หัวหน้าเหลียงรูปร่างไม่สูง ขนาดตัวผอมบางเล็กน้อย จึงถูกเย่จิ่งอวี้หิ้วตัวขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศหนาวเย็นที่แผ่นหลัง หัวหน้าเหลียงก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้“ฝ่าบาทโปรดอภัย กระหม่อมได้ให้สาวใช้ล้างบาดแผลให้กุ้ยเฟยเรียบร้อยแล้ว เหนียงเหนียงไม่เป็นอันตรายมากนัก เพียงแต่เสียเลือดเล็กน้อย ต้องการเพิ่มการบำรุงให้ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้สั่งให้คนไปนำโสมพันปีมาต้นหนึ่งแล้ว เพื่อใส่ยาให้แก่กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยเขาปล่อยหัวหน้าเหลียงลง และพูดเสียงเข้มว่า “ต้องการตัวยาชนิดใด เจ้าหยิบใช้ได้ตามสมควร อย่าให้เหนียงเหนียงมีโรคแทรกซ้อนโดยเด็ดขาด”หัวหน้าเหลียงรีบพูดว่า “กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอรับรองว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ร่างกายของเหนียงเหนียงจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม”เย่จิ่งอวี้ไม่อยากเสียเวลาพูดมากกับเขา จึงสาวเท้าเดินไปด้านหน้าเตียงสีหน้าของอินชิงเสวียนซีขาวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนอย่างที่เย่จิ่งอวี้จินตนาการเอาไว้ ดวงตาคู่หนึ่งยังคงลืมอยู่ และมีชีวิตชีวาอย่างมาก“อาอวี้ ท่านมาแล้วหรือเพคะ?”อินชิงเสวียนหันหน้ามา มุมปากแขวนรอ
อาซือหลานไม่ได้สนใจเย่จิ่งหลาน ไม่สนใจว่าเขาคือท่านอ๋อง เพราะเป็นเพียงแค่เด็กอายุไม่กี่ขวบ ไม่ได้มีความน่ากลัวในสายตาเขาเลยเย่จิ่งหลานก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร อย่างไรก็สามารถเข้ามิติได้ตลอดเวลาทำได้เพียงยืนพิงกำแพง และหลับตาทำสมาธิหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงระฆังที่ประตู กลิ่นเครื่องหอมก็โชยมาจากด้านนอกจากนั้นก็ได้ยินคนใช้น้ำเสียงชาวบ้านคุยกันด้วยความแหบพร่า “ต้องรอถึงเมื่อใดจึงจะจับผู้หญิงคนนั้นได้ จอมพลยังคงรอพิณการเวกอยู่ ขอเพียงได้สิ่งนี้มา พวกเราจึงจะสามารถต่อกรกับสำนักแห่งดินแดนจงหยวน เพื่อให้กองทัพข้ามทะเลไปได้”อีกคนหนึ่งพูดว่า “พวกเราไร้ซึ่งหนทางในเมืองหลวง พระราชวังก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ ตอนนี้ทำได้เพียงเชื่ออาซือหลานเท่านั้น”“แต่พวกเรายื้อเวลามานานแล้ว จอมพลจะโกรธหรือไม่?”“เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้เล่า?หากกลับไปมือเปล่า พวกเราต้องโดนผ่าท้อง ข้ายังไม่อยากตายเสียหน่อย”“แม่งเอ๊ย ใครจะอยากตาย ตอนนี้พวกเราหายไปสี่คนแล้ว หากพวกเรายังทำภารกิจไม่สำเร็จ คงต้องจบเห่จริงๆ”“เจ้าพูดถูกแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าสามารถเชื่อถืออาซือหลานได้หรือไม่”“เขาสนิทสนมกับจอมพลหนุ่ม จอมพลหนุ
เย่จิ่งหลานเงยหน้าขึ้น และสบตากับอาซือหลาน และโพล่งคำว่าไอเชี้ยออกมาอย่างอดไม่ได้มารดิสิ ใครจะคิดว่าไอ้สุนัขตัวนี้จะกลับมาว่องไวเช่นนี้ และยังจับตัวสาวรับใช้ของเขามาด้วยอาซือหลานก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน หวังซุ่นโผล่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?“เจ้า...”อาซือหลานยังไม่ทันพูดจบ เขาก็พุ่งตัวเข้ามาจับเย่จิ่งหลานวินาทีถัดไป เรื่องที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ ไม่เพียงแต่หวังซุ่น แม้แต่เป่าเล่อเอ่อร์ก็หายตัวไปแล้วเช่นกันอาซือหลานเดินอยู่บนพื้นสองก้าว แต่ก็ไม่พบกลไกใดๆ อีกทั้งที่นี่คือใต้ดิน ยังสามารถขุดทำกลไกใดได้อีก แม้ว่าจะมีอยู่จริงๆ ก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาเขาไปได้และทั้งสามคนนี้กลับหายตัวไปกลางอากาศต่อหน้าของเขา ซึ่งหายไปเหมือนกับอินชิงเสวียนหรือว่าเจอผี?จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าอีกครั้งเขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง หากบนโลกนี้มีผีอยู่จริงๆ ผู้คนที่ตายไปแล้วนับพันปีก็คงยืนอยู่เต็มดินแดนจงหยวนไปหมดแล้วสิ คนที่ถูกเขาฆ่าตายยิ่งมีจำนวนไม่น้อย หากวิญญาณมีอยู่จริงๆ คงตามมาแก้แค้นเขานานแล้ว จะต้องมีกลไกซ่อนอยู่อย่างแน่นอน“ทหาร ตรวจค้นที่นี่อย่างละเอียด คนพวกนี้คงหนีไปได้ไม่ไกล และค้นหาละแวกใก
ณ พระราชวังอินชิงเสวียนมองเห็นสัญญาณ จึงลุกขึ้นนั่งทันทีนางรู้ว่าหวังซุ่นอยู่ในมิติของเย่จิ่งหลาน เขาจะต้องคิดหาวิธีหนี จึงได้เปิดเผยตัวตนของหวังซุ่นออกมาแต่เพียงแค่ไม่กี่วินาที สัญญาณนั้นก็หายไปทว่ามันก็นานมากพอที่อินชิงเสวียนจะจำตำแหน่งได้อย่างคร่าวๆ“ไปเรียกฉินเทียนและหลี่ชีเข้ามา”เย่จิ่งอวี้กำลังเข้าราชสำนัก หากไม่มีความจำเป็น นางก็ไม่อยากไปรบกวน จึงให้ฉินเทียนและหลี่ชีนำลูกน้องจำนวนหนึ่งไปตรวจดูบริเวณใกล้ๆ ก่อนหลังจากนั้นไม่นาน ฉินเทียนและหลี่ชีก็ก้มหัวเดินเข้ามาทั้งสองคนคุกเข่าอยู่ไกลๆ อยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะเป็นห้องนอนของกุ้ยเฟย แม้ว่าจะทำงานร่วมกับอินชิงเสวียนอยู่หลายครั้ง แต่กลับยังไม่กล้ารีบร้อนอินชิงเสวียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”ฉินเทียนและหลี่ชีจึงลุกขึ้นยืน และก้มหน้าถามว่า “กุ้ยเฟยมีคำสั่งอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”อินชิงเสวียนพูดว่า “พวกเจ้านำลูกน้องสักจำนวนหนึ่งไปในระยะสามลี้จากเมืองเฉิงหนาน เพื่อตรวจสอบดูว่าละแวกใกล้เคียงมีคนต่างชนเผ่าหรือไม่ รวมทั้งบ้านที่ทิ้งว่าง จำไว้ว่าอย่าเข้าไปตรวจในบ้าน เพียงเรียกเฉยๆ ก็พอ
“ฟางรั่ว!”กวนเซี่ยวตะโกนเสียงดัง ฟางรั่วก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาความโกรธประดังเข้ารุมเร้าหัวใจ เลือดก็กระอักออกจากปากในระหว่างที่เขาล้มคลุกลงบนพื้น มือข้างหนึ่งเข้ามาจับเขาไว้กวนเซี่ยวผ่อนคลายลง และเงยหน้ามอง“พี่สิงอวิ๋น”อินสิงอวิ๋นปล่อยมือ และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สหายกวนจะไปที่ใด จะไปพบหน้าจอมโจรนั่นใช่หรือไม่?”กวนเซี่ยวไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับเขา เพราะเขาเอาน้องสาวของผู้อื่นมาทำข้อตกลง เขาจึงเบี่ยงสายตาไปอีกด้าน และพูดเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ ข้าเพียงออกมาเดินเล่นเท่านั้น”อินสิงอวิ๋นมองเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และพูดเสียงเข้มว่า “สหายกวน ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ผิดรู้ชอบ อย่าทำเรื่องที่ผิดต่อผู้อื่นและไม่เกิดผลดีต่อตัวเอง ข้าถูกอาซือหลานหลอกลวงมาแล้วหนึ่งครั้ง ครั้งนี้ต้องการคิดบัญชีกับเขา หากเจ้ารู้ที่อยู่ของเขา หวังว่าเจ้าจะบอกข้าได้”“ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็อยากตามหาเขาเพื่อช่วยหญิงงามคนรู้ใจของข้า และหวังว่าสหายอินจะช่วยข้าได้อีกแรง”กวนเซี่ยวพยายามระงับกลิ่นคาวที่พุ่งเข้ามาในลำคอ และมีการอ้อนวอนอยู่ในน้ำเสียงของเขาอินสิงอวิ๋นไม่อยากถามเรื่องของกวนเซี่ยว ขอเพียงมั่น
สีหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย คลี่ยิ้มทันทีและพูดว่า “มีป้ายตราคำสั่งหรือไม่”อาซือหลานหยิบป้ายหยกดำออกมาจากมือ เฟิงเอ้อร์เหนียงมองดูแวบหนึ่ง นางอดแปลกใจเสียมิได้ คนผู้นี้อายุน้อยขนาดนี้ แต่เป็นถึงผู้อาวุโสเชียวรึ“มากับข้าสิ”เมื่อมาถึงเรือนหลัง เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าหอฮวาเย่ว์ของเราจะรับใช้สำนักเซียวเหยา แต่ร้านก็มีกฎของร้าน เชื่อว่าคุณชายท่านนี้คงทราบดีกระมัง”อาซือหลานหยิบก้อนทองหยวนเป่าขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แล้วโยนให้เฟิงเอ้อร์เหนียง“ไม่ต้องพูดมาก ข้าค่อนข้างรีบ”เฟิงเอ้อร์เหนียงรับก้อนทองหยวนเป่าไว้ เหลือบมองเบาๆ แล้วพูดกับอาซือหลาน “หวังว่าคุณชายจะมีเมตตาต่อสาวๆ เรา”นางชี้ไปที่ประตูห้องที่ดีที่สุด อาซือหลานแทบรอไม่ไหวที่จะเดินเข้าไปเจ้าเด็กเปรตเย่จิ่งหลานจู่ๆ ก็หายตัวไป ช่างน่าแปลกมากจริงๆ อาซือหลานไม่แน่ใจว่าเขาได้ออกจากระเบียงแล้วหรือยังไม่ว่าเจ้าเด็กเปรตนั่นจะหนีไปแล้วหรือไม่ก็ตาม การต่อสู้อันดุเดือดก็รออยู่ข้างหน้าหากอินสิงอวิ๋นรู้ว่าตัวเองจับตัวเป่าเล่อเอ่อร์ไว้ เขาต้องลงมือแน่นอน รวมไปถึงเย่จิ่งอวี้ เย่จั้น และองครักษ์เงามากมายในวั
เมื่อเย่จิ่งหลานได้ฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง จู่ๆ ก็เกิดความคิดกล้าหาญแวบขึ้นมาในใจทันทีหากตัวเองสวมรอยเป็นคนญี่ปุ่นเหล่านี้...ดูเหมือนหวังซุ่นจะอ่านความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นทันควัน “ท่านอ๋องน้อยอย่าพยายามดีกว่า ไอ้บ้าสองคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพวกเขาสังเกตเห็นข้อพิรุธ ข้าคงไม่ถูกคว้านท้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ท่านอ๋องน้อยไม่มีทักษะวรยุทธ์เลยด้วยซ้ำ”เป่าเล่อเอ่อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเกลี้ยกล่อมอีกคน “รออีกหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราเอง”เย่จิ่งหลานพูดว่า “แทนที่จะรอคนอื่น ไม่สู้หาทางช่วยตัวเองก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้ว ถึงล้มเหลวก็ไม่น่าเสียดาย อยู่อย่างนี้ต่อไปมันบัดซบจริงๆ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว” เขาพูดภาษาญี่ปุ่นกับหวังซุ่นหลายคำ แล้วถามว่า “สำเนียงของข้าเหมือนคนญี่ปุ่นแท้ๆ ไหม”หวังซุ่นยกนิ้วโป้งให้“ที่ท่านอ๋องพูดเหมือนคนญี่ปุ่นมากกว่าข้าอีก”เดิมทีเจ้าหมอนี่ก็รู้จักประจบประแจงอยู่แล้ว ตอนนี้มาติดตามเย่จิ่งหลาน ได้กินของที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ใครมีน้ำนมเลี้ยงก็เรียกเป็นแม่ จึงคิดที่จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เกรงใจ “ตา
“บากะ (โง่เง่า)!”ชายตงหลิวคนหนึ่งตะโกนด่า“ห้ามเจ้าว่าท่านอ๋องน้อยของพวกเราแบบนี้นะ”อาซือหลานพูดภาษาของพวกเขา “แหกตาหมาๆ ของเจ้ามองดูให้ชัดเจน นี่คือฝูอี้อ๋องแห่งต้าโจว จะกลายเป็นท่านอ๋องน้อยของพวกเจ้าได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานตะโกนด่า “บากะยาโร่ว (ไอ้พวกโง่) อย่าฟังเขาพูดเหลวไหล ฆ่าเขาซะ”ทั้งสองคนที่ขาดความเฉลียวฉลาดรีบพุ่งพรวดเข้าไปทันที ซัดฝ่ามือใส่อาซือหลานทันทีเย่จิ่งหลานถือโอกาสเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติตอนนี้อยู่บนถนน ไม่มีทางที่อาซือหลานจะมานั่งเฝ้าดูเขาอยู่ที่นี่ทุกวัน นี่ก็เท่ากับว่าหลบหนีออกมาได้แล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยุยงให้คนโง่สองคนก่อกบฏได้ เป็นผลกำไรล้วนๆ เลยทีเดียวหวังซุ่นยกนิ้วให้เย่จิ่งหลานทันที“ท่านอ๋องร้ายกาจจริงๆ หลอกลวงพวกเขาได้ด้วย”เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย”หวังซุ่นถามอีกครั้ง “เหตุใดท่านอ๋องจึงพูดภาษาตงหลิวได้”“คิดว่าเป็นพรสวรรค์พิเศษของข้าก็แล้วกัน แล้วเจ้ามาที่ต้าโจวได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานพลางสังเกตสถานการณ์ภายนอก พลางหาเรื่องคุยไปเรื่อยหวังซุ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาจารย์ของข้าเป็นคนจงหยวน ปีนั้นเขาข้ามทะเลเป่ย