องค์หญิงใหญ่รู้ว่าพวกนางมาที่นี่เพื่อเอาใจไทเฮา แม้ว่านางจะโกรธแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะในปกติแล้วนางได้สุงสิงกับฮูหยินเหล่านั้นด้วย จึงไม่ควรมีเรื่องได้ โดยเฉพาะเสด็จพี่เพิ่งกลับมาเมืองหลวงอีกอย่าง เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ตุลาคม แผนการของซ่งซีซีจะเริ่มลงมือนั้นก็ต้องใช้พวกนางเป็นประโยชน์ด้วย เพราะนางจึงแทบไม่ได้ลังเลก็เชิญพวกนางมาฮูหยินหยานไท่ฟู่มาถึงก่อนโดยนำหยานหรูอวี้ หลานสาวนางมาด้วย องค์หญิงใหญ่อธิบายสถานการณ์ไปคร่าวๆ เนื่องจากไทเฮาได้ส่งอาหารเจและเครื่องสังเวยมาด้วย พระสนมในวังหลังก็ได้ส่งมาด้วย ส่งผลทำให้ฮูหยินคนอื่นๆ ก็อยากมาด้วยฮูหยินไทฟู่กล่าวว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากอยากทำบุญก็มาได้หมด"ฮูหยินไทฟู่นับถือศาสนาพุทธมาหลายปีแล้ว และมีจิตใจเมตตา แม้ว่านางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเหมือนกับฮูหยินเสนาบดีมู่เป็นครั้งคราว แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางกระตือรือร้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือเทศกาลหันอี้ประจำปีหนึ่งคือนางมาที่นี่เพื่อช่วยทำบุญให้วิญญาณของผู้ตายพวกนั้น สองคือนางต้องการเรียนรู้พุทธศาสนาจากพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงด้วย ในปีก่อนๆ นางไม่ได้พาหยานหรูอวี้มาด้วย แต่ในปีนี้ หยานหรูอวี้เสนอตัวว
องค์หญิงใหญ่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย จากนั้นจ้องมองชายารองจินด้วยสายตาเย็นชา และให้นางดูแลนางเสิ่นเอาไว้ชายารองจินก็รู้สึกรำคาญเช่นกัน แต่เนื่องจากสถานะของนางเป็ฯแค่ชายารอง เมื่อกี้ที่นางเสิ่นดึงคนอื่นมาถามสารทุกข์สุขดิบนั้น นางจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งโดยตรงได้ก่อนมาที่นี่ก็บอกนางว่าคืนนี้จะเคร่งขรึม ไม่ใช่เพื่อไปตีสนิทกับผู้ใด ต้องอยู่เงียบๆ คัดลอกพระคัมภีร์ สวดมนต์ แสดงความเมตตาของตนเองจะถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าสังคมแต่แล้วทันทีที่นางมาถึง ก็เอาแต่ดึงทุกคนมาพูดคุย เห็นทุกคนเป็นคนกันเอง ทำเหมือนตนเองมาชเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น ไม่เห็นว่าสีหน้าของคุณนายใหญ่เหล่านั้นได้เปลี่ยนไปหรือ?นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อคารวะจากนั้นก็พูดเบาๆ "พระชายา มาคัดลอกพระคัมภีร์ด้วยกันเถอะนะ"นางได้นำหนังสือ "พระสูตรดั้งเดิมของพระกษิติครภโพธิสัตว์" และ "พระสูตรพระไทซ่านช่วยความทุกข์" มาด้วย ส่วนนางได้คัดลอกมาแล้วหลายรอบตอนที่ดูแลเสด็จแม่ในวังนางเสิ่นนั่งคัดลอกพระคัมภีร์บนเบาะนั่งอย่างไม่เต็มใจ พระคัมภีร์นั้นเข้าใจยากและเขียนยากด้วย แค่ไม่นานนักนางก็รู้สึกเจ็บข้อมือ อยากจะวางปากกาลงแต่กลับโด
เรื่องแผนการองค์หญิงใหญ่คืนนี้ พวกเขาไม่ได้กังวลเท่าไร ในเมื่อมือสังหารลงมือแล้วก็ย่อมจะบุกเข้าไปในคุกใต้ดินอย่างแน่นอนเนื่องจากพิธีทำบุญในคืนนี้ จวนองค์หญิงใหญ่จึงมีพระสงฆ์หลายองค์ ค่ายลาดตระเวนและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจะลาดตระเวนสถานที่นั้นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน หากมีมือสังหารปรากฏตัว ผู้คนที่จัดโดยอาจารย์หยูจะตะโกนเสียงดังเพื่อดึงดูดพวกเขาเมื่อเข้าไปในจวนองค์หญิง จะเข้าสู่คุกใต้ดิน มือสังหารรู้โครงสร้างของจวนองค์หญิง และรู้ทางเข้าคุกใต้ดิน ดังนั้นจะนำพวกเขาเข้าไปซ่งซีซีรู้สึกว่าสงสัยเล็กน้อย ไทเฮามอบอาหารเจและผลไม้สดมาสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ ซึ่งดึงดูดผู้คนมากมายไปเข้าร่วมด้วยเป็นไปไม่ได้ที่ไทเฮาจะทำเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นนางทำเช่นนี้เลย มีความเป็นไปได้ก็คือมันจัดโดยฮ่องเต้เนื่องจากจิ้งซินถูกส่งกลับไปยังสำนักกิจการภายใน หลังจากการสอบสวนต้องเปิดโปงองค์หญิงใหญ่แน่ๆเพราะด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับพิธีทำบุญในคืนนี้?แต่ประเด็นของความสนใจดังกล่าวเพื่ออะไรล่ะ? มันทำได้แต่ดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมมากขึ้นเท่านั้นหลังจากที่ทุกค
ยามซวี มือสังหารเริ่มลงมือแล้วมือสังหารกลุ่มหนึ่งอยู่ในชุดดำกลางคืนถือดาบอยู่ในมือ ร่อนลงอย่างเงียบๆ ที่จวนองค์หญิงใหญ่ในเวลานี้ ณ ลานหลักจวนองค์หญิง พระสงฆ์กำลังสวดมนต์ ส่วนพระคัมภีร์ที่พวกฮูหยินคัดลอกมานั้นก็ถูกเผาไปหมดแล้ว ขณะนี้บางคนกำลังคัดลอกอยู่ และบางคนกำลังท่องเมื่อมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น การสวดมนต์ของพวกฮูหยินก็หยุดลงอย่างกะทันหัน"มีมือสังหาร!"เสียงกรีดร้องนี้ทะลุท้องฟ้ายามค่ำคืนและกระทบใจองค์หญิงใหญ่อย่างแรงนางกำลังอยู่ในลานหลัก แต่กลับไม่เห็นมือสังหาร งั้นมือสังหารได้บุกเข้าไปในลานกลางและลานด้านหลังแล้วนางกำลังจะวิ่งออกไป ทว่าหยานหรูอวี้ลุกขึ้นและคว้านางเอาไว้ "องค์หญิงใหญ่ มีมือสังหารอยู่ข้างนอก และมันอันตรายนะ""ปล่อยข้าไป" องค์หญิงใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าดุร้าย ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจหมดทุกคนตกอยู่สภาพวุ่นวายมาก มีเพียงพวกพระสงฆ์และคุณนายใหญ่ไม่กี่คนนั้นยังคงสงบนิ่งอาจารย์จื้อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "มือสังหารจะมีทหารประจำจวนและองครักษ์ไปจัดการ องค์หญิงใหญ่อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลย มาสวดมนต์ต่อเถอะ"องค์หญิงใหญ่มองไปยังอาจารย์จื้อหยวนที่
จ้านเป่ยว่างเห็นว่ามีคนมากมายอยู่ที่นี่ และมีพระสงฆ์ที่เป็นผู้อาวุโสด้วย หากเกิดอะไรขึ้นมาเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว เขาจึงเข้าไปถามพระสงฆ์ว่า "ท่านอาจารย์ พวกท่านกลับห้องเพื่อซ่อนตัวสักหน่อย รอจับกุมมือสังหารแล้วค่อยสวดมนต์ต่อก็ไม่สายไปนะ"อาจารย์จื้อหยวนส่ายหัว "ไม่จำเป็น โยมไปทำธุระเถิด ในเมื่อพิธีในคืนนี้ก็เริ่มแล้วหากสวดมนต์ไม่เสร็จข้าจะไม่ไปไหน""มีมือสังหาร มันอันตราย" จ้านเป่ยว่างร้อนใจขึ้นมาอาจารย์จื้อหยวนยังพนมมือและกล่าวว่า "มือสังหารไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ข้า หากข้าได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจ มันจะเป็นชะตากรรมของข้า"เมื่อเห็นว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ จ้านเป่ยว่างจึงพูดกับคนที่เหลือว่า "ปกป้องพวกเขาไว้ให้ดี"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็รีบวิ่งเข้าไปข้างในด้วยดาบในมือองค์หญิงใหญ่ถึงลานด้านตะวันตก นางกำลังเฝ้าอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ต่อหน้านางคือองครักษ์สามสิบกว่าคน และทางเข้าคุกใต้ดินสี่ทาง มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุดนางคิดว่าเป้าหมายของซ่งซีซีคือแม่ของกู้ชิงหลาน หากต้องการช่วยนังนั่นก็ช่วยให้ออกไปเลย เพราะนางก็เป็นคนที่ใกล้จะตายอยู่แล้ว ต่อให้ช่วยนางออ
มีลูกธนูอยู่บนพื้นเป็นชุดๆ รวมเครื่องยิงหลายเครื่อง มีด ดาบ คันธนูและลูกธนูที่จัดวางเป็นแถวๆ และถังขนาดใหญ่หลายถังซ้อนกันอยู่ที่มุมห้อง เมื่อเข้าไปใกล้ก็จะได้กลิ่นดินปืนถังถูกผนึกและปิดด้วยสิ่งของหลายชั้น แต่ยังคงมีกลิ่นของดินปืนอยู่ที่ที่ถังวางอยู่นั้นไม่มีแสงสว่าง มีเพียงทางเข้าคุกใต้ดินมีแสงไฟเท่านั้นเขาหันกลับมา และเห็นว่าองครักษ์มาถึงแล้ว และเห็นว่ามีแสงไฟส่องสว่างในคุกใต้ดิน หลายคนตกใจมากจนลืมก้าวไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับมือสังหารเซี่ยหลูโม่ก้าวไปข้างหน้าด้วยดาบของเขา แล้วทำให้หลายๆ คนล้มลงกับพื้น จากนั้นเขาก็เห็นจ้านเป่ยว่างเข้ามาพร้อมกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงหลายคน ก่อนที่จ้านเป่ยว่างจะมองเห็นทุกสิ่งที่นี่ เขาก็ยกดาบขึ้นและฟาดไปที่มือสังหารเซี่ยหลูโม่ต่อสู้กับเขาเล็กน้อย ท่ามกลางแสงสลัว จ้านเป่ยว่างสบตาเข้ากับดวงตาของเขา และอาวุธในมือของเขาก็แข็งตัวอยู่ครู่หนึ่งเซี่ยหลูโม่ใช้ประโยชน์จากเขาใจลอย และวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เดินออกไปจากคุกใต้ดินโดยเร็วหลังจากที่จ้านเป่ยว่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มองดูทุกสิ่งในคุกใต้ดิน ชั่วขณะนั้น ดวงต
พบสมาชิกสี่คนในครอบครัวซ่งจืออันที่คุกใต้ดิน ทั้งยังมีผู้หญิงที่บ้าหรือป่วยเจ็ดแปดคนทันทีที่ปี้หมิงเห็นสมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลซ่ง ดวงตาของเขาก็มืดลง และสั่งทันทีว่า "พาพวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้ ไปอยู่กับพวกฮูหยินเหล่านั้น ที่นั่นมีกองกำลังเมืองหลวงและทหารประจำจวนคอยเฝ้าอยู่ปลอดภัยดี"ห้องขังขนาดใหญ่ข้างๆ ก็ขังผู้หญิงไว้ด้วย แต่ผู้หญิงทุกคนที่ถูกจับกุมอยู่ที่นี่มีความพิการทางร่างกาย ขาดแขนบ้าง หรือขาหักบ้าง เสียโฉมบ้าง หรือถูกตัดลิ้นบ้าง ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากดูแลบาดแผลไม่ดี อาการบาดเจ็บจึงไม่หาย และคนหนึ่งที่ขาหักนั้นก็เกิดหนอนขึ้นมาเมื่อสมาชิกกองกำลังเมืองหลวงเข้ามาเห็นฉากนี้ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือจวนองค์หญิง หากกล่าว่ามันคือนรกยังไม่เกินจริงเลยอดทนกลิ่นเหม็นจากร่างกายของพวกนางและช่วยยายออกไปทีละคนในลานหลัก อาจารย์จื้อหยวนและพระสงฆ์อื่นๆ ยังคงสวดมนต์ต่อ เนื่องจากมีสมาชิกกองกำลังเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนจึงคาดเดาว่าเพราะมีมือสังหารมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่าฮูหยินหลายคนที่มีนางเสิ่นเป็นผู้นำล้วนอยากจะออกไป แต่อาจารย์จื้อหยวนหยุดพวกนางไว้อาจารย์จ
คนที่ถูกส่งมาในเวลานี้มีกลิ่นเหม็นมาก และสองคนในนั้นก็เป็นคนบ้า หลังจากเดินเข้ามาก็วิ่งออกไปหยิบผลไม้สดบนโต๊ะบูชามากิน เหมือนกับอดอาหารมานานแล้วบางคนในบรรดานั้นได้แต่นอนอยู่บนพื้น ดูท่าว่าเหมือนป่วยมานานแล้ว และใบหน้าก็ซีดเมื่อทุกคนยังไม่ทราบตัวตนของคนเหล่านี้นั้น มีคนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาก่อนจะเข้ามาก็ได้กลิ่นเหม็นอยู่แล้วกลิ่นเหม็นนั้นทำเอาคนอยากอาเจียนเหมือนกับกลิ่นเนื้อเน่าเปื่อย นางเสิ่นเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกแล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งให้ห่างๆพวกพระสงฆ์ลืมตาเมื่อเห็นสตรีผู้มีมือหรือเท้าพิการถูกส่งมาทีละคน ก็สวดมนต์ไม่หยุดผุ้เป็นพระสงฆ์ย่อมมีความเมตตากรุณา เมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าสังเวชนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุโสแค่ไหนก็อดโกรธไม่ได้เมื่อพวกฮูหยินเห็นสตรีที่ถูกอุ้มเข้ามานั้นต่างก็หายใจเข้าลึกๆ และหลีกเลี่ยงโดยสัญชาตญาณหยานหรูอวี้กางผ้าเช็ดหน้าออกเพื่อปิดปากและจมูกของตนเอง และเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพวกคุณนายใหญ่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ เมื่อเห็นสภาพที่น่าสังเวชบนบาดแผลเหล่านั้น ใบหน้าที่แต่เดิมเป็นสีชมพูนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา และหยานหรูอวี้ก็พูดอย่างเร่งรีบว่า "หาคนมาเร็วๆ ส่งพว
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่
หลังจากเดินสำรวจอยู่สองวัน ซูลันจีก็กล่าวกับซ่งซีซีว่า “แคว้นของท่านมีหมอเทวดาผู้หนึ่ง นามว่าหมอมหัศจรรย์ดัน เขาได้คิดค้นยาชนิดหนึ่งชื่อว่ายาดันเสวี่ย ซึ่งมีสมุนไพรสำคัญชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ นั่นคือเสวี่ยเหอฮวา ทว่าแคว้นของท่านผลิตได้น้อยมาก หนานเจียงเองก็มี แต่เติบโตอยู่บนยอดเขาหิมะ เก็บเกี่ยวได้ยากยิ่ง และมีปริมาณน้อย แต่ในซีจิงของเรา เสวี่ยเหอฮวามิใช่ของหายาก บนภูเขาสูงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมอมหัศจรรย์ดันที่ใช้สมุนไพรชนิดนี้ ต้องลักลอบซื้อจากพ่อค้ายาในซีจิง ราคาจึงแพงมาก ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ขายยาดันเสวี่ยไปหนึ่งเม็ด เขาก็ขาดทุนหนึ่งเม็ด”ซ่งซีซีทราบดีว่ายาดันเสวี่ยเป็นยาที่หายาก เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิดที่หาไม่ครบ แต่ท่านลุงดันก็ไม่เคยบอกอย่างชัดเจนว่าสมุนไพรตัวใดที่ขาดอย่างไรก็ตาม หากเขาต้องซื้อยาจากพ่อค้าชาวซีจิง ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงต้องปิดเป็นความลับ เพราะก่อนหน้านี้ ซีจิงและแคว้นซางมิได้มีการค้าขายกันโดยตรง โดยเฉพาะสมุนไพร ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซูลันจีและจักรพรรดินีหยวนซินต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดขนาดนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็