สวีจือย่วนรีบบีบนิ้วของนางอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับและพูดว่า “ไม่เป็นไรเพคะ อีกสักครู่ก็จะหายดี กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอถวายบังคมพระสนมเหนียงเหนียง”หานปิงได้นำผ้าสีขาวผืนหนึ่งมาแล้ว“พระสนม พันแผลไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ”ซูฉ่ายเวยยิ้มและพูดว่า “รีบหน่อยเถอะน้องสาว อย่าให้ฝ่าบาทต้องเป็นกังวลเลย”สวีจือย่วนจึงยื่นนิ้วออกมา ให้หานปิงพันนิ้วให้เย่จิ่งอวี้เหลือบมองใบหน้าของนาง ยังคงบวมแดงเล็กน้อยการทุบตีนางสนมเพราะความผิดที่ไม่มีมูลเช่นนี้ ไทเฮาช่างน่าขยะแขยงจริงๆเขาขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหยาเฟยได้บอกข้าแล้ว ทำให้เจ้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรม”สวีจือย่วนก้มลงอย่างสง่างามและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาททรงเป็นห่วง กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจมาก ขอฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิพระนางเหยาเฟย นางทำเพื่อกระหม่อมเพคะ”ซูฉ่ายเวยพูดต่อว่า “เจ้าวางใจเสียเถอะ ฝ่าบาทจะตำหนิน้องเหยาเฟยได้อย่างไร”เมื่อนึกถึงท่าทางของอินชิงเสวียนที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้น และทันใดนั้นเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงมาก“นางไม่ได้มีความผิดอะไร ข้าไม่ตำหนินางแน่นอน”สวีจือย
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างเพียงคืบเดียว อินชิงเสวียนกระโดดโหยงในทันทีครูดถอยหลังหลายก้าวและพูดว่า “กระหม่อมมีระดู ไม่อาจปรนนิบัติฝ่าบาทได้เพคะ เชิญฝ่าบาทหาคนอื่นเถอะเพคะ”นางไม่เคยแม้แต่จะมีความรักกับใคร จู่ๆ จะให้ขึ้นหอลงเรือนร่วมเตียง ไม่มีทางทนไหวแน่เย่จิ่งอวี้ดึงมือของนางไว้ ยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้คิดจะทำสิ่งใด ได้พูดคุยกับเจ้าก็พอแล้ว”อินชิงเสวียนชักมือกลับมา“เช่นนั้นก็คุยที่นี่เลยเพคะ”เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้ก็ถึงเวลาดึกมากแล้ว เจ้ายังคิดจะยืนคุยกับข้าตรงนี้หรือ พรุ่งนี้ข้ายังมีทำราชกิจเช้าอีกนะ”พูดจบก็เดินมาข้างเตียง และต่างคนต่างถอดรองเท้าอินชิงเสวียนรีบร้อนขึ้นมาทันที“นี่ ท่านคงไม่คิดจะพักที่นี่จริงๆ นะเพคะ?”ใครจะเชื่อคำพูดบ้าๆ ของผู้ชายได้เย่จิ่งอวี้ถอดหยกคาดเอวออก และคลายเสื้อคลุมด้านนอกลงทันที กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ผลุบๆ โผล่ๆ และกระดูกไหปลาร้าอันประณีตงดงามผ่านเข้าม่านตาของอินชิงเสวียนทันทีอินชิงเสวียนรีบเบี่ยงเบนสายตาไปอีกด้าน แม้จะเคยเห็นร่างเปลือยของเย่จิ่งอวี้ แต่ความรู้สึกตอนนี้ที่ถือพิณปิดบังใบ
อินชิงเสวียนนอนหลับค่อนข้างเบา นับตั้งแต่ตอนที่เย่จิ่งอวี้ผลักขาของนาง นางก็ตื่นขึ้นแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดใจโดยไม่จำเป็น นางจึงแกล้งหลับต่อไปจนกระทั่งฝีเท้าของเย่จิ่งอวี้เดินจากไปไกล นางจึงค่อยๆ ถอนหายใจช้าๆนางรู้อยู่นานแล้วว่าท่านอนของตัวเองดูไม่ดีมากนัก ตอนเรียนมหาวิทยาลัยยังเคยตกจากที่นอน เมื่อคืนนี้นางพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเตือนตัวเองว่าผู้ที่นอนข้างกายคือฝ่าบาท แต่ร่างกายกลับไม่รู้ตัวแต่ก็ดี เย่จิ่งอวี้ถูกขี่ครั้งเดียวน่าจะไม่มาอีกแล้วอินชิงเสวียนพลิกตัวเพื่อเตรียมนอนหลับต่อ เมื่อคิดได้ว่าวันนี้จะได้ออกจากวัง จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และความง่วงนอนก็หายไปในทันทีนางหยิบโทรศัพท์สับปะรดเครื่องใหญ่ของตัวเองออกมาจากใต้หมอน เมื่อเปิดหน้าจอก็พบรูปหน้าจอของครอบครัวสามคนหากไม่ใช่ยุคโบราณ อินชิงเสวียนแทบคิดว่าเป็นรูปถ่ายในละครมันมีกลิ่นอายโบราณมากเกินไปจริงๆ และใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ที่หล่อเหลาสามร้อยหกองศาไม่มีมุมดับ แต่งกายด้วยชุดลำลอง สีหน้าของเขาไม่เย็นชาและเคร่งขรึมมากนัก ราวกับเทพบุตรผู้ทรงสง่าเมื่อเห็นแววตาที่ประหลาดใจของเขา อินชิงเสวียนอดไ
“หา? คิดราคาเท่าใดกัน?” อินชิงเสวียนถาม“ต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย แต่โชคดีที่มีปริมาณมาก ข้าจึงขายทั้งหมด”หลิวเหล่าไท่ไท่ครุ่นคิด และพูดขึ้นว่า “อีกฝ่ายบอกอีกว่าอยากได้เมล็ดพันธุ์ หากว่ามีเมล็ดพันธุ์ พวกเขาจะให้ราคาเป็นสองเท่า”“ราคาสองเท่างั้นหรือ?”อินชิงเสวียนอดใจเต้นไม่ได้“คนแบบใดกันที่มาซื้อไป?”หลิวเหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดและพูดว่า “เป็นแม่นางคนหนึ่ง ท่าทางสะสวยทีเดียว”แม่นาง?ในระหว่างที่อินชิงเสวียนครุ่นคิด หลิวเหล่าไท่ไท่ก็พูดขึ้นว่า “ไม่เพียงแต่ร้านของพวกเรา แต่ทุกร้านที่มีข้าวและเส้นหมี่ต่างถูกพวกเขาซื้อไปหมด ทว่าร้านค้าแบบนี้ไม่ได้มีมาก ในเมืองหลวงมีเพียงสองสามร้านเท่านั้น”ตอนนี้ข้าวและเส้นหมี่ยังไม่ค่อยกระจายมากนัก จึงมีไม่เยอะจริงๆอินชิงเสวียนจับคางและพยักหน้าเบาๆ“ข้ารู้แล้ว อีกครู่ข้าจะให้คนทิ้งแป้งหมี่ขาวไว้ให้จำนวนหนึ่ง หากพวกเขามาอีก ก็บอกว่าเรามีเมล็ดพันธุ์ แต่ให้พวกเขาทิ้งที่อยู่ไว้ ข้าจะหาเวลามาเจรจากับพวกเขาเอง”หลิวเหล่าไท่ไท่พยักหน้าติดต่อกันและพูดว่า “ได้ ข้าจดไว้แล้ว”นางเดินไปที่ด้านหลังข้างๆ ถุงข้าวใบหนึ่ง แล้วหยิบตั๋วเงินออกมาจำนวน
หานสือหัวเราะชอบใจและพูดขึ้นว่า “นับตั้งแต่เหนียงเหนียงขอฝนครั้งนั้น พืชผลมีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นมาก”สำหรับเรื่องของการขอฝน แม้ว่าหานสือไม่เชื่อ แต่แล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงประชาชนได้รับประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว ไม่สนใจว่าฝนจะมาจากที่ใดอินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ใต้เท้าเฒ่าอยู่ในทุ่งนาตลอดทั้งวัน คงจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย”หานสือประสานมือและพูดว่า “เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กระหม่อมพึงกระทำ เชิญฝ่าบาทและเหนียงเหนียงทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนมาที่ขอบทุ่งนาซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ พร้อมชาอุ่นๆ เพื่อคลายความร้อนหานสือสั่งให้คนขนย้ายก้อนหินเล็กๆ มาหลายก้อน พร้อมกับเชิญฝ่าบาทและอินชิงเสวียนนั่งลงเมื่อมองดูคลื่นข้าวสาลีที่พัดไปตามสายลม อินชิงเสวียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาก“หม่อมฉันอยากไปเดินเล่นที่ทุ่งข้าวสาลีเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “ไปเถอะ อย่าเดินไปไกลล่ะ”ฉินเทียนและหลี่ฉีเดินตามไปในทันทีหลังจากอินชิงเสวียนเดินไปไกลแล้ว เย่จิ่งอวี้ถามว่า “แป้งและข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในคราวก่อน ถึงมือของราษฎรหรือไม่?”หานสือพูดด้วยความเคารพทันที “กระหม่อมมอบให้ก
อินชิงเสวียนยิ้มขึ้นมาในทันที“ฝ่าบาทรู้สิ่งใดเพคะ กระหม่อมเพียงแค่พูดเรื่อยเปื่อย นอกวังจะดีมากเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับอาหารเลิศรสและอาภรณ์สวยหรูในวังได้เพคะ และยังมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อีกมากโข”เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้ เย่จิ่งอวี้ก็สับสนในใจเขารู้ดีว่าเหตุใดอินชิงเสวียนจึงพูดเช่นนี้ นางกลัวว่านางจะรักษาสัญญาที่นางอยากให้ไม่ได้เขาก็อิจฉาชีวิตของคนธรรมดาเช่นกันความรักของสามีภรรยา ลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ ครอบครัวที่มีความสุข!แต่ว่า ในเมื่อเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงแล้ว เขาจะต้องแบกรับความรับผิดชอบของผู้เป็นใหญ่ความมั่นคงของไพร่ฟ้าและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ล้วนอยู่ในมือของเขาเขาจะกล้าให้สัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร!เมื่อถอนหายใจเงียบๆ เย่จิ่งอวี้จับมือที่เย็นเล็กน้อยข้างนั้นของอินชิงเสวียนไว้“หากเจ้าชอบนอกวัง ข้าจะออกมาเดินเล่นกับเจ้าบ่อยๆ”เมื่อสี่ตาประสานกัน อินชิงเสวียนก็สับสนมึนงงขึ้นทันทีความรักอันลึกซึ้งในดวงตาแหลมคมนั้นราวกับเหวที่ไม่มีก้นบึ้ง ราวกับว่ามันกำลังจะดูดนางเข้าไปการหายใจของอินชิงเสวียนไม่ค่อยราบรื่น และหัวใจของนางก็เต้นเหมื
ขณะนี้ อินชิงเสวียนได้นำไป๋เสวี่ยออกจากวังแล้วนางรู้ว่าวันนั้นเจ้าสุนัขดื่มน้ำพุวิญญาณ จึงสามารถเลียตุ่มบนตัวของเสี่ยวหนานเฟิงจนหายดีได้ แต่ว่าเย่จิ่งอวี้ไม่รู้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาสงสัย จึงทำได้เพียงให้มันตามไปด้วยไป๋เสวี่ยไม่ค่อยได้ออกจากวัง และเมื่อได้ออกมากับอินชิงเสวียน จึงอดไม่ได้ที่จะกระโดดไปข้างหน้าและข้างหลังด้วยความดีใจ จนม้าของอินชิงเสวียนร้องครางเสียงยาว และแทบทำให้นางไหลตกลงไปไป๋เสวี่ยเห่าเสียงโฮ่งไปที่ม้าทันที ม้าหยุดฝีเท้าหน้าลงราวกับมันฟังเข้าใจ และบรรทุกอินชิงเสวียนไว้อย่างระมัดระวังอินชิงเสวียนกลัวว่ามันจะทำให้ผู้อื่นตกใจ จึงตำหนิในทันที “อย่าวิ่งเพ่นพ่าน ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไป”ไป๋เสวี่ยครางหงิงๆ และเดินตามม้าของอินชิงเสวียนอย่างเชื่อฟังฉินเทียนและหลี่ฉีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ทั้งสองต่างพูดว่าไป๋เสวี่ยดุร้ายและเลี้ยงยาก แต่กลายเป็นลูกแมงทันทีที่อยู่ข้างกายเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงทรงมีวิธีจริงๆ ด้วยในระหว่างที่ครุ่นคิดก็ได้เข้ามายังถนนเทียนเจียครั้งที่ออกจากวังก่อนหน้านี้ เหล่าราษฎรยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับมีคนจำนวนไม่น้อยนอนร้องโหยหวนอย
ขณะนี้ พระอาทิตย์ได้ตกดินแล้วผู้คนที่ทำการค้าขายบนถนนเทียนเจียต่างก็เก็บแผงขายของหมดแล้ว ถนนดูว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้ยืนอยู่ตรงกลางของถนน ซึ่งให้ความรู้สึกสูงตระหง่านแปลกตาเล็กน้อยไป๋เสวี่ยยืนห่างจากเขาห้าก้าว รอให้ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอินชิงเสวียนรีบตะโกนขึ้น “ไป๋เสวี่ย กัดคนมั่วซั่วไม่ได้นะ!”ไป๋เสวี่ยกลับเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว คนคนนั้นก็ค่อยๆ ก้มหัวลงและมองไปที่ไป๋เสวี่ยอินชิงเสวียนอดตื่นตกใจไม่ได้ จึงรีบลงจากหลังม้า และก้าวเท้าไปยังข้างตัวไป๋เสวี่ยด้วยความว่องไวไป๋เสวี่ยดมกลิ่นจากตัวของคนคนนั้น จู่ๆ ก็แลบลิ้นออกมาและเลียบนมือของเขาหนึ่งทีอินชิงเสวียนแปลกประหลาดใจเล็กน้อย ไป๋เสวี่ยแสดงความเป็นมิตรกับคนแปลกหน้างั้นหรือ?นางเงยหน้ามองไปที่คนคนนั้น หลับเห็นว่าคนคนนั้นก็กำลังมองนางเช่นกัน ดวงตาที่ลุกโชน ทำให้อินชิงเสวียนยากที่จะรับมือนางรีบถอดสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว กำหมัดและพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ อย่าได้กลัวไปเลย ไป๋เสวี่ยไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่าน”จู่ๆ คนคนนี้ก็คว้ามือนางไปจับไว้“ชิงเสวียน นี่ข้าเอง!”เสียงที่คุ้นเคยทำให้อินชิงเสวียนสั่นเท