ณ เรือนจุ้ยหงเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง วันนี้นางเปลี่ยนจากการแต่งหน้าสีสดตามปกติ เป็นการแต่งหน้าอ่อนๆ กระโปรงคาดอกสีแดงสดก็ถูกแทนที่ด้วยสีขาวล้วน คนทั้งคนก็ดูสง่างามขึ้นมากนางเปิดกล่องสมบัติข้างๆ นาง แล้วหยิบปิ่นปักผมดอกอวี้หลานสีขาวที่เป็นสนิมออกมา และปักบนศีรษะเมื่อมองดูกลีบดอกอวี้หลานที่หัก ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เศร้าโศกเล็กน้อยในขณะที่นึกถึงความหลัง บริกรชายก็เข้ามาจากด้านนอก“เอ้อร์เหนียง แม่นางที่นั่งรถเข็นคนเมื่อวานกลับมาอีกแล้ว”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา“ไม่พบ”บริกรชายพูดว่า “ข้าจะไปตอบนางเดี๋ยวนี้”ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงเอ้อร์เหนียงจะเห็นแก่หน้าอาจารย์ข้าได้หรือไม่ พูดกับข้าสักสองสามคำ”ท่าทีหยิ่งยะโสในยามปกติของจูอวี้เหยียนเปลี่ยนไป คำพูดคำจาเจือไปด้วยคำสัตย์ซื่อจริงใจขึ้นเฟิงเอ้อร์เหนียงจัดทรงผมอย่างไม่รีบร้อน“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”“ราชากู่หยางเฉิง”เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงเยียบเย็นลงเล็กน้อย“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”ดวงตาของจูอวี้เหยียนฉายแววเศร้าโศก น้ำเส
ซูหมิงหลานเดินเข้ามาใกล้ จุดธูปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ซูหนิง ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านดูแลลูกๆ ทั้งสามเป็นอย่างดี ก่อนวันแต่งงานของสิงอวิ๋น ข้าจะพาเขามาสักการะที่นี่ ลูกสะใภ้คนโตของเราก็ตั้งครรภ์แล้ว ปีหน้าก็จะได้หลานแล้วล่ะ ดวงวิญญาณของท่านบนสวรรค์ ต้องช่วยปกป้องคุ้มครองให้พวกเขาปลอดภัยด้วยนะ”ต่อจากนั้นอินสิงอวิ๋นก็โขกศีรษะสามครั้ง“ท่านแม่ ลูกมาหาท่านแล้ว หลายปีมานี้ไม่ได้กลับมาเลย ท่านแม่คงไม่ตำหนิข้ากระมัง ต่อไปลูกจะมาทุกปี จะมาเผาเสื้อผ้าและให้เงินกับท่านแม่” อินปู้อวี่ยังคุกเข่าและพูดว่า “ท่านแม่ ปู้อวี่ก็มาแล้วขอรับ จากนี้ไปลูกจะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ และจะอยู่ในเมืองหลวง อยู่ข้างๆ ท่านแม่ด้วย”เมื่อถึงคราวของอินชิงเสวียน นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงโขกศีรษะสามครั้ง พนมมือและอธิษฐานอย่างเงียบๆ ข้าหวังว่าอินฮูหยินจะอวยพรให้การเดินทางของนางในครั้งนี้ราบรื่น ตามสามีของนางกลับมาได้ เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแท้จริง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วอินชิงเสวียนยกกระโปรงยืนขึ้นไม่มีใครบังคับให้นางพูด ถึงอย่างไรลูกสาวพวกเขาก็เรื่องในใจมากมาย ไม่เห็นต้
อินชิงเสวียนพยักหน้า“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับก่อนนะ”อินจ้งพยักหน้า พูดด้วยความรัก “อย่าลืมดูแลตัวเอง ออกไปข้างนอกต้องระวังตัวด้วยนะ”เมื่อเห็นดวงตาของอินจ้งเปลี่ยนเป็นสีแดง อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจแม้ว่านางจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงกับพวกเขา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน อินชิงเสวียนก็ถือว่าพวกเขาเป็นครอบครัวแล้วนางหายใจเข้าลึกๆ แล้วคลี่ยิ้ม“ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ถ้านางร้องไห้ ตระกูลอินจะรู้สึกลำบากใจ และเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนนางเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามาในยุคนี้ จะไปรบกวนชีวิตพวกเขาทำไมซูหมิงหลานจับมือนางแล้วพูดว่า “เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ต้องเขียนจดหมายกลับมา แจ้งสักคำว่าปลอดภัย”เมื่อพูดคำสุดท้าย ดวงตาก็เปียกชื้นจากหยาดน้ำตาตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลอิน เด็กน้อยคนนี้ต่อต้านตัวเองมาโดยตลอด ในที่สุดนางก็โตขึ้น รู้ความขึ้น ความสัมพันธ์แม่ลูกยังไม่อบอุ่นพอ อินชิงเสวียนก็จะจากไปแล้วแม้รู้ว่านางไปไม่ไกล รู้ว่านางจะกลับมาเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าใจมากถ้าเป็นอินสิงอวิ๋นหรืออินปู้อวี่ ซูหมิงหลานก็ไม่ได้เป็นกังวลมากน
เมื่อเห็นเขายืนอยู่บนแท่นไม้ใหญ่ อินชิงเสวียนก็อดหัวเราะไม่ได้เย่จิ่งหลานหันหน้าและพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าเข้ามาทำไม”“ข้านึกว่าเจ้ากำลังปลูกผักมาทำกับข้าว ก็เลยแวะมาดู ต้องการให้ช่วยหรือไม่”อินชิงเสวียนกลั้นยิ้ม ถึงอย่างไรเขาก็ทำอาหารให้ตัวเองกิน ถ้านางหัวเราะเยาะ คงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่“ไม่ต้อง เป็นจานสุดท้ายก็จะเสร็จแล้ว”ในขณะที่เย่จิ่งหลานกำลังพูด ก็ตักออกใส่จานแล้วที่แท้ก็เป็นปลาตุ๋นน้ำแดง หลังจากราดน้ำปรุงรสแล้ว กลิ่นหอมฉุยก็โชยแตะจมูก สีสันดูสดใสน่ารับประทาน อินชิงเสวียนเห็นแล้วก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้นางชอบกินปลามาก แต่นางทำอาหารไม่เก่ง ทำทุกครั้งมักจะมีกลิ่นคาว รสชาติเหลือรับประทานจริงๆ วิธีทำอาหารในวังนั้นจืดชืดเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่ได้กินปลามานานแล้วเมื่อมองดูจานอาหารที่อยู่ด้านข้าง ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ซี่โครงหมูตุ๋น ไก่ชุบแป้งผัดหมาล่า มะเขือม่วงยัดไส้ หอยเชลล์ย่างกระเทียม กุ้งทอดซอส และผัดผักต่างๆ อกีเยอะแยะต้องบอกว่าเย่จิ่งหลานมีฝีมือทำอาหารมากๆ ทุกจานอร่อยครบรส ทำให้คนน้ำลายสอเมื่อเห็นรูม่านตาของอินชิงเสวียนขยายออก เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภ
อินชิงเสวียนอยู่ในวังมานานแล้ว เจตนาแอบแฝงเหล่านี้นางสามารถมองออกหมด แต่ฝ่าบาทองค์นี้ไม่ใช่ฝ่าบาทคนนั้น ดังนั้นนางจึงไม่กังวลนางเล่าเรื่องที่ตัวเองจะจากไปอย่างเปิดเผย และแต่งตั้งซูฉ่ายเวยให้ช่วยจัดการดูแลวังหลังซูฉ่ายเวยก้าวลงจากเก้าอี้ แล้วโค้งคำนับอินชิงเสวียนด้วยความเคารพ“กุ้ยเฟยไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยพระสนมจัดการวังหลังอย่างดี จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย”“เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าย่อมเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องคำนับมีพิธีรีตองขนาดนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว”อินชิงเสวียนประคองซูฉ่ายเวยขึ้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเมื่อไหร่ที่พวกนางจะได้รับการแต่งตั้งยศ ให้กำเนิดโอรสมังกรกับฝ่าบาทบ้าง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีจือย่วนและฉู่หลิงอวี้ ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ มีพระสนมคนนี้อยู่ การจะปีนเตียงมังกรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้ากุ้ยเฟยไปแล้ว นั่นก็ไม่แน่ความคิดบางอย่างแวบเข้ามา แววตาเป็นประกายระยิบระยับอินชิงเสวียนเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยแววตาราบเรียบ มองเห็นความคิดชั่วร้ายของทุกคนได้ชัดเจนนางกระแอมในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ตอนนี้วังหลังไร้นายแล้ว ข้าต้องออกไปทำธุระ ห
รถม้ามาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่เมืองหลวงที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมาก เขายื่นหัวเล็กๆ ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นที่ปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ซ้ายขวา ก็ใช้โอกาสนี้ในการชมทิวทัศน์ภายนอกเย่จิ่งหลานยกมือขึ้นกอดไหล่ตัวเอง นั่งไขว้ห้างมองอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนก็มองออกไปนอกรถเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอย่างไรการได้ไปตาหาเย่จิ่งอวี้ย่อมมีความสุขอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือน นางก็รู้สึกไม่สบายใจบางทีนางอาจจะถือว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแล้วจริงๆเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนยังคงเงียบ เย่จิ่งหลานก็ยกข้อศอกแตะนางอย่างอดไม่ได้“นี่ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”“อืม”อินชิงเสวียนพยักหน้า หันกลับมาแล้วถามว่า “หวังซุ่นก็อยู่ในมิติด้วยหรือ”เย่จิ่งอวี้ยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าสบายๆ “อืม กลัวว่าความอัปลักษณ์ของเขา จะทำให้แม่นางทั้งสองกลัวน่ะ”อวิ๋นฉ่ายถามด้วยสีหน้าพิศวงงุนงงทันที “มิติคืออะไรหรือ”ถึงอย่างไรก็ต้องบอกพวกนางไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถปล่
อินสิงอวิ๋นพยักหน้า“ขอบพระคุณท่านพ่อ”อินจ้งตอบรับ และพูดต่อว่า “การสมรสครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ หวังว่าพวกเจ้าสองคนจะสามารถเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและเจียงวู ทำเพื่อประชาชนของสองอาณาจักร กำจัดความทุกข์ยากของสงคราม”เป่าเล่อเอ่อร์เดินลงมาจากเก้าอี้ในทันที และกล่าวอวยพรแก่อินจ้ง“ใต้เท้าอินวางใจได้เจ้าค่ะ เป่าเล่อเอ่อร์ได้เขียนจดหมายให้แก่พี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม หากสองกองทัพระงับการใช้อาวุธต่อกันได้ พี่ใหญ่จะต้องดีใจอย่างมากเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี”อินจ้งหลือบมองผ้าปูที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถะ ข้าไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นที่สวมชุดคลุมมังกรก็มาถึงตำหนักจินหวูเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนไปแล้ว เขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจทั้งเฝ้ารอให้อินชิงเสวียนสามารถสืบรู้ข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้โดยเร็ว แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดียิ่งไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือผิดกันแน่ หากเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดต่ออินชิงเสวียน เช่นนั้นควรทำอย่างไร? แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สีหน้าของซูถูก็ดูแย่เล็กน้อย“เจ้าสำนักเซี่ยวจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ หากชาวตงหลิวเข้าน่านน้ำทะเลมาเป็นจำนวนมาก ท่านและข้าจะต้องรับมือไม่ทันแน่นอน ควรระมัดระวังไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเรียบว่า “ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งสำนักนิกายเดียว ผู้อาวุโสซูพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่านอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ไร้ผู้ที่สามารถสกัดกั้นตงหลิวได้อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าขอตัวก่อน!”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดจบก็ใช้วิชาตัวเบา และออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไปคนเหล่านี้ไม่อาจแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการแย่งชิงไปให้ได้ ก็ไม่สามารถหาเจอว่าพิณอยู่ที่ใด ตอนนี้จำเป็นต้องไปพบหมอเทวดาหนิงอีกครั้ง เพื่อดูว่านอกจากเย่จิ่งอวี้แล้ว ยังสามารถหาทางออกอื่นในการรักษาเซี่ยวอิ๋นหวนได้อีกหรือไม่ซูถูและคนอื่นๆ ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง และก็จากไปเช่นกันในเวลาเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะกลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตีอย่างแน่นอนแต่จะต้องเอาพิณการเวกตัวนี้มาให้ได้ หากอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่เช่นนี้ยังคงอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี