"อะแฮ่ม"เสียงกระแอมของกู้อวิ๋นหานทำให้เจิ้งจิ่งเหอและเสิ่นลี่จูหันขวับมามอง ก่อนที่คนทั้งสองจะรีบปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน"อวิ๋นหาน เจ้ามาแล้วหรือ""พ่ะย่ะค่ะ"กู้อวิ๋นหานเอ่ยจบก็ปรายตามองเสิ่นลี่จูคราหนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพนางอย่างขอไปที เสิ่นลี่จูคร้านจะใส่ใจพวกเขาสองคนแล้ว จึงคิดจะกลับตำหนักของตน อย่างไรพวกเขาก็ไม่ชอบหน้านาง ดันทุรังนั่งอยู่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างกระอักกระอ่วนใจเสียเปล่า ๆ"เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวกลับตำหนักก่อนนะเพคะ""ใครให้เจ้าไสหัวไป นั่งลง"เจิ้งจิ่งเหอเอ่ยกับนางอย่างเย็นชา เสิ่นลี่จูมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้เอ่ยทัดทานสิ่งใด"อวิ๋นหาน อีกสามวันเจ้าจงตามเสิ่นลี่จูไปที่จวนตระกูลเสิ่น บอกว่านางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม เจ้าจงเป็นตัวแทนข้านำของเยี่ยมไข้ไปมอบให้แม่ทัพใหญ่เสิ่น ได้ยินว่าระยะนี้แม่ทัพใหญ่เสิ่นล้มป่วยสุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก พวกเจ้าสองคนต้องระวังตัวให้ดี ข้าเชื่อว่าคนร้ายอาจจะทิ้งหลักฐานบางอย่างเอาไว้ ที่สำคัญเรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับบ้านเมือง ต้องกระทำการอย่างรอบคอบ""พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"เสิ่นลี่จูที่นั่งฟังอยู่
ด้านแม่ทัพใหญ่เสิ่นและเสิ่นฮูหยินที่ทราบเรื่องก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุในทันที ก่อนจะสั่งให้คนในจวนตรวจสอบให้ละเอียด ไม่นานก็พบว่าเพราะต้นเหมยยืนต้นมานาน ผ่านลมผ่านฝนผ่านความหนาวจึงด้านในกลวงเป็นรู จึงทำให้มันหักโค่นลงมา สุดท้ายจึงสรุปได้ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเท่านั้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นปลอบโยนบุตรสาวตนอย่างรักใคร่ เสิ่นอ้ายเยว่บอกเพียงว่าไม่เป็นอันใด อีกอย่างนี่ก็ใกล้จะได้เวลากลับวังหลวงแล้ว เสิ่นลี่จูจึงขอตัวกลับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงไม่ได้รั้งนางเอาไว้เพราะล้มลงไปแรงไม่น้อย ทำให้เสิ่นลี่จูแขนถลอก แต่นางไม่เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก เมื่อกลับมาถึงวังหลวง ก็ตรงมาที่ห้องทรงอักษรของเจิ้งจิ่งเหอ เมื่อมาถึงนางก็พบว่ากู้อวิ๋นหานก็อยู่ที่นี่ด้วย คาดว่าเขาคงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจิ้งจิ่งเหอฟังไปไม่น้อยแล้ว นางจึงเล่าในส่วนของตนให้เขาฟังแทน เจิ้งจิ่งเหอเมื่อได้ฟังก็เกิดมีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ เขาให้เสิ่นลี่จูกลับไปก่อน เมื่อเหลือเพียงเขาและกู้อวิ๋นหานเพียงสองคนแล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามทันที"ว่าอย่างไร พบเรื่องน่าสงสัยใดหรือไม่"กู้อวิ๋นหานยกจอกสุราขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยตอบ"น่าสงสัยอยู
"เสิ่นลี่จู เสิ่นลี่จู!"เจิ้งจิ่งเหอหมดความอดทนแล้ว เขาจึงตะคอกใส่นางอย่างไม่ปรานี เสิ่นลี่จูเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนจะต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าตอนนี้นางกำลังกอดเอวของเจิ้งจิ่งเหอเอาไว้แน่น อีกทั้งยังมุดหน้าจมเข้าไปในหว่างขาของเขาเสียด้วย"ตายแล้ว!"นางยกมือทั้งสองข้างจับใบหน้าของตนด้วยความอับอาย ยามนี้แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวเป็นอย่างมาก หญิงสาวก้มหน้างุดไม่กล้ามองหน้าเจิ้งจิ่งเหอ"เหอะ ทีอย่างนี้เจ้ากลับมียางอาย เมื่อครู่ข้าอับอายยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก บัดซบสิ้นดี"เสิ่นลี่จูที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับมามองเจิ้งจิ่งเหอทันที"ผู้ใดอยากจะทำเช่นนั้นกัน แล้วใครใช้ให้ฝ่าบาทเข้ามาไม่บอกไม่กล่าวเพคะ ไร้มรรยาทที่สุด""ที่นี่คือวังหลวงของข้า ข้าจะไปที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้ากระมัง"เสิ่นลี่จูคร้านจะเถียงกับเขาแล้ว นับว่านางทำเรื่องหน้าอายกับเขาไปหลายครั้งจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเสียแล้ว นางยังจะไปต่อว่าต่อขานอะไรเขาได้อีกเล่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบจัดเสิื้อผ้าของตนให้เขาที่ พร้อมกับยกมือเช็ดน้ำลายที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยถามเขา"ว่าอย่างไรเพคะ มีสิ่งใดหรือ"เจิ้งจิ่งเหอปรายตาม
เรื่องที่เจิ้งหมี่เป็นลมอยู่ในตำหนักของเสิ่นลี่จูรู้ไปถึงหูของเจิ้งจิ่งเหออย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เสิ่นลี่จูตามหมอหลวงมาดูอาการของเจิ้งหมี่และให้นางพักอยู่ในตำหนักของตนก่อน หมอหลวงตรวจไม่นานก็บอกเพียงว่าเพราะองค์หญิงทรงตื่นตระหนกมากไปจึงเป็นลม พัักสักหน่อยร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงคลายความเบาใจลงไปได้ไม่น้อยเพราะนางเป็นองค์หญิงและเป็นน้องสาวที่เจิ้งจิ่งเหอเอ็นดูอย่างมาก เขาจึงมาดูอาการของนางด้วยตนเอง ครั้งนี้กู้ไทเฮาก็เสด็จมาดูอาการของเจิ้งหมี่ด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรก็เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเยาว์ แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจใจดำทำไม่รู้ไม่ชี้ได้เมื่อได้ยินว่าน้องสาวปลอดภัยแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็วางใจลงได้ เขาหันมามองเสิ่นลี่จู ก่อนจะเอ่ย"เล่ามา เหตุใดหมี่เอ๋อร์จึงมาหมดสติอยู่ในตำหนักของเจ้าได้"เสิ่นลี่จูหันมามองเจิ้งจิ่งเหอ ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง เจิ้งจิ่งเหอไม่เอ่ยตอบสิ่งใด แต่ยังคงจ้องมองไม่ลดละ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่นางบอกกล่าว เสิ่นลี่จูเองก็คร้านจะใส่ใจ นางไม่ได้ทำอันใดผิดเหตุใดจะต้องกลัวด้วยเล่าอีกเรื่องที่นางสงสัยก็คือ ก่อนหน้า
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เพิ่งกินมื้อเช้าอิ่ม นางกำนัลก็มาแจ้งเสิ่นลี่จูว่ากู้ไทเฮาต้องการจะเดินทางขึ้นไปไหว้พระที่วัดบนเขา และยังต้องการให้นางติดตามไปด้วย เสิ่นลี่จูดีใจเป็นอย่างมาก การที่ได้ออกไปมองดูทัศนียภาพโดยรอบเช่นนี้มันทำให้นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวรีบสั่งให้เมี่ยวเถียนและอาหลวนช่วยแต่งกายให้ เสิ่นลี่จูแต่งกายเรียบง่ายไม่ได้ประโคมเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมเท่าใดนัก ที่สำคัญตัวนางเองก็ไม่ชอบแต่งตัวจัดจ้านเท่าใดนักเมื่อแต่งกายเสร็จเรียบร้อยนางก็รีบออกมาจากเรือนทันที เมื่อมาถึงก็พบกับเจิ้งหมี่ที่ยืนรออยู่ เสิ่นลี่จูไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก ได้ยินว่ากู้ไทเฮาเลี้ยงดูเจิ้งหมี่มาตั้งแต่วัยเยาว์ การที่นางติดตามไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด"พี่สะใภ้"เจิ่งหมี่เอ่ยทักทายนางอย่างสนิทสนม เสิ่นลี่จูยิ้มให้เจิ้งหมี่เล็กน้อย"หน้าตาเจ้าสดใสขึ้นมากแล้วนี่""เพคะ ดีขึ้นมากแล้ว เพราะวันนั้นตกใจมากไปหน่อย น้องเกรงว่าพี่สะใภ้จะได้รับอันตราย โชคดีที่เราปลอดภัยกันทั้งคู่""ข้าไม่เป็นอันใด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัวสัตว์พวกนั้น ขอบใจเจ้ามากนะ"สตรีทั้งสองสนทนากันไม่นานกู้ไทเฮาก็เ
"พระสนม ฝ่าบาทใกล้จะเสด็จมาถึงแล้วรีบกลับไปอยู่ข้างกายไทเฮาเถอะพ่ะย่ะค่ะ"เสิ่นลี่จูเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับไปมองและพบว่าเป็นกู้อวิ๋นหานนั่นเอง ชายหนุ่มตรงหน้ามองนางด้วยแววตาที่เรียบเฉย ในขณะที่มือหนึ่งถือดาบเอาไว้ในมือด้วย เสิ่นลี่จูรู้สึกหวาดระแวงไม่น้อย หากว่านางเดินเข้าไปใกล้แล้วเขาเอามีดกระซวกท้องนางจะทำเช่นไรดีนางไม่อยากมองเห็นไส้ตนเองออกมากองข้างนอกท้องหรอกนะ!แม้ในใจจะหวาดหวั่นแต่ภายนอกเสิ่นลี่จูกลับยิ้มแย้มสดใส นางพยักหน้ารับ ในระหว่างที่เดินกลับ นางก็พยายามอยู่ให้ห่างจากกู้อวิ๋นหานเข้าไว้ กู้อวิ๋นหานชำเลืองมองท่าทีของเสิ่นลี่จูก่อนจะครุ่นคิดในใจประสาทหรือไรกัน!เสิ่นลี่จูที่หันมาเห็นสายตาเย็นชาของเขาก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป กู้อวิ๋นหานที่เห็นเช่นนั้นจึงเร่งฝีเท้าตามเสิ่นลี่จูไปติด ๆ แต่เพราะต่างคนต่างระแวดระวังในตัวของอีกฝ่าย เสิ่นลี่จูเองก็หวาดกลัวจนไม่ทันระวัง ทำให้นางเดินชนเขาหลายครั้ง บางคราก็เผลอเหยียบเท้าเขาอีกด้วย เมื่อหันไปมองก็พบว่ากู้อวิ๋นหานมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ เสิ่นลี่จูยิ้มตาหยี พอผ่านไปอีกสักพักนางก็เดินชนเขาอีก จนทำให้ดาบในมือของกู้อวิ๋
หลังจากที่อยู่กินอาหารเจและเดินชมบรรยากาศโดยรอบต่ออีกครู่หนึ่ง คนทั้งหมดก็เดินทางกลับตำหนักฤดูร้อน ก่อนกลับเสิ่นลี่จูหันไปมองบรรยากาศโดยรอบอีกรอบ นางชอบวัดบนเขาแห่งนี้มากเหลือเกินแต่ทว่าอยู่ ๆ สายตาของนางก็สบเข้ากับสายตาของเจิ้งมู่หยาง ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน แต่เสิ่นลี่จูกลับขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขามันช่างชวนขนลุกขนชันอย่างบอกไม่ถูก นางจึงละสายตาจากเจิ้งมู่หยางและไม่มองเขาอีกเมื่อคนกลับไปหมดแล้ว เจิ้งมู่หยางก็กลับมาที่เรือนพัก ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกคนของตนออกมา"ซื่อจื่อ""จับตาดูคนของเจิ้งจิ่งเหอเอาไว้ให้ดี ข้าเชื่อว่าที่เขามาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อพักผ่อนอย่างเดียวเป็นแน่ แต่เป้าหมายของเขาก็คือมาเพื่อจับผิดตัวข้าต่างหาก""ขอรับ"เมื่อสั่งการคนของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้คนทั้งหมดออกไปเสีย ยามนี้เมื่ออยู่เพียงลำพังแล้ว เจิ้งมู่หยางก็ครุ่นคิดเรื่องของตนขึ้นมาก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านพ่อยังไม่ตาย เขาเป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง สตรีไม่น้อยต่างหมายตาอยากจะแต่งงานมาเป็นพระชายาเอกของเขา แต่ภายใต้ความเพียบพร้อมตรงหน้านั้น เขากลับต้องพบเจอเ
เจิ้งหมี่ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียง ยามนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงดัง เพราะเกรงว่านางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะได้ยินเสียงและพากันแห่เข้ามา หากทุกคนเห็นว่าเจิ้งมู่หยางอยู่ในห้องนอนของนาง นางคงหมดคำแก้ตัวก่อนหน้านี้นางส่งจดหมายให้เขา แต่กลับไม่มีวี่แววว่าเขาจะตอบกลับ นางจึงถอดใจคิดว่าเขาคงไม่คิดช่วยเหลือเสียแล้ว แต่ไม่คาดว่าคนจะกล้าบุกเข้ามาหานางถึงที่นี่ในเวลานี้"ท่านมาได้อย่างไร รีบออกไปเสีย หากเสด็จพี่จับได้ ทั้งท่านและข้าต้องไม่รอดเป็นแน่"เจิ้งมู่หยางเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างดูแคลน เขามองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องอย่างไม่รีบไม่ร้อนราวกับไม่ได้สนใจฟังคำเตือนของเจิ้งหมี่เลยแม้แต่น้อย เจิ้งหมี่ที่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา"ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ"เจิ้งมู่หยางเบนสายตากลับมาหยุดอยู่ที่เจิ้งหมี่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ"ศพแรกเพิ่งจะตายไปไม่นาน เจ้าก็คิดจะสังหารศพที่สองเสียแล้ว เจิ้งหมี่ ความริษยาอย่างบ้าคลั่งในใจของเจ้านี่มันช่างพลุ่งพล่านเสียเหลือเกิน"เจิ้งหมี่พลันหน้าซีดเผือด นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยลอดไรฟัน"หุบปาก!"เจิ้งมู่หยางยิ้
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัด คนร้ายถูกจับได้แล้ว เสิ่นอ้ายเยว่ย่อมได้รับความเป็นธรรม ส่วนอนุซ่งก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ไม่กี่วันผ่านไปก็มีคนพบนางกลายเป็นศพนอนคว่ำหน้าอยู่ในแม่น้ำที่นอกเมืองหลวงด้านป้ายสุสานของเสิ่นอ้ายเยว่นั้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นห้ามไม่ให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายออกจากจวนเด็ดขาด แม้จะรู้ว่านางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่กลับไม่สนใจ พวกเขายังเห็นนางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นเสมอ เสิ่นอ้ายเยว่ไม่ผิด นางคือเหยื่อที่น่าสงสาร เพราะฉนั้นเกียรติสุดท้ายของนาง พวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายได้อีกแล้วเมืองหลวงนยามนี้สงบไร้คลื่นลม ก่อนกลับเมืองหลวง เจิ้งจิ่งเหอสั่งคนตามหาตัวเจิ้งมู่หยาง ก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว สภาพศพเหมือนกับตายมาหลายวัน ถูกสัตว์กัดแทะไปตามร่างกาย แต่ใบหน้ายังไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมด เจิ้งจิ่งเหอจำได้ว่านี่คือเจิ้งมู่หยางไม่ผิดแน่อากาศฤดูร้อนผันผ่านล่วงเข้าสู่ช่วงสารทฤดู อากาศเริ่มร้อนน้อยลง กลางคืนเย็นสบาย เช้านี้เสิ่นลี่จูสั่งให้เมี่ยวเถียนและอาหลวนทำอาหารมากหน่อย นางจะนำไปไหว้หลุมศพของเสิ่นอ้ายเยว่ด้วยตนเองสุสานตระกูลเสิ่นอยู่ห่างจากนอกเมืองหลวงไปไม่ไกล เพรา
เจิ้งหมี่ตัวแข็งทื่อทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วขณะ มือไม้ของนางสั่นเทา หญิงสาวมองบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกยามนี้ร่างกายของเสิ่นลี่จูไม่ไหวแล้ว นางได้รับบาดเจ็บสาหัส โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมอาภรณ์ของนางจนเปียกชุ่ม เจิ้งจิ่งเหอใจหล่นวูบ ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าต่อให้สตรีนางนี้จะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่เมื่อได้เห็นว่านางตกอยู่ในสภาพนี้ใจของเขากลับหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วฆาตกรกลับอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ซ้ำยังเป็นคนที่เขารักและเชื่อใจมาโดยตลอดก่อนหน้านี้องครักษ์ลับของเขามาแจ้งว่าด้านเจิ้งมู่หยางเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบไปเฝ้าจับตาดูคนอยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่ามันผิดสังเกต จึงกลับกลับมาที่ตำหนักฤดูร้อน ก่อนจะพบกับอาหลวนนางกำนัลที่เขาส่งให้ไปรับใช้เสิ่นลี่จู อาหลวนบอกเขาอย่างร้อนใจว่าเจ้านายของตนหายตัวไป เขาจึงรีบตามหาจนกระทั่งมาพบนางในสภาพนี้"อวิ๋นหาน ให้คนส่งนางกลับตำหนักฤดูร้อน แล้วเร่งตามหมอมาโดยด่วน"เจิ้งจิ่งเหอเอ่ยจบก็ส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาออกมารับมือกั
เสิ่นลี่จูถูกคนปริศนาจับตัวพาดบ่าและออกวิ่งไปตามทางอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่อาจแยกแยะทิศทางได้อีกด้วยไม่นานนักพวกมันก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะโยนตัวนางลงไปบนแคร่แข็ง ๆ จนนางร้องโอดครวญ จากนั้นพวกมันจึงจัดการเอากระสอบผ้าป่านที่คลุมศีรษะของนางออก เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เสิ่นลี่จูก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นคนที่อยู่ตรงหน้านางคือเจิ้งหมี่!"องค์หญิง"แม้จะตกตะลึงไปบ้าง แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่มีความแปลกใจเท่าใดนัก เดิมทีนางก็สงสัยเจิ้งหมี่อยู่นานแล้ว เพียงแต่นางยังหาเหตุผลมาประกอบความสงสัยในใจของตนเองไม่ได้ หากเจิ้งหมี่เป็นคนลงมือจริง ๆ นางมีแรงจูงใจใดในการสังหารเสิ่นอ้ายเยว่กันแน่เจิ้งหมี่มองหน้าเสิ่นลี่จูด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะสั่งให้คนแก้ผ้ามัดปากนางออก ตอนนี้คนของนางทำงานไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องยืมคนของเจิ้งมู่หยางมาใช้งานก่อน คืนนี้หลังจากจัดการเสิ่นลี่จูได้แล้ว นางก็จะสังหารคนของเจิ้งมู่หยางให้หมด จากนั้นก็หาทางวางยาสังหารเขาเสีย ต่อไปนี้ก็จะไม่มีใครมาคอยบังคับหรือบงการให้นางทำตามใจชอบได้อีก"องค์หญิง จับตัวข้ามาทำไมกัน”ประโยคแรกที่เสิ่นลี่จูเอ่ยถามเจิ้งหมี่ก็คือ