“ต่งจื่ออวี๋ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนก็มีสีหน้าตื่นตระหนกใจและดีใจเช่นกันต่งจื่ออวี๋พยักหน้าพูดว่า “กลับมาแล้ว”ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสองก็เดินเข้ามาในเรือนแขนของเก่อหงยวนยังพันด้วยผ้าพันแผลอยู่“ข้ามาขอบคุณน้องเขยของท่าน”นางยกคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่เย่อหยิ่ง จากนั้นจึงชูปูที่อยู่ในมือขึ้นมา“ได้ยินว่าเขาชอบกินสิ่งนี้มาก จึงให้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องช่วยกันจับมาจำนวนหนึ่ง”อินชิงเสวียนไม่เคยมองเพียงสิ่งผิวเผินเหล่านี้ ไม่ว่าเก่อหงยวนจะทะนงตนมากเพียงใด แต่การช่วยชีวิตนางไว้คือเรื่องจริงนางเดินหน้าเข้าไปรับปู ยิ้มและพูดว่า “แม่นางเก่อเกรงใจแล้ว ข้ายังไม่ได้ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้าในวันนั้น ข้าได้เตรียมสิ่งของเล็กน้อยมาให้แม่นางได้ใช้ด้วย แม่นางเก่อและจื่ออวี๋นั่งรอสักครู่นะ ข้าจะไปเรียกเย่จิ่งหลานมาเดี๋ยวนี้”“ไม่ต้องเกรงใจ ครั้งนี้แค่ออกมาสูดอากาศเท่านั้น บังเอิญเจอกับต่งจื่ออวี๋ จึงเดินมาด้วยกัน”เก่อหงยวนเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง ถือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของยอดหญิงไว้แน่นอินชิงเสวียนเม้มปากหัวเราะ และมองไปที่ต่งจื่ออวี๋“ได้ข่าวของผู้อาว
“หมายความว่าอย่างไร?”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วถามต่งจื่ออวี๋พูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ว่า “ในจดหมายบอกว่าเขาสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่เร้นลับและรู้จักกันไปทั่วยุทธจักร แต่ข้าสงสัยว่าเป็นเรื่องที่ปั้นขึ้นมา ข้าไปยังภูเขาหั่วเฟิงตามในจดหมาย ข้าเดินจนทั่วภูเขาแต่ก็ไม่พบร่องรอยของใครเลยสักคน”“หา? เช่นนั้นเจ้ารู้ข่าวมาจากที่ใด?”อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง“มีคนทิ้งจดหมายของท่านอาจารย์ข้าไว้ แต่กลับไม่ใช่ลายมือของอาจารย์อาของข้า อาจเป็นเพียงแค่การกลั่นแกล้ง”เมื่อได้ฟังคำอธิบายของต่งจื่ออวี๋ อินชิงเสวียนก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย“เจ้าสำนักเฮ่อมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้?”ต่งจื่ออวี๋พูดว่า “นี่ก็คือความเห็นของท่านอาจารย์ข้า นับตั้งแต่ผู้อาวุโสหลี่ตายไป อาจารย์อาก็บ้าๆ บอๆ มาตลอด บางทีเขาอาจจะไปที่ไหนสักแห่งเพื่อรำลึกถึงอดีต”เมื่อคิดถึงวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของลิ่นเซียว อินชิงเสวียนก็ไร้ซึ่งคำจะพูดเดิมทีคิดว่าหาตัวลิ่นเซียวพบแล้ว บางทีอาจได้ข่าวคราวของอินหลีบ้าง แต่ตอนนี้ก็ต้องดีใจเก้ออีกครั้งจู่ๆ นางก็หมดอารมณ์ที่จะถามต่อไป ในขณะนั้นเอง เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มลูกเดินมาจากด้
เย่จิ่งอวี้พูดปลอบใจว่า “วางใจเถอะนะ เสด็จอาไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งเหตุผล อีกทั้งนางหายตัวไปนานขนาดนั้น หากต้องการตามหาก็ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสืบหาได้ชั่วข้ามคืน”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้“เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงเพคะ ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว ข้าจะให้ฟางรั่วไปตามหาชางบ้านมาต่อเรือ อาอวี้ยังไม่บอกข้าเลยนะ ท่านสามารถปลดวิชาสะกดเส้นลมปราณได้หรือไม่?”การใช้ชีวิตในโลกยุทธภพ การสามารถอยู่ได้โดยไร้วิทยายุทธ์ แม้ฟางรั่วยินยอมที่จะติดตามนาง อินชิงเสวียนก็ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อนางเย่จิ่งอวี้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย“ข้าปลดไม่เป็นหรอก ข้าจะช่วยถามท่านตาให้เสวียนเอ๋อร์นะ วิชาสะกดเส้นลมปราณก็เป็นหนึ่งในวิชาที่เลิศล้ำที่สุดของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ท่านตาเป็นเจ้าสำนัก เขาต้องเข้าใจมากกว่าข้าแน่นอน”อินชิงเสวียนเลิกดวงตาที่สดใสราวสายน้ำ และมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ อาอวี้เรียกว่าท่านตางั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักเป็นผู้มีบุญคุณต่อท่านแม่ของ ยิ่งมีบุญคุณที่เลี
ฟางรั่วรับน้ำพุวิญญาณมาอย่างไม่ลังเล และดื่มหมดในครั้งเดียวจากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติภารกิจเดี๋ยวนี้”นางเปิดประตูด้วยฝีเท้าที่โซเซ เดินออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลานเย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนและถามว่า “ท่าทางของนางจะไหวหรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือทางที่นางเลือกด้วยตัวเอง แม้ต้องร้องไห้ก็เดินให้ถึง”นี่ถือเป็นการฝึกฝนฟางรั่วในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่กระทำการใหญ่ต้องเริ่มจากลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร นี่คือคำพูดที่โด่งดังชั่วกาลเส้นทางเมื่อวัยเยาว์ ฟางรั่วไม่มีสิทธิ์ได้เลือก วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางควรจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองเย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกราวกับว่าภาวะจิตใจของเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว นางมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั้นมั่นคงและกล้าหาญ ถือเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษอย่างแท้จริงอินชิงเสวียนหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยีและมองมาที่ตัวเอง ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนี้?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความจริงใจว่า “ข้า
“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องโมริตะหมอบกราบลงบนพื้นทันที ร่างกายที่อวบอ้วนราวกับลูกบอลหนังขนาดใหญ่ น่าขันเป็นอย่างมากจักรพรรดิลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าอึมครึม และพูดเสียงเยือกเย็นว่า “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย หากพวกเรายังทำได้ไม่ดี ข้าจะสังหารชาวตงหลิวกลุ่มแรกก่อน เพื่อลดแรงกดดันด้านอาหารที่น้อยลง ข้าจะเริ่มจากขุนนางอย่างพวกเจ้าก่อน และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน!”เมื่อพูดจบ จักรพรรดิก็เดินเข้าไปในห้องโมริตะและคนอื่นๆ ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ทำได้เพียงเดินออกไปจากวังหลวงเมื่อมาถึงด้านนอก ทั้งสามก็พูดเรื่องน่าเบื่อหน่าย“ไม่ใช่ว่าใช้ทางอ้อมไม่ได้ แต่การเดินทางทางทะเลในระยะไกล จำเป็นต้องใช้กำลังทหารจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”“แต่ยังดีกว่าการที่พวกเราถูกเชือด”ท่านอ๋องโมริตะลูบเคราบางของเขา และพูดเสียงโหดเหี้ยมว่า “ครั้งนี้ไมจำเป็นต้องใช้กองทหารขนาดใหญ่ ตามหาทหารที่เชี่ยวชาญทางน้ำ และคัดเลือกชาวตงหลิวที่มีรูปร่างคล้ายชาวดินแดนจงหยวนเพื่อลักลอบเข้าไป เป้าหมายของพวกเราคือพิณการเวก ตราบใดที่สามารถทำลายพิณนี้ได้ สงครามครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะได้รับชัยชนะ”ขณะนั
ในขณะที่เฟิงเอ้อร์เหนียงจากไป อินสิงอวิ๋นก็พาหัวหน้าหมอหลวงเหลียงเร่งรุดกลับมายังจวนแม่ทัพสิบห้านาทีก่อนหน้า จู่ๆ เป่าเล่อเอ่อร์ก็ปวดท้องอย่างรุนแรง อินปู้อวี่ไปตามหมอถึงสองคน และทั้งสองก็บอกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม ทำให้ซูหมิงหลานลนลานจนมือไม้พันกันไปหมดนี่เป็นหลานคนแรกของตระกูลอิน ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด จึงให้อินสิงอวิ๋นไปหาหมอหลวงเหลียงโดยรวดเร็วเมื่อเห็นใบหน้าของเป่าเล่อเอ่อร์ที่ซีดลงด้วยความเจ็บปวด อินสิงอวิ๋นก็เร่งร้อนขี่ม้าเข้าไปในวังหลวงทันทีหลังจากที่เย่จั้นทราบเรื่อง ก็ให้หมอหลวงเหลียงออกจากวังไปตรวจรักษาทันที ทั้งสองจึงเร่งรุดจนมาถึงตระกูลอิน ในขณะที่เป่าเล่อเอ่อร์ก็เกือบจะเป็นลมหมดสติหมอหลวงเหลียงรีบหยิบกล่องยาออกมา แล้วตรวจชีพจรมีภาวะแท้งคุกคามจริงๆ แต่กลับดูไม่เหมือนภาวะแท้งธรรมดาชีพจรของเป่าเล่อเอ่อร์ไม่ลอย อีกทั้งเลือดและลมปราณยังไม่ทรุดโทรม ร่างกายแข็งแรงมาก ภายใต้ถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอาการแท้ง นี่เป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่“หมอหลวงเหลียง เป่าเล่อเอ่อร์เป็นอย่างไรบ้าง”อินสิงอวิ๋นถามอย่างเร่งร้อนก่อนหน้านี้ยังปกติดี ไม่มีสัญญาณใดๆ มา
อินสิงอวิ๋นควบม้าเร็วเข้าวังหลวงอีกครั้งหมอหลวงเหลียงกำลังเดินเตร่อยู่ในสำนักหมอหลวงเขาชอบที่จะศึกษาค้นคว้าทักษะทางการแพทย์มากที่สุดในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เขาเผชิญกับโรคที่ยากและซับซ้อน ก็ต้องการที่จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และความเจ็บป่วยขององค์หญิงน้อยเจียงวูคนนี้พบได้ยากมากหลังจากคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับชีพจรในขณะนั้น พบว่าค่อนข้างคล้ายกับชีพจรของฮ่องเต้เมื่อเดือนที่แล้วราวกับว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างกาย ที่กำลังผลักทารกในครรภ์ขององค์หญิงน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หมอหลวงเหลียงก็รีบพลิกตำราโบราณทันทีจำได้ว่าอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า มีชีพจรกู่ชนิดหนึ่งที่เป็นแบบนี้ หรือว่าทั้งฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยมีหนอนกู่อยู่ในร่างกาย?หมอหลวงเหลียงรีบปีนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ แล้วหยิบม้วนตำราที่อาจารย์ทิ้งไว้ออกมาเปิดดู เมื่อเห็นแวบแรก พบว่าดูคล้ายกันมากจริงๆโดยไม่ต้องให้เสียเหงื่อ เขารีบถือกล่องยาแล้ววิ่งไปที่ห้องหนังสือในเวลาเดียวกัน อินสิงอวิ๋นก็มาที่ห้องหนังสือด้วย เขามาที่นี่เพื่อขอน้ำพุวิญญาณ เพื่อรักษาชีวิตของเป่าเล่อเอ่อร์น้องหญิงใหญ่และฮ่องเต้น้อยพำนักอยู่ในตำหนัก ไม่แน่ว่าอา
ณ เป่ยไห่หลังจากการทำงานหนักหลายวันหลายคืน ท้องเรือก็ถูกเชื่อมเรียบร้อยช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นแม่ทัพชำนาญการในด้านหนึ่ง แถมยังมีความสามารถ เมื่อรู้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างเรือคือเพื่อทำลายแหล่งซ่องสุมของชาวตงหลิว พวกเขาก็ทำงานอย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นหลังจากได้สัมผัสกับงานเชื่อมไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย พวกเขายิ่งศรัทธาพวกของอินชิงเสวียนประหนึ่งเทพเจ้าก็ไม่ปานตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเขาต่างก็เกิดและเติบโตอยู่ที่ชายฝั่งทะเล ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าทะเลนั้นน่ากลัว เรือเล็กๆ ทั่วไปนั้น เจอคลื่นลมแค่ลูกเดียวก็พลิกคว่ำแล้ว การออกทะเลไปหาพวกตงหลิวไม่รู้ว่าต้องผ่านคลื่นลมกระแสน้ำอีกมากเท่าใด เช่นนี้จะไปไหวหรือตอนนี้เมื่อมองดูเรือขนาดยักษ์ที่มีขนาดเท่าลานบ้านทั่วไปที่มีบ้านสิบหลัง ในที่สุดทุกคนก็เชื่อแล้วช่วงกลางวันต่งจื่ออวี๋ได้นำศิษย์หลายคนจากสำนักมาช่วย เด็กทึ่มคนนี้ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ มีความสามารถมากทีเดียวอินชิงเสวียนหาโอกาสถามถึงเรื่องของลิ่นเซียว คำตอบที่ได้รับก็คล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าต่งจื่ออวี๋จะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ อินชิงเสวียนจึงต้อ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี