆ พ่อกลางเองถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มต้นอย่างผิดๆ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อว่าเขากำลังทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ข้าเลี้ยงเขามากับมือ ข้าย่อมรู้ดี หากบุตรชายของข้าไม่มีใจให้แม่ดอกแก้ว เขาก็คงไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก"คุณนายสายหยุดเอ่ยกับคุณพระสรเดชสามีของสหายรักของ
หลายวันมานี้ดูเหมือนอะไรหลายๆ อย่างจะดีขึ้นมาก คุณพระสรเดชก็สุขภาพร่างกายดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนปกติ ขุนไกรเองก็กลายเป็นแขกประจำของเรือนนี้ไปเสียแล้ว เมื่อเขาว่างเขาก็มักจะแวะมาหาเสมอ แต่ระยะหลังเขาต้องเร่งจัดการงานทุกอย่างของเขาให้เสร็จสิ้น เขาบอกกับนางว่าหลังจากตบแต่งนางก็อยากจะให้เวลาทั้งหมดกับนาง และนั่นทำให้นางมีความสุขมากวันนี้อากาศดี เป็นเช้าที่สดใส ดอกแก้วจึงนำผ้าเช็ดหน้าที่ยังปักไม่เสร็จออกมาปักยังศาลาริมน้ำ นางตั้งใจจะปักให้กับขุนไกรเป็นของแทนใจ อีกสองวันนางนัดหมายกับขุนไกรเอาไว้ว่าจะทำอาหารไปให้เขาที่เรือนและอยู่ค้างด้วยจึงอยากจะปักผ้าให้เสร็จเพื่อมอบให้เขา"คุณหนูเจ้าคะ มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ"บ่าวผู้หนึ่งเดินเข้ามาแจ้งนาง ดอกแก้วได้แต่ทำหน้าฉงน ใครกันที่มาพบนาง ก่อนจะให้บ่าวไปเชิญคนผู้นั้นมาที่นี่แต่เมื่อคนที่มาพบนางปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้นางยิ่งแปลกใจ นางลืมแหม่มผู้นี้ไปเสียสนิท"สวัสดีค่ะ คุณดอกแก้วขอโทษที่มารบกวน"มิเชลเอ่ยกับสตรีตรงหน้า ใบหน้าสวยคมนั้นเชิดขึ้นอย่างถือดี ส่งยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ใคร่จะพอใจนัก สายตาของแหม่มนางนี้มีประกา
"ท่านเข้ามาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ"หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน ดอกแก้วจึงได้เอ่ยถามขึ้นขุนไกรก้มลงจูบหน้าผากมนชื้นเหงื่อ คิดถึงคนที่ช่วยให้เขาเข้าหานางขึ้นมาทันใด ป่านนี้ฟร้องค์คงต่อว่าเขามากมายแล้วเป็นแน่"ปีนหน้าต่างเข้ามา"ดอกแก้วมองอีกฝ่ายตาโต เรือนของนางนั้นสูงมาก หากจะปีนขึ้นมาคงต้องใช้บันไดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากพลัดตกลงไปเกรงว่าคงได้เลือด แต่ราวกับอีกฝ่ายรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงเอ่ยขึ้น"ข้ามากับสหายมีบันไดมาด้วย"ขุนไกรคิดไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่แล้วระบายยิ้มออกมา สหายผู้นั้นของเขาเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้"ท่านมีสิ่งใดไม่สบายใจหรือ เหตุใดสีหน้าจึงไม่ใคร่จะดีนัก"ฟร้องค์เอ่ยถามเขาในขณะที่นั่งร่ำสุรากันอยู่ขุนไกรจึงบอกกล่าวกับเขาว่ามีเรื่องค้างคาใจและเข้าใจผิดกันกับนาง อีกฝ่ายจึงเสนอความคิดนี้ขึ้นมา ซึ่งเขาเองก็ถูกใจเป็นอย่างมากเขาอยากจะรักนางสัมผัสนางให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้แม้ว่าเขาอยากจะนอนกอดนางมากเพียงไร ก็จำต้องตัดใจ เขาต้องเปิดใจคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียก่อน"แม่ดอกแก้ว เราแต่งงานกันเถอะนะ"จู่ๆ บุรุษที่โอบกอดนางอยู่ก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไป แต่ประโยคน