เย่จิ่งหลานคิดว่าตัวเองตาฝาด ฉากนั้นน่าทึ่งมากจริงๆ!หญิงสาวผู้นั้นปิดหน้าด้วยผ้าโปร่ง สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าโปร่งสีชมพูอ่อนที่ดูเบาบางโปร่งแสง ทำให้เห็นผิวพรรณรูปร่างบางส่วน ซึ่งสร้างความรู้สึกที่น่าสนใจและเย้ายวนใจนางเยื้องย่างเข้าไป เดินไปหาเย่จิ่งหลาน ห่างเพียงไม่กี่ก้าว เดินไปอย่างอ่อนช้อยน่ามอง ทำให้คนอดคิดไปไกลไม่ได้เย่จิ่งหลานขยี้ตา ผู้หญิงคนนั้นมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว“คุณชายน้อย ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”นางเอื้อมมือที่เรียวบางออกมา เกี่ยวคางของเย่จิ่งหลาน ผ้าคลุมอันอ่อนนุ่มตกใส่บนใบหน้าของเย่จิ่งหลาน ทำให้รู้สึกจั๊กจี้เย่จิ่งหลานอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมา ดึงผ้าคลุมออกจากใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นเดิมคิดว่านี่เป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวนมาก แต่คิดไม่ถึง ว่าจะกลายเป็นใบหน้าที่แสนบริสุทธิ์ใบหน้ารูปไข่ได้รูป ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ด้วยคิ้วที่โก่งนิดๆ ทำให้ดูมีบุคลิกที่สง่างามและแข็งแกร่งเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้เย่จิ่งหลานรู้สึกว่านางดูเหมือนอินชิงเสวียนเล็กน้อยเขาต้องการถามว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่ริมฝีปากบางของผู้หญิงคนนั้นทาบทับลงมา เรียวมือคล้ายดอกบัวคู่หนึ่งโอบกอดคอข
แต่เพียงชั่วครู่หนึ่ง เงาหมอกนั้นก็หายไป“มีอะไรหรือ”ข้อมือของเย่จิ่งหลานสั่น โยนเขาลงบนเก้าอี้ในห้องอย่างแม่นยำหวังซุ่นมองอีกครั้ง อาจเป็นเพราะตัวเองตาฝาดไปเขาหัวเราะแหะๆ และพูดอย่างชาญฉลาด “เรื่องนั้นน่ะหรือ อ้อจริงสิ ศิษย์หลายคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต้องการขึ้นไปบนภูเขา”เย่จิ่งหลานพูดด้วยความโกรธว่า “จะขึ้นไปทำอะไร อยู่กับข้าที่นี่ดีกว่า ตอนนี้ตำหนักเทพหอทองคำอาจไม่ปลอดภัย ที่นี่ใกล้กับอิ๋นเฉิง หากเจอเรื่องไม่คาดฝันจริงๆ ก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากอิ๋นเฉิงได้”“นายท่านพูดถูก บ่าวจะกลับไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้”หวังซุ่นกลัวถูกยำเละ จึงวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาจากไป เย่จิ่งหลานก็ค้นหาไปรอบๆ อีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลยให้ตายเถอะ คงอัดอั้นไว้นาน ไม่งั้นคงไม่ฝันแบบนี้เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ หยิบผ้าคาดเอวที่ห้อยอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าที่ตำหนักเทพหอทองคำเป็นอย่างไรบ้างขณะที่เย่จิ่งหลานกำลังคิดเรื่องนี้ ฉุยอวี้ก็พาคนกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย แม้แต่รอยเท้าก็ไม่มี“คงไม่ใช่คนตงหลิว แม้ว่าคนตงหลิวจะมีเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่อาจไม่ทิ้งร่องรอยไว
หลิวซือจวินเป่าลมหายใจออก แล้วจึงพูดว่า “ขอบคุณแม่นางอิน”“ไม่ต้องเกรงใจ ไปกันเถอะ”อินชิงเสวียนเดินออกจากประตูอย่างรวดเร็ว หลิวซือจวินเดินตามหลังนางไปด้วยความคิดที่ซับซ้อนตามลำดับอายุแล้ว อินชิงเสวียนควรจะเป็นน้องสาวของนาง เฮ่อฉางเฟิงก็อายุน้อยกว่านางเช่นกัน ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานั้นได้อยู่คนเดียวลำพัง แต่จู่ๆ ก็มีน้องชายกับน้องสาวเพิ่มขึ้นมา ในใจทั้งมีความสุขและความกังวลในเวลาเดียวกันมีความสุขที่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีก ภายหน้าถ้าประสบพบเจอกับเรื่องใด ก็มีคนให้ปรึกษาหารือด้วย แต่สิ่งที่กังวลก็คือเฮ่อยวนจะเต็มใจยอมรับตัวเองหรือไม่ แล้วเจ้าตำหนักเหม่ยผู้นั้น จะยอมรับหรือไม่ขณะที่ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินอินชิงเสวียนถามว่า “คุณชายหลิวมาที่นี่ เพื่อมาศึกษาวิชาแพทย์เท่านั้นหรอกหรือ”หลิวซือจวินต้องการบอกจุดประสงค์ของการเดินทางของตัวเองมาก แต่ในที่สุดก็ระงับไว้“ใช่ ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ ก็ได้ยินชาวบ้านกล่าวขานกันว่าคนในอิ๋นเฉิงมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เจ้าเมืองก็ใจดีมีเมตตามาก ซือจวินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า จึงเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาทันทีที่ได้พบ”อินชิงเสวียนชะลอความเร
หลิวซือจวินโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็ว“ไม่ใช่ๆ ข้าแค่ถามเฉยๆ”อินชิงเสวียนกลับเข้าใจผิดไปแล้ว การที่สาวน้อยจะชื่นชมวีรบุรุษ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก ที่พ่อแม่ได้กลับมาคืนดีกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นอีก“ท่านพ่อมีความรักต่อท่านแม่อย่างลึกซึ้ง ชาตินี้ไม่มีวันรับอนุอีก ยิ่งไม่มีใครสามารถทำลายพวกเขาได้ และข้าก็ไม่ยอมให้ใครทำเช่นนี้เช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวซือจวินก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อยตามเรื่องเล่าต่างๆ มักบอกว่าหญิงงามต้องคู่กับวีรบุรุษ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่จะบอกว่าในใจไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองใจเลยสักนิด ก็คงเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าเฮ่อยวนจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม เขาไม่ควรละทิ้งพวกนางสองแม่ลูก แม้ว่าแม่ของนางจะหน้าตาธรรมดา แต่ก็ยังคงเป็นภรรยาคนแรกของเขาแล้วก็คิดอีกครั้ง บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลอะไรที่จำใจต้องทำ หรือบางทีเขาอาจจะกลับไปตามหาพวกนางแม่ลูกแล้ว แต่พวกนางกลับย้ายที่อยู่ไปแล้วนางถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าเมืองเฮ่อเป็นคนที่มีความรักลึกซึ้งจริงๆ”“นั่นเพราะเขามีความรักต่อแม่ของข้า”เมื่อคิดถึงแม่ หลิวซือจวินก็รู้สึกสะเทือนใจ“แ
“มาแล้วขอรับ”หวังซุ่นหดคอเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว“บ่าวถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย“ลุกขึ้นเถอะ ที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่ เพราะอยากได้หน้ากากผิวหนังมนุษย์ของเจ้า แต่ข้าไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของบุคคลนั้นมาก่อน โชคดีที่มีศิษย์จากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ด้วย ไปตามคนมาหน่อย”หวังซุ่นไม่เข้าใจว่าอินชิงเสวียนหมายความว่าอะไร เย่จิ่งหลานจึงพูดว่า “ไปตามฉินเซ่อผีผามา เดี๋ยวพวกนางจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง”“อ้อ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”หวังซุ่นไม่กล้าชักช้า หลังจากปิดประตูก็วิ่งแจ้นไป วันนี้เจ้านายยิ่งหงุดหงิดมากกว่าปกติ เขาไม่อยากขัดใจเจ้านายให้ตัวเองซวยหรอกนะหลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ทั้งสี่ก็มาถึง ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ยังคงเศร้าเสียใจกับการจากไปของเจ้าสำนักเซี่ยว ดวงตาบวมแดงไปหมดทั้งหมดกำลังจะทำความเคารพ แต่ก็ถูกอินชิงเสวียนห้ามไว้“หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านตา มีเพียงนักพรตเทียนจีที่หายตัวไป ซึ่งน่าสงสัยมาก ข้าอาจมีวิธีล่อเขาออกมา สอบถามเรื่องราวทั้งหมด ขอให้พี่สาวทั้งสี่ช่วยอธิบายความสูงและรูปร่างหน้าตาของนักพรตเทียนจี ร
ชายคนนี้สวมชุดคลุมสีฟ้าเทา คอเสื้อถูกซักจนสีซีด แต่กลับดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มีใบหน้าซูบตอบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตาที่ห่วงใยทุกสรรพสิ่งและความสงบสุขเมื่อสบตากัน อารมณ์วุ่นวายของอินชิงเสวียนดูเหมือนจะสงบลงทันทีนักพรตเต๋าชรายิ้มให้นาง แล้วหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกอาหารเข้ามา“พี่ชายน้อยท่านนี้ ที่นี่มีเสบียงอาหารแห้งขายหรือไม่”เสี่ยวเอ้อร์มองดูเสื้อผ้าซอมซ่อของเขา ได้กลิ่นความยากจน จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หมั่นโถวหรือแป้งเปี๊ยะก็ไม่มีทั้งนั้น ที่ถูกที่สุดมีแค่บะหมี่ ราคาชามละเจ็ดอีแปะ ถ้าเจ้าอยากกิน ก็รอจนกว่าข้าจะทำอาหารให้ลูกค้าทั้งสองท่านนี้เสร็จก่อน แล้วจะทำให้เจ้า”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด เย่จิ่งหลานก็ชิงพูดขึ้นเสียพูดก่อน“พูดอะไรแบบนั้น เจ้าไม่รู้จักคำว่าเคารพผู้อาวุโสปรานีเด็กหรือไง ค่าอาหารของท่านผู้เฒ่าคนนี้ ข้าจะเลี้ยงเอง”อินชิงเสวียนก็ยืนขึ้นเช่นกัน ประกบมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตท่านนี้ หากไม่รังเกียจ ทำไมไม่ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราพี่สาวน้องชายล่ะ?”เย่จิ่งหลานรีบแก้ไขทันที“เป็นพี่ชายน้องสาว”อินชิงเสวีย
อินชิงเสวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่เห็นใครเลยเดิมทีนางคิดว่าเป็นเย่จิ่งอวี้ แต่ดูเหมือนว่านางคิดผิด นางหันความสนใจไปที่เย่จิ่งหลานทันที เขาดูเหมือนจะสับสนเช่นกันดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันครู่หนึ่ง เย่จิ่งหลานก็ลอยขึ้นข้างบน แล้วถอยกลับไปหลายจั้ง“ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ เจ้านักพรตเฒ่าจมูกวัวบัดซบ อย่าหวังว่าจะพาข้ากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ได้”นักพรตเทียนชิงลูบเครายิ้มๆ“พี่ชายน้อยคนนี้ใจร้อนเกินไป นั่งลงเถอะ”เขาหมุนควงแขนเสื้อ เย่จิ่งหลานก็เหมือนถูกพลังอำนาจลึกลับบางอย่างดึงกลับไปที่เก้าอี้เดิมอย่างแม่นยำอินชิงเสวียนหัวใจเต้นแรงขึ้น นักพรตชราผู้นี้มีฌานตบะแกร่งกล้ามาก โชคดีที่เขาไม่มีเจตนาชั่วร้าย จึงรู้สึกโล่งใจลงบ้าง“จิ่งหลาน ท่านนักพรตพูดถูก เจ้าอยากอธิบายเรื่องชาดแห่งบาปให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ”เย่จิ่งหลานรู้สึกราวกับว่าก้นถูกยึดติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่สามารถขยับได้เลย อดไม่ได้ที่จะผรุสวาท “นักพรตจมูกวัวบัดซบพวกนี้จะพูดความจริงอะไรออกมาได้ แต่ละคนพอเจอหน้ากันก็มีแต่จะจับตัว ข้าไม่ใช่ศัตรูพืชในนาข้าวนะ ทำไมต้องถูกทุกคนในโลกจับตัวด้วย”อินช
เย่จิ่งหลานแค่นเสียงชิและพูดว่า “เจ้าอย่าอวยพวกเรานักเลย ไม่ว่าเราจะมาจากไหน เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพ เราไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยโลก แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น”นักเต๋าเทียนชิงกล่าวว่า “ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่สุขสงบ แต่วันที่สงบสุขเหล่านี้ ก็ต้องมีวีรบุรุษที่ไร้ชื่อคอยปกป้องอยู่เงียบๆ บางสิ่งไม่ใช่ความปรารถนาของเจ้าเอง แต่เป็นการเลือกของสวรรค์”ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงปลงอนิจจังในใจ ซึ่งทำให้นางนึกถึงคำพูดทั่วไปในยุคปัจจุบัน เจ้าคิดว่าสงบสุขนั้น เพราะมีคนแบกรับภาระให้เจ้าพวกเขาช่วยกันปกป้องเป่ยไห่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นคุณูปการต่อประชาชนในโลกนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากอะไรในอนาคตจึงถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “อาจจะใช่ ในเมื่อเราเป็นคนของราชวงศ์โจวเช่นนั้นจึงควรทำหน้าที่ปกป้องราษฎรใต้หล้า ตั้งใจอย่างดีที่สุด ในอีกน้อยปีข้างหน้า จะไม่เหลือความเสียดายใดๆ”นักพรตเทียนชิงยกย่องนางว่า “พูดได้ดี หากอาตมภาพเดาไม่ผิด แม่นางผู้นี้คงจะเป็นฮองเฮาคนปัจจุบัน”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย เรื่องนี้ก็ยังมองออก นักพรตชราผู้นี้มีความสามารถบางอย่างจริงๆจากนั้นจึงประ