อินชิงเสวียนกล่าว “ไม่เพียงแค่ขวดเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะที่งดงาม ของสิ่งนี้ใช้สำหรับทาเล็บ เล็บของพระสนมทั้งโค้งมน อีกทั้งยังเงามันวาว หากพระสนมได้ใช้สิ่งนี้ จากที่งดงามอยู่แล้วยิ่งงดงามขึ้นไปอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“งั้นรึ ของสิ่งนี้...ใช้ทาเล็บได้อย่างนั้นหรือ”เมื่อก่อนซูฉ่ายเวยก็เคยทำเล็บมาก่อน นำกลีบบุปผามาหุ้มเล็บไว้ สีของบุปผานั้นจะค่อยๆ ย้อมจนเล็บแดง เมื่อย้อมเสร็จก็จะงดงาม ทว่า วิธีนี้ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะตอนที่เอากลีบบุปผามาหุ้มเล็บ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขยับ ตอนนี้เมื่อได้เห็นสีสันในขวด ก็อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้อินชิงเสวียนกล่าว “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขออนุญาตลองทาให้พระสนมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ซุฉ่ายเวยรีบกล่าว “เด็กๆ รีบยกที่นั่งมาให้เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเร็วเข้า”ไม่นานนักสาวใช้ก็ยกม้านั่งนุ่มสองตัว อินชิงเสวียนนั่งลงบนม้านั่งนุ่มนั้น จับมือซูฉ่ายเวยแล้วเริ่มทาเล็บให้นางทาสีแดงลงบนผิวเล็บไปหนึ่งชั้น จากนั้นทาสีมุกวาวทับลงด้านบนอีกชั้น ตอนนี้เล็บนางดูแพรวพราวระยิบระยับทันทีซูฉ่ายเวยโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ยิ้มปากไม่หุบเลยทีเดียวนางยกนิ้วมือตัวเองขึ้นมาดู มือไม้สั่นด้วยคว
อวิ๋นฉ่ายอุทานอย่างตกใจ “พระสนม องค์ชายน้อยพูดอีกแล้ว!”อินชิงเสวียนก็ได้ยินอย่างชัดเจน เจ้าหนูน้อยพูดออกมาสองคำว่า “อย่าไป” นางกุมมือจ้ำม่ำของเจ้าหมาน้อย พลางกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังว่า “เด็กดี พูดให้แม่ฟังอีกครั้งสิ”มองอินชิงเสวียนที่ยิ้มราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาน้อยจึงเปิดปากเล็กๆ แล้วเปล่งเสียงพูด “ไม่ไม่ไม่...”อินชิงเสวียนไม่ทันตั้งตัวก็ถูกพ่นน้ำลายจนเต็มหน้าช่างเถอะ นางคงคาดหวังกับเจ้าหมาน้อยสูงเกินไปหากเด็กคนนี้สามารถพูดได้ คงถูกมองว่าเป็นปีศาจอินชิงเสวียนเช็ดหน้า ขบเบาๆ ที่มือของเจ้าหมาน้อย “เจ้าเด็กดื้อ เป็นเด็กดีรอแม่อยู่ตรงนี้นะ แล้วพวกเราค่อยไปอาบน้ำกัน”เจ้าหมาน้อยจั๊กจี้ตรงบริเวณที่ถูกขบ จึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาเมื่อเห็นเขาอารมณ์ดี อินชิงเสวียนจึงรีบเข้าไปในห้องนางแลกแป้งทาผื่นคันมาตลับหนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีเสื้อผ้าเด็กและรองเท้าขายในร้านค้าคะแนนสะสมด้วยเมื่อก่อนเจ้าหมาน้อยสวมแต่ผ้าอ้อม จะมีเสื้อผ้าสวมใส่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เขาสามารถวิ่งด้วยรถฝึกเดิน หากจะให้เปลือยกายล่อนจ้อนก็คงจะไม่ดี โดยเฉพาะรองเท้าที่เขาสวม เป็นรองเท้าที่ยายหลี่ทำขึ้นด้ว
อินชิงเสวียนคิดจะจากไป ทว่ากลับสายไปแล้วลู่จิ้งเสียนเห็นนางแล้ว“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ทันใดนั้นซูฉ่ายเวยราวกับเห็นฟางช่วยชีวิตนางตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อ ช่วยข้าเรียกฝ่าบาทเร็วเข้า เสียนเฟยคลั่งขึ้นมาอีกแล้ว”ลู่จิ้งเสียนพลันหน้าเปลี่ยนสี ฝ่าบาทเพิ่งเรียกซูฉ่ายเวยเข้าพบเมื่อไม่กี่วันก่อน นางรู้ดีว่า เมื่อเทียบกับความเฉยเมยที่มีให้กับผู้อื่นแล้ว ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อนางสารเลวซูฉ่ายเวยแตกต่างจากคนอื่น หากฝ่าบาทตำหนินางขึ้นมา นางคงแบกรับไม่ไหวลู่จิ้งเสียนเป็นพวกคลั่งลำดับขั้นของสนม สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็คือถูกลดขั้นอีกครั้งนางรีบสั่งขันทีของตน “อย่าให้เขาหนีไปได้ จับเขาเร็วเข้า”อินชิงเสวียนหมุนตัวหนี แต่ขันทีคว้าแขนเสื้อของนางไว้ อินชิงเสวียนจึงเตะขันทีออกไป ฉับพลันนางก็นึกถึงกระบองไฟฟ้าในแขนเสื้อ นางยังไม่เคยใช้เจ้าสิ่งนี้เลย พอดีเลยลองใช้มันกับสุนัขพวกนี้แล้วกันว่าแล้วจึงสะบัดข้อมือหยิบกระบองไฟฟ้ามาถือไว้ อินชิงเสวียนกดสวิตช์แล้วจิ้มไปที่ท้องของขันทีทันใดนั้นขันทีก็กระตุกเหมือนเต้นเบรกแดนซ์ หลังจากตัวยืดก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ อินช
“เสด็จแม่ หม่อมฉันกำลังจะตาย!”ไทเฮาประทับนั่งบนเบาะนุ่มกำลังดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวเย็นๆ เมื่อได้ยินเสียงของลู่จิ้งเสียน หัวคิ้วก็พลันขมวดมุ่น“เสียงดังเอะอะอะไรกัน”ลู่จิ้งเสียนพยายามลุกขึ้นจากประตู แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงกับพื้นอีกครั้งครึ่งร่างยังคงชา แม้แต่ลิ้นก็ยังแข็ง แค่คำว่า ‘ช่วย’ ก็ยังพูดออกมามิได้เห็นลู่จิ้งเสียนเดินตุปัดตุเป๋ ไทเฮาก็อดรำคาญใจไม่ได้ลู่จิ้งเสียนอยากเป็นฮองเฮา แต่ตอนนี้แม้แต่เดินตรงๆ ยังทำไม่ได้ แล้วจะเหมาะสมได้อย่างไร“เจ้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ข้าจะไม่ขอให้เจ้าประพฤติตัวดี แต่อย่างน้อยก็มิควรทำตัวราวกับคนบ้า สภาพน่าเกลียดเช่นนี้ เย่จิ่งอวี้จะชื่นชอบเจ้าได้อย่างไร”“เสด็จแม่ หม่อมฉัน หม่อมฉันถูกทำร้ายมาเพคะ”“อะไรนะ”ไทเฮาไม่เข้าใจลู่จิ้งเสียนออกแรงเปล่งเสียงและพูดออกมาด้วยความยากลำบาก “ถูกตี ถูกตี”ไทเฮาอุทานอย่างตกใจ “ถูกตี? ใครกันช่างขวัญกล้า ใครกล้าทำร้ายเจ้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหน ให้หลิวหมัวมัวตรวจดูสิ”หลิวหมัวมัวม้วนแขนเสื้อของลู่จิ้งเสียนขึ้นเพื่อตรวจสอบ แต่กลับไม่พบร่องรอยถูกตีที่ใดเลยไทเฮากำลังจะถาม แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากลานด้านหน
หลี่เต๋อฝูที่อยู่ข้างหลังทนฟังไม่ไหว ทักษะประจบประแจงเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ยังละอายใจตัวเองที่เทียบไม่ติดเย่จิ่งอวี้หางตากระตุก บ่าวน้อยผู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องไร้สาระอะไรมาพูดประจบเขานี่“ลุกขึ้นเถอะ”เสแสร้งจนฟังต่อไปไม่ไหว“ขอบพระทัยฝ่าบาท”อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างประจบประแจง “ฝ่าบาทจะพาสุนัขไปเดินเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูด “วันนี้อากาศเย็นสบาย ไป๋เสวี่ยก็ถูกขังมาหลายวันแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะพามันออกไปเดินเล่น”“ฝ่าบาทเดินระวังพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนยืนอยู่ด้านข้างเย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ตามมาด้วยกันเถอะ หลี่เต๋อฝู เจ้าถอยไปก่อน”“พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เต๋อฝูเม้มริมฝีปากอย่างมีความสุข ฝ่าบาทยังคงมีเขาอยู่ในใจฝ่าบาทคงรู้สึกว่าเขาแก่มากแล้ว แข้งขาก็ค่อยไม่ดี เขาคงทนออกไปเดินตามสุนัขไม่ไหวเย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกจากประตูตำหนักแสงจันทร์สีซีดสะท้อนบนร่างสูงสง่าของเขา ทำให้เงาของเขาทอดยาวขึ้นเห็นเจ้านายเดินออกไป ไป๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปด้วยความดีใจ อินชิงเสวียนรู้สึกไม่มีความสุขนัก นางปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกลางดึกมาสอง
เมื่อกลับถึงห้องพักขันที เสี่ยวอานจื่อหลับไปแล้ว มีเสียงกรนดังขึ้นเป็นระยะๆอินชิงเสวียนเหลือบมองเขาอย่างอิจฉา พลันล้มตัวนอนลงบนเตียงได้แต่มองเพดาน ไม่มีท่าทีง่วงนอนเลยอุบัติเหตุของเย่จิ่งอวี้ทำนางรู้สึกสะเทือนใจ แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้นยุคปัจจุบัน นางอ่านพงศาวดารที่เกี่ยวกับราชวงศ์มาค่อนข้างเยอะ เช่นนั้นถึงมันจะเดินเรื่องแปลกกว่านี้อีกนางก็ยอบรับได้ทว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนควรคิดถึงมากกว่าคือจากนี้ไปจะเดินเส้นทางของตัวเองอย่างไรวันนี้ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ลู่จิ้งเสียนไป ถือว่าได้ปลดปล่อยความโกรธไปหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าทางด้านไทเฮากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้นางต้องใช้ตัวเองให้เป็นประโยชน์ อาจจะพูดอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งห้ามหลงระเริงเกินเหตุ หากทำให้ปีศาจเฒ่าโมโหเข้า ตัวตนของเจ้าของร่างเดิมต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงจบเห่แต่หากให้อินชิงเสวียนวางยาเย่จิ่งอวี้ นางก็ไม่กล้าจริงๆถึงนางจะเกลียดคนสารเลวผู้นี้ แต่นางก็อยากมีชีวิตมากกว่าเย่จิ่งอวี้สามารถนั่งบัลลังก์กษัตริย์ได้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลี่เต๋อฝูคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีกเรื่องนี้ไม่ง่ายแ
ในราชรถม้าใบหน้าเย่จิ่งอวี้นิ่งขรึมราวกับสายน้ำลึก ดวงตาพญาหงษ์คู่นั้นเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งหลี่เต๋อฝูวิ่งตามช้าๆ อยู่ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง กวนฮั่นหลินเป็นถึงทหารผ่านศึกสามแผ่นดิน แม่ทัพอินจ้งก็เป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ เขาต้องการปกป้องอินจ้งนั้นย่อมสมเหตุสมผลอยู่แล้วเพียงแต่จดหมายตอบกลับฉบับนั้นเป็นลายมือของอินจ้งจริงๆ กวนฮั่นหลินที่เป็นถึงแม่ทัพย่อมมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะได้อ่านวันนี้เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หรือว่าจะแก่เลอะเลือนไปแล้วขณะที่กำลังคิด ราชรถก็เดินทางมาถึงห้องหนังสือเรียบร้อยเย่จิ่งอวี้รีบลงจากราชรถ พลันตรงไปที่ห้องโถงดวงตาพญาหงษ์สั่นไหวเขาก็เคยสงสัยว่าต้องมีบางอย่างถูกปกปิดไว้หรือจะเป็นเย่จิ่งเย่าสุนัขจนตรอกที่ลงมือใส่ร้ายอินจ้งแต่ในจดหมายมีขนนกยูงสามเส้นที่มีเพียงแคว้นเจียงวูเท่านั้นที่มี อีกทั้งปลายขนยังมีจุดสีแดงชาดที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แคว้นเจียงวูที่คนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ หลักฐานชี้ชัดขนาดนี้จะพูดอย่างไรได้อีกนึกย้อนไปถึงตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประชวรหนัก อินจ้งคอยระแวดระวังให้เขาทุกทาง แววตาเย่จิ่งอวี้เย็นชาขึ้นอีก
เขาไปสนามฝึก จะให้ตัวเองตามไปด้วยทำไมกันอินชิงเสวียนไม่อยากไปอย่างมาก ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นนี้ ยืนนานเพียงวินาทีเดียวก็สามารถรีดน้ำมันออกมาได้ คงไม่สบายเท่ากับการยืนหน้าก้อนน้ำแข็งมหึมาหรอกเย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าออกมาจากห้องหนังสือ“จูงม้าหลวงของข้ามา” จากนั้นไม่นาน ม้าสีดำเงางามลำตัวสูงใหญ่ก็ถูกจูงออกมาแม้อินชิงเสวียนจะดูม้าไม่เป็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยออกมา“ม้าดี” ม้าตัวนี้สูงกว่าม้าธรรมดากึ่งหนึ่ง มีดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวา มีบังเหียนผ้าลื่นสีเหลืองห้อยอยู่บนตัว พร้อมกับพู่ห้อยลงมาที่ท้องม้า สี่เท้าของมันแข็งแรงและสุขภาพดี มองผ่านๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าธรรมดาเย่จิ่งอวี้พลิกตัวขึ้นม้าด้วยท่าทางที่สง่างาม“ขี่ม้าเป็นหรือไม่” เขาเลิกคิ้ว มองไปยังอินชิงเสวียนเมื่อรู้ว่าขี่ม้าออกไปได้ อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเทียนจูงม้าสีแดงลูกท้อมาให้นางอินชิงเสวียนจับบังเหียนพร้อมกับขึ้นม้า ทันใดนั้นก็ค้นพบบางสิ่ง ม้าของต้าโจวไม่มีโกลนม้าตอนเด็กขี่ม้าน้อยในบ้านก็ไม่มีโกลนม้าเช่นกัน แม้แต่อานม้าก็ไม่มี แต
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะทำนายดูอีกครั้ง”นักพรตเทียนชิงหยิบเหรียญอีแปะและกระดองเต่าออกมา เขย่าหกครั้ง ค่อยๆ จัดเรียงเหรียญทีละเหรียญ เขามองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ลูบหนวดเคราแล้วพูดว่า “ภาพทำนายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย คุณชายน้อยเย่...”“เป็นอย่างไรบ้าง เขากลับมาไม่ได้กระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ“พูดยาก ทุกสิ่งในตัวเขาไม่แน่นอนมาก ดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ หมอกก็ไม่ใช่หมอก เหมือนมองดอกไม้ในสายหมอก ยากที่จะเห็นภาพที่แท้จริง ข้าไม่เคยเห็นภาพทำนายเช่นนี้มาก่อน”นักพรตเทียนชิงมองดูเหรียญอีแปะด้วยสีหน้าประหลาดใจมากอินชิงเสวียนถอนหายใจ“เอาเถอะ ถ้าเขาสามารถกลับไปยังที่ที่เขาอยู่ได้จริงๆ ก็คงจะดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของยุคนี้มากนัก แทนที่จะเป็นแบบนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เขาไปในที่ที่เขาต้องการไปดีกว่าเขาเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสร้างประโยชน์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้นักพรตเทียนชิงไม่ได้พูด บรรยากาศอึมครึมอยู่พักหนึ่งอินชิงเสวียนรู้สึกเศร้า จากนั้นทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาและถามว่า “ท่านนักพรตสามารถทำนายได้หรือไม่ว่าชิงฮุยอยู่ที่ไหน”นัก
เมื่อเห็นชายคนนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที อินชิงเสวียนก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว“คุณบอกว่า...คุณชื่อเย่จิ่งหลานไม่ใช่เหรอ”ชายคนนั้นพูดเหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา “ใช่น่ะสิ ผมชื่อเย่จิ่งหลานแล้วมันขัดแย้งอะไรกับเรื่องที่ผมเป็นหมอล่ะ”เสี่ยวหลานหลานที่อยู่ข้างๆ สั่นศีรษะ พูดอย่างน่ารัก “ก็ไม่ขัดแย้ง”เย่จิ่งหลานยักไหล่“งั้นก็โอเคแล้วไม่ใช่หรือไง ในช่วงสองวันที่ผ่านมาผมอาจเกิดภาวะขาดสารอาหาร ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขอบคุณสาวสวยคนนี้ที่ช่วยเหลือ เพิ่มเพื่อนในไลน์ได้ไหม”เย่จิ่งหลานสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แต่มันก็ว่างเปล่าเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง โทรศัพท์หายไปไหน“แล้วคุณรู้ไหมว่าคุณมาจากโรงพยาบาลไหน”“รู้...”เย่จิ่งหลานพูดขึ้นมาคำหนึ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกปวดหัวอีกครั้งเขาจำได้ว่าตัวเองถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล เหมือนจะไปคลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาก็ฝันอะไรตั้งมากมาย ในฝันเหมือนเขาจะกลายเป็นอ๋อง แล้วต่อมาก็ได้เป็นจอมยุทธ์เมื่อมองดูเตียงในโรงพยาบาลตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงขึ้นมาทันทีเขายกนิ้วขึ้นแตะหัวเตียง ผิวสัมผัสเย็นๆ บอกเขาว่าทุกสิ่งตรงหน้าเป็นเรื่องจริง แต