วิธีคิดปัญหาของเสิ่นว่านจือนั้นมักจะแตกต่างจากคนอื่นๆ อยู่เสมอ นางอึ้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหันไปถามซ่งซีซีว่า "เขาไม่พอใจที่ฝ่าบาทลดตำแหน่งเขาและปรับเงินเดือนเขา เพราะงั้นเขาเลยโกรธและไม่อยากทำไง"นางไม่รู้ว่าจ้านเป่ยว่างเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่นางเป็นเช่นนั้นตราบใดที่สิ่งที่ครอบครัวหรืออาจารย์มอบให้นางมันน้อยกว่าที่นางคาดไว้ นางก็จะหยุดมือและไม่ทำอะไรเลย ใช้กลยุทธ์ดูเหมือนว่าล่าถอยแต่จริงๆ แล้วก็การโจมตีเมื่อเห็นซ่งซีซีทำสีหน้าไม่สู้ดี นางจึงพูดว่า "ไม่พูดเรื่องคนนี้แล้ว พอพูดถึงมันก็รำคาญ ในเมื่อฝ่าบาทจะไม่ยอมให้เขาลาออก งั้นเขาก็เล่นลูกไม้ใดๆ ไม่ได้"ทุกคนก็รีบเปลี่ยนหัวข้อทันที กินขนมชิงถวน เซี่ยหลูโม่ยังไม่กลับมา เป่าจูจึงบอกว่าจะเก็บไว้ให้ท่านอ๋องบ้างหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เสิ่นว่านจือถึงถามซ่งซีซีว่า "อันที่จริงถ้าเขาลาออกก็ดีสิ คนเช่นนั้นจะคู่ควรกับการเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์ซวนเท่ได้อย่างไร"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ในเวลานี้ ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชายแดนเฉิงหลิงควรเก็บตัวให้หลีกเลี่ยงเป็นที่สนใจมากที่สุดจะดีกว่า เพื่อไม่ให้คนนอกมาพูดถึงกัน อีกอย่างไม่ว่าเขาจะลาออกหรือถูกฝ
สนมฮุ่ยไทเฟยไม่ชอบทานอาหารร่วมกับบุตรชาย พวกเขามีรสนิยมแตกต่างกัน และพอพูดกันไม่ถึงสองสามคำก็จะเกิดปากเสียง ทว่าไทเฮาได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องให้พวกเขามาทานข้าวด้วยกันอย่างน้อยสองสามครั้งต่อเดือน มิฉะนั้น มีคนรับใช้เยอะ พอเอาเรื่องนี้ไปพูดข้านอก งั้นก็จะโดนหาว่าโม่เอ๋อและซีซีอกตัญญูเห้อ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ ถูกเรื่องมากมายควบคุมเอาไว้ และไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้แม่นมเกามักจะพูดว่านางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแต่กลับไม่รู้ตัว ทว่านางคิดว่าในโลกนี้จะมีคนที่มีความสุขอย่างแท้จริงโดยไม่มีเรื่องกลุ้มใจได้อย่างไร? ไม่ว่าชีวิตจะดีแค่ไหน ย่อมมีเรื่องกลุ้มใจของตนเองบ้าง ต่อให้เป็นผู้ร่ำรวยที่รวยสุดในโลกก็จะเจอปัญหาอยู่ดีสรุปคือ เวลานางมีความสุขนางจะยิ้ม พอนางหงุดหงิดก็อย่าเข้ามายุ่ง นางมีสิทธิ์ที่จะหงุดหงิดด้วยเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีล้วนไม่ใช่คนช่างพูด ดังนั้นจึงเรียกเสิ่นว่านจือมาร่วมรับประทานอาหารด้วย เสิ่นว่านจือถนัดกับการทำให้บรรยากาศดีขึ้นและเปลี่ยนบรรยากาศที่ตึงเครียดกลายมีชีวิตชีวาสุดท้ายแล้วจ้านเป่ยว่างก็ไม่ได้ลาออกจากงาน พอผ่านไปสองสามวันเขาก็ใส่เครื่องแบบกลับไปทำงานอย่างหด
ที่จางฉีเหวินไหว้ครูเพื่อเรียนศิลปะการต่อสู้ ข้อแรกคือเขาชอบศิลปะการต่อสู้ ข้อที่สองเพราะเขาต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งแต่เขามีความอดทนมากพอ หากสามปีไม่ได้ผล งั้นก็รอห้าปี หากห้าปีไม่ได้การก็รอสิบปี ทำงานอยู่ข้างกายฮ่องเต้ให้ยิ่งนานงั้นยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้น ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ สักวันหนึ่งเขาก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนว่าเขามีเป้าหมายของตนเองด้วย โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นรองหัวหน้าหน่วยและหัวหน้าหน่วยภายในสามหรือห้าปีดังนั้นเมื่อฝ่าบาทเรียกเขาไปเข้าเฝ้า โดยแต่งตั้งเขาเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์ซวนเท่ ทำให้เขาตกตะลึงไปเขาไม่เคยเสียท่าในท้องพระโรงเลย นี่เป็นครั้งแรกเป็นอู๋เยว่ที่เตะเขาข้างๆ และดุเขาด้วยรอยยิ้มว่า "มัวแต่เหม่อลอยอะไรกัน ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาท"เขาเอามือที่สั่นเทาค้ำพื้น จากนั้นก้มลงเพื่อกราบไหว้ "กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเลื่อนตำแหน่งให้ กระหม่อมจะภักดีต่อฝ่าบาท และทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของกระหม่อมอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงชอบได้ยินคำพูดเหล่านี้มาก และพูดด้วยรอยยิ้ม " อู๋เยว่ พาเขาออกไป ให้ลูกน้องของเจ้าไปขอสุราจากเขาได้เลย"พวกเขาทั้งสามได้รับการเลื่
วันรุ่งขึ้น จางฉีเหวินพาพ่อแม่ ภรรยา และลูกๆ ของเขาไปเยี่ยมเสิ่นว่านจือ แน่นอนว่าได้เอาของขวัญมากมายไปติดมือด้วยเสิ่นว่านจือรู้ว่าเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ซีซีกลับมาบอกให้ ในตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มันเป็นเพียงการเลื่อนตำแหน่งเองแต่วันนี้ เมื่อเห็นเขาพาทั้งครอบครัวมาแสดงความขอบคุณ ใบหน้าของทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่าพวกเขาได้สมบัตล้ำค่าอย่างเปล่าๆ ต่างก็ยิ้มกว้างเลยนางรู้สึกถึงความสุขที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งนี้ และหลังจากได้ถามไปแล้วถึงรู้ว่าคนที่ทำงานข้างกายฮ่องเต้ หากต้องการเลื่อนตำแหน่งเว้นแต่เขาช่วยชีวิตฮ่องเต้ที่ได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ไว้ มิเช่นนั้นหากทำงานไปวันๆ แบบนั้นมันยากมากแต่เมื่อเผชิญกับความขอบคุณจากครอบครัวของจางฉีเหวิน นางรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรได้รับมัน เพราะที่เขาได้เลื่อนตำแหน่ง นางเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วย ซึ่งทั้งหมดได้มาจากความพยายามของเขาเองจากนั้นจางฉีเหวินให้พ่อแม่ ภรรยา และลูกๆ ของเขากลับบ้านก่อน ส่วนเขาก็อยู่ในจวนอ๋องต่อ เขารู้สึกว่ามีบางเรื่องต้องพูดล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงเกิดความเข้าใจผิดและความสงสัยในภายหลังหลังจากอธิบายไปบ้า
ซ่งซีซียอมรับความจริงข้อนี้มานานแล้ว และถามกุ้นเอ๋อร์ว่า "มีใครมารับศพของนางกลับหรือไม่?""ใต้เท้าขงบอกว่าได้ไปหาครอบครัวพ่อแม่ของนางมาแล้ว พ่อแม่ของนางไม่อยู่แล้ว มีพี่ชายและพี่สะใภ้คอยดูแลบ้าน โดยบอกว่าผู้หญิงที่โดนทอดทิ้งยังฆ่าตัวตายด้วยวิธีจมน้ำตายเช่นนั้นเป็นลางร้าย ไม่ยอมมารับนางกลับ""ครอบครัวสามีของนางล่ะ" หลังจากที่เสิ่นว่านจือถามออกมา นาวก็รู้สึกว่าคำถามนี้เป็นส่วนเกิน ในเมื่อถูกหย่าแล้วจะมารับนางได้อย่างไร"ครอบครัวของสามีนางอีกไม่กี่วันก็จะแต่งภรรยาใหม่ จะช่วยจัดงานศพให้นางได้อย่างไร"เสิ่นว่านจือขมวดคิ้ว "แต่งงานกับคนใหม่เร็วขนาดนี้ ไอ้ผู้ชายชั่วนี้ยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่าเนี่ย?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "เกรงว่าถูกใจกันมาตั้งนานแล้ว"ทันใดนั้นเสิ่นว่านจือก็คิดขึ้นมาว่า "แม่นางเย็บปักคนนั้นถูกหย่าเพราะไม่มีลูก แล้วนางมีสินเดิมหรือเปล่า? สินเดิมก็ถูกสามีนางได้เอาไปใช้แล้วนี่"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ต่างก็เป็นสามัญชนธรรมดา จะมีสินเดิมอันมีค่าที่ไหนกัน ต่อให้มี ตั้งหลายปีแล้วก็คงใช้หมดแล้ว ข้าได้ยินมาว่าแม่นางปักเย็บคนนั้นมีฝีมือเก่งาก ปกติแค่ลำพังงานฝีมือก็ทำเงินไม่น้อย น่าเสียดายก็ใ
เมื่อได้ยินว่านามสกุลคือหลี่ หลี่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นมีโลงศพบางๆ และเสื้อผ้าสองชิ้น ชุดหนึ่งใส่ในตัวหลี่ฮุ่ยซิน และอีกชุดหนึ่งสำหรับฝังศพไปด้วยหลี่ฮูหยินมีเมตตา ไปตามหาร้านเสื้อผ้าที่นางเคยทำงานอยู่ จึงไปซื้อเสื้อผ้าที่นั่น เจ้าของร้านบอกว่าเสื้อผ้าสองตัวที่นางสวมใส่นั้นเป็นชิ้นงานของนางเองหลี่ฮุ่ยซินเกิดเมื่อเดือนมีนาคมสามสิบสี่ปีที่แล้ว และถูกฝังในเดือนมีนาคมปีนี้ วันเกิดและวันตายแค่ห่างกันเพียงแปดวันการตายของหญิงที่ถูกหย่าก็เหมือนกับก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ มันเพียงแต่สร้างคลื่นเล็กๆ จากนั้นก็ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลยทว่ามีนักเล่าเรื่องคนหนึ่งได้เล่าเรื่องที่ทางโรงงานเย็บปักซู่เจินช่วยฝังศพหลี่ฮุ่ยซินออกไป รวมถึงเรื่องใจร้ายใจดำของครอบครัวพ่อแม่และสามีของหลี่ฮุ่ยซินด้วยแขกรับน้ำชาที่ฟังเรื่องราวอย่างนั้นได้สาปแช่งสองสามคำ พอผ่านไปแป๊บเดี๋ยวก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะพวกเขายอมรับและสนับสนุนกฎเกณฑ์เจ็ดข้อที่ว่าการไม่มีบุตรก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน เพียงแต่ครอบครัวของสามีใจร้ายจริงๆ พวกเขาแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ไม่แม้แต่ช่วยเก็บศพด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับค
ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "ทำไมนางถึงไปที่นั่นได้เล่า"โรงงานเย็บปักซู่เจินเคยประกาศต่อโลกภายนอก เป็นสถานที่รับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งและไม่มีที่ไป ทั้งยังไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ระยะหนึ่ง แม้ว่าเจียอี้จะถูกหย่าแล้ว แต่นางก็ไม่ถึงขั้นเลี้ยงตนเองไม่ได้ เท่าที่ซ่งซีซีรู้ เจียอี้มีบ้านพักและร้านค้าหลายแห่งและแม้จะหย่าร้างแล้ว นางก็ยังสามารถมีชีวิตที่หรูหราต่อไปได้คนใช้ของตระกูลหลี่กล่าวว่า "นางบอกว่าไม่มีที่ไป เอะอะโวยวายจะเข้าไปให้ได้ ยังด่าฮูหยินด้วย โดยบอกว่าตั้งโรงงานไว้เพื่อรับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง งั้นนางก็ตรงตามเงื่อนไข ถ้านางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปละก็ งั้นที่ก่อตั้งโรงงานนั้นไว้ก็แค่เสแสร้ง แกล้งทำเป็นมีเมตตา ฮูหยินถูกยั่วให้โมโหเลยสั่งข้าน้อยมาบอกพระชายาและคุณหนูเสิ่นสักหน่อยเจ้าค่ะ"เมื่อเสิ่นว่านจือได้ยินว่าหลี่ฮูหยินถูกรังแก นางจะยอมทนได้ยังไง และพูดขึ้นทันทีว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เจ้ากรมหลี่มักจะพูดเสมอว่าหลี่ฮูหยินเป็นผู้หญิงห้าวๆ แต่หลี่ฮูหยินมีเหตุผล เมื่อเจอกับเจียอี้ที่ชอบเอาแต่ใจงี่เง่าก็รับมือยากเช่นกัน โดยเฉพาะตอนนี้เจียอี้ถูกไล่ออกจากบ้าน นางก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว แต่หลี่
เจียอี้ ผู้ซึ่งเย่อหยิ่งไม่หยุดนั้น จู่ๆ ก็เงียบบลงเมื่อเห็นซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนางจับชายเสื้อผ้า ยกคางขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าอยู่ในสภาพตกอับก็ไม่ยอมก้มศีรษะ มีต่างหูผีเสื้อทองคู่เล็กห้อยอยู่บนหูของนาง ซึ่งไม่เข้ากับการแต่งตัวของนาง ราวกับว่ายังรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นคนมีหน้ามีตาอยู่เล็กน้อยนางมาคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่สาวใช้อยู่ข้างกายเลย"พระชายา คุณหนูเสิ่น พวกเจ้ามาพอดี" หลี่ฮูหยินโกรธมากจนหน้าแดง "ข้าเคยเห็นคนงี่เง่าและไร้เหตุผลมาเยอะแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นคนมาทำเกะกะระรานขนาดนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่จะเข้ามาโรงงาน ยังเรียกร้องให้เราเปลี่ยนชื่อด้วย พอถามนางว่าเหตุผลที่ถูกหย่า กลับนิ่งเงียบไม่ยอมบอก"ที่หลี่ฮูหยินโกรธก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อก่อตั้งโรงงานแรกๆ ซ่งซีซีและหลี่ฮูหยินก็ตั้งกฎขึ้นมาแล้ว หากมีคนถูกไล่ออกเนื่องจากทำสิ่งเลวร้ายหรือเป็นอันตรายต่อคนอื่น ทางโรงงานจะไม่รับดังนั้นพอเจียอี้มาก็ต้องถามต้นสายปลายเหตุก่อนแล้วค่อยทำการสอบสวนอีกทีตอนนี้นางพูดอ้อมแอ้มไม่บอกเหตุผล และยังคงเย่อหยิ่งและกำเริบเสิบสาน แล้วจะให้หลี่ฮูหยินไม่โกรธได้อย่างไร?ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนั่งลง เจียอ
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว
ณ ตำหนักเฉียนหยาง อู๋ย่วนเจิ้งและหมอหลวงหลินยืนอยู่ด้านข้างเซี่ยหลูโม่กับอู๋ต้าปั้นก็อยู่ข้างเตียง ต่างเฝ้ารอให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจชีพจร หลังจากตรวจชีพจรแล้วหมอมหัศจรรย์ดันถามถึงบันทึกชีพจรในอดีตและสูตรยาที่ใช้รักษาก่อนหน้านี้ หมอหลวงหลิน นำบันทึกมาให้เขา พลางกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “หมอดัน โปรดตรวจดูเถิด” ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าหมอมหัศจรรย์อีกแล้ว เพราะสำนักหมอหลวงก็เคยผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หมอมหัศจรรย์ดันรับบันทึกมา เปิดดูทีละหน้า ภายในตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดาษที่เขาพลิกเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจ นี่คือความหวังสุดท้าย หากหมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าพระอาการมีเวลาเพียงสามเดือน เช่นนั้นก็เหลือเวลาเพียงสามเดือนจริงๆ จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ดวงตาหดเล็กลง ฝ่าพระหัตถ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ พระองค์กำลังรอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดัน ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว อ่านจนครบทุกหน้า จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “บันทึกชีพจรระบุว่ามีอาการปวดต่อเนื่องกว่าหนึ่งเดือน กลางคืนมิอาจข่มพระเนตร และแทบไม่อาจเสวยได้เลย” นี่เป็นเพียงการกล่าวยืนย
ซ่งซีซีกล่าว “หากหมอมหัศจรรย์ดันยอมเข้าวังมา ก็ย่อมจะทำเต็มกำลังแน่นอนเพคะ” ไทเฮาทรงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำพระเนตรก็ร่วงเงียบๆ “แม้จะทำสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงสามารถยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้จัดการเรื่องรากฐานแผ่นดินให้เรียบร้อย” เห็นพระนางหลั่งน้ำตาซ่งซีซีก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวว่า ไทเฮาเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก หยาดน้ำตาของพระองค์มีค่ามาก ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว นางไม่รู้ว่าควรปลอบพระทัยอย่างไร และก็นึกได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาต้องการตอนนี้ คงไม่ใช่คำปลอบโยน นางจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ เซี่ยหลูโม่เดินทางไปยังร้านขายยาเย่าหวัง และได้พบกับหมอมหัศจรรย์ดัน วันนี้หลังจากมีพระบัญชาเรียกเข้าวัง อาจารย์หยูก็มาที่ร้านขายยาเย่าหวังเพื่อแจ้งข่าว ดังนั้นหมอมหัศจรรย์ดันจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาศิษย์ไปด้วย แต่เดินทางกับเซี่ยหลูโม่เพียงลำพัง ชิงเชวี่ยและหงเชวี่ยอยากตามไปด้วย แต่ถูกเขาดุไล่ให้กลับไป บนรถม้าเซี่ยหลูโม่รับปากกับเขาว่าจะปกป้องท่านให้ปลอด
ซ่งซีซีคุกเข่าอยู่เพียงชั่วครู่ แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปชั่วชีวิต ในที่สุด ก็ได้ยินเสียงถอนพระปัสสาสะเบาๆ ของจักรพรรดิ์ซูชิง ก่อนที่พระองค์จะแย้มพระสรวล “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดถึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจไปเสียแล้ว?” ซ่งซีซีรู้สึกคลายความกังวลลงเล็กน้อย แรกเริ่มนั้น นางทั้งโกรธและรู้สึกอัดอั้น จึงกล่าวคำนั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด แต่หลังจากนั้น สิ่งที่กล่าวไปมีส่วนที่เหมือนเป็นการเดิมพัน นางหวาดกลัวอยู่ในใจ เพราะไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อจักรพรรดิ์ที่ใกล้สิ้นพระชนม์แล้วตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยม จะเป็นเช่นไร เพียงแต่ เมื่อจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถามคำนั้นออกมา ไม่ว่านางจะชี้แจงอย่างไร ก็คงไร้ความหมาย มีเพียงการใช้วิธีดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้เท่านั้น ที่อาจจะได้ผล “ลุกขึ้นเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิง ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก ใบหน้าซูบซีดเหลืองซีดนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ “เจ้านี่นะ ยังเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด ปากเจ้าไม่เคยยอมเสียเปรียบเลย ถามเพียงคำเดียว กลับเล่นงานข้าเสียยกใหญ่ จริงๆ แล้ว ข้าก็จนใจจะทำอย่างไรกับเจ้าได้” พระองค์ทอดพระเนตรมองซ่งซีซีแววพระเนตรล้ำลึก “เจ้าล่ะ ไปถือสากอะไรกับคนใกล้ตาย? ไ
ซ่งซีซีไม่ชอบให้นำบิดาของนางมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นัก เพราะไม่ว่าฮ่องเต้จะตรัสสิ่งใด ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับบิดาของนางเลย ไม่มีความจำเป็นต้องเน้นย้ำถึงความจงรักภักดีของบิดาต่อแผ่นดิน เพื่อนำมาเป็นกรอบบังคับคำตอบที่นางจะกล่าวต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่า นางจะชอบหรือไม่ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ฮ่องเต้จะใส่พระทัย นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฮ่องเต้มีเรื่องใดจะถามก็ตรัสเถิด หม่อมฉันฟังอยู่” ความเจ็บปวดเสียดลึกถึงกระดูก ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงไม่เลือกที่จะลองหยั่งเชิงเหมือนเคย แต่รับสั่งตรงไปตรงมาแทน “เจ้าน่าจะเป็นผู้ที่รู้จักเซี่ยหลูโม่ดีที่สุด เจ้าคิดว่า หากข้าสวรรคต แล้วเขาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จะสังหารฮ่องเต้องค์เยาว์แล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิ์หรือไม่?” ซ่งซีซีใจหายวาบ โทสะพลันแล่นขึ้นมาปรากฏในดวงตาเซี่ยหลูโม่ผ่านพ้นจากความเป็นความตายในหนานเจียงกลับมาอย่างยากลำบาก มิควรถูกกล่าวหาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางรู้สึกเจ็บแทนเขา น้ำเสียงจึงเย็นเยียบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพูดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ฮ่องเต้ ข้ากับเซี่ยหลูโม่เป็นสามีภรรยากันเพียงสามปี จะนับได้อย่างไรว่าเป็นผู้ที่รู้จักเขาดีที่สุด? ผู้ที่รู้
จักรพรรดิ์ซูชิงได้ส่งอู๋ต้าปั้นไปร้านขายยาเย่าหวังเพื่อหาหมอมหัศจรรย์ดันเมื่อห้าวันก่อน ตอนนั้น คนของร้านขายยาเย่าหวังบอกว่าหมอมหัศจรรย์ดันได้ออกจากเมืองไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด อู๋ต้าปั้นกลับมารายงาน จักรพรรดิ์ซูชิงจึงเข้าใจได้ทันทีว่าสาเหตุนั้นมาจากเรื่องในอดีต เมื่อครั้งที่เสด็จพ่อของพระองค์ทรงสังหารหมอชื่อดังในหมู่ประชาชน ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันไม่ต้องการเข้าวังมารักษา พระองค์เคยคิดจะส่งคนไปพาตัวหมอมหัศจรรย์ดันมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด บนผืนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นดินแดนของจักรพรรดิ์ ย่อมหาวิธีตามหาเขาเจอแน่นอน แต่หากหมอมหัศจรรย์ดันไม่เต็มใจ ต่อให้พาตัวเขามา ก็คงไร้ประโยชน์ แน่นอนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงทรงทราบดีว่ายังมีผู้ที่สามารถเชิญเขามาได้ นั่นคือซ่งซีซี เพียงแต่พระองค์ยังทรงปิดบังอาการประชวร ไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางทั้งหลายล่วงรู้เร็วจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่อยากให้เซี่ยหลูโม่รู้เร็วจนเกินไป เขาเพิ่งสร้างผลงานจากสนามรบกลับมา เป็นที่เลื่อมใสของประชาชน หากได้รู้เรื่องพระอาการประชวรของพระองค์ และเตรียมการแต่เนิ่นๆ การกระทำของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะประสบความสำ
งานเลี้ยงฉลองชัยชนะในวันรุ่งขึ้นถูกยกเลิก ทางวังส่งคนมาแจ้งว่า ฮ่องเต้ทรงเป็นหวัด ไอหนักมาก แม้ว่างานเลี้ยงฉลองจะไม่ได้จัดขึ้น แต่ราชโองการว่าด้วยการปูนบำเหน็จแก่ผู้มีความชอบก็ถูกประกาศออกมาอย่างรวดเร็ว ฝางเทียนสวี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของหนานเจียง เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพผู้พิทักษ์แผ่นดินชั้นเอก ฉีหลิน และแม่ทัพท่านอื่นๆ ได้รับเลื่อนยศเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นสามและชั้นรองสาม ยังคงประจำการที่หนานเจียง มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อสร้าง จวนแม่ทัพ ที่หนานเจียง พร้อมอนุญาตให้นำครอบครัวไปอยู่ด้วย สำหรับทหารที่เสียชีวิตในการรบ ทางการจัดสรรเงินเยียวยาให้ครอบครัว ทหารที่บาดเจ็บได้รับเงินปลอบขวัญคนละสิบตำลึงเงิน ทุกคนที่มีความชอบล้วนได้รับการจัดสรรรางวัลอย่างชัดเจน เว้นแต่ เซี่ยหลูโม่ ที่ยังไม่มีการกำหนดรางวัลแน่นอน ในเบื้องต้น พระองค์ได้รับ ทองคำพันตำลึง ผ้าไหมห้าสิบพับ และยังคงดำรงตำแหน่ง ต้าหลี่ซื่อชิง เช่นเดิม ในราชโองการประกาศยกย่องเซี่ยหลูโม่เป่ยหมิงอ๋องว่าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแผ่นดิน พรรณนาความดีความชอบด้วยถ้อยคำสละสลวย แต่ก็ยังเป็นเพียง วาจาชื่นชมที่ไร้เนื้
เซี่ยหลูโม่กุมมือของซ่งซีซีไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้าไม่มีวันยอมรับพระชายารองหรืออนุภรรยา ข้าไม่มีใจให้ผู้ใดนอกจากเจ้า เจ้าต้องเชื่อใจข้าเสมอ" ซ่งซีซีจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน "แน่นอนว่าข้าย่อมเชื่อ มิฉะนั้นข้าคงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้โดยเด็ดขาด" เขาดึงนางเข้ามาโอบกอด ทั้งสองพิงพาอิงแอบกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกันทำให้พวกเขามั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อเรื่องราวใดๆ "อาการป่วยของฮ่องเต้ ได้ให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจหรือไม่?" เซี่ยหลูโม่ถาม ซ่งซีซีส่ายหน้าเบาๆ ในอ้อมแขนของเขา "ไม่เคย ฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากเอง ย่อมไม่มีใครกล้ากล่าวแนะนำ ไทเฮาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้" เซี่ยหลูโม่ถอนหายใจเบาๆ "เขาดูแก่ลงไปสิบปี ตอนที่ข้าพบเขาครั้งแรก ข้ายังตกใจไม่น้อย" ซ่งซีซีพบจักรพรรดิซูชิงเป็นครั้งคราว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขาดูแก่ลงขนาดนั้น แต่ก็แน่นอนว่าเขาซูบซีดและอิดโรยไปมาก ดวงตาก็ขุ่นมัวลง ซ่งซีซีกล่าว "เจ้ากรมทั้งหกและข้าไม่มีใครแนะนำหมอมหัศจรรย์ดัน เพราะตอนที่เขาเสด็จออกจากวังมาที่จวนอ๋อง ได้กล่าวไว้ว่าจะไปหาหมอมหัศจรรย์ดันโดยส่วนตัว ดังนั้นเจ้ากรมทั้งหกจึงไม่คิดแนะนำซ้ำ แต่ที่ข้าแปลก
หลังจากจัดการบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ซ่งซีซีเป็นผู้ไปส่งหมอมหัศจรรย์ดันและศิษย์ของเขาด้วยตนเอง ระหว่างทาง หมอมหัศจรรย์ดันยังคงกำชับเบาๆ "จดจำไว้ให้ดี ห้ามใช้พลังภายในอีกเป็นอันขาด การต่อสู้ก็ไม่ได้ เขาบาดเจ็บที่ตันเถียน เดิมทีก็ฝืนใช้พลังภายในไปแล้ว ยังฝืนเดินทางกลับมาอย่างเร่งรีบทั้งที่บาดแผลยังไม่หายดี ตอนที่ข้าจับชีพจรให้ เขายังพยายามฝืนกักลมปราณปกป้องร่างกาย นี่เป็นเรื่องที่อันตรายถึงชีวิตจริงๆ ตอนนี้เขาเปราะบางราวกับเปลือกไข่ หากมีใครคิดปองร้ายเขาเวลานี้ คงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ดังนั้นต้องระมัดระวังให้ถึงที่สุด เข้าใจหรือไม่?" "อีกอย่าง เรื่องของเขา ยิ่งมีคนน้อยคนรู้ยิ่งดี สถานการณ์เช่นนี้ จิตใจมนุษย์ไว้ใจไม่ได้ที่สุด" ซ่งซีซีรู้ดีว่าท่านลุงดันเป็นคนรอบคอบ คำเตือนของเขาก็เพื่อตัวนางและสามี จะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร นางจึงรีบรับคำและให้คำมั่น ภายในจวน อาจารย์หยูสั่งให้ทุกคนแยกย้ายออกไป เพื่อให้ท่านอ๋องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หลังจากที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย และต้องรบในหิมะและความหนาวเย็นเป็นเวลานาน จนต้องดื่มน้ำหิมะทำให้กระเพาะและม้ามได้รับความเสียหาย เขาจำเป็นต้องพักผ่อนแล