นางยังคงเงียบ และให้คนเตรียมอาหารให้นางกินก่อนหลังจากที่นางกินเสร็จ ซ่งซีซีกล่าวว่า "หาหนังสือข้อตกลงให้ข้าดูสักหน่อย กลัวว่าจะมีกับดักอะไร หากมีจริงๆ เราต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน"นางกระพริบตาที่น้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง "หากมีกับดักจะเตรียมตัวได้อย่างไรอีก""มีทางออก ไปเอามาให้ข้าดูก่อน" ซ่งซีซีไม่มองนาง โดยเฉพาะเวลานางหลั่งน้ำตา และหันไปหาแม่นมเกา สั่งให้แม่นมเกาไปหาหนังสือข้อตกลงแม่นมเการู้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกวางไว้ที่ไหน และในไม่ช้าก็พบพวกมันและส่งมอบให้กับซ่งซีซีซ่งซีซีอ่านหนังสือข้อตกลงอย่างละเอียดมาสามครั้งตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่พบปัญหาใดๆ ข้อตกลงนั้นยุติธรรมมากในส่วนของผู้ถือหุ้น ทางฝั่งสนมฮุ่ยไทเฟยใช้ชื่อแม่นมเกา เกากุ้ยเฟินท่านหญิงเจียอี้ใช้ชื่อของหัวหน้าจ้าว หัวหน้าจ้าวคนนี้กลับเป็นคนใช้ของนางหากฮูหยินจากตระกูลใหญ่จะทำธุรกิจนอกบ้าน นางจะไม่ใช้ชื่อของตัวเองในการทำ เพราะต้องผ่านกระบวนของรัฐมากมาย อีกอย่างมีความเป็นไปได้ต้องออกมาเพ่นพ่านให้ใครเห็นหน้าค่าตาด้วยซ้ำดังนั้น ไม่ใช้ในนามของผู้นำครอบครัวที่เป็นบุรุษ หรือไม่ก็ลูกชายของตนเอง ไม่งั้นก็คนใช้ที่ตนเองไว้ใจได้ เพราะถ
ซ่งซีซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และสั่งนำตัวหัวหน้าจ้าวมาสอบปากคำมีเตาถ่านอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง และมีแท่งไฟกำลังเผาบนเตาถ่าน หลังจากเผาไปสักพัก แท่งไฟครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อหัวหน้าจ้าวเห็นฉากเช่นนั้น เขาตกใจมากจนแทบจะฉี่รดกางเกงก่อนคุกเข่าลง "พระชายาท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย พระชายาท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตให้ข้าน้อยด้วยขอรับ"ซ่งซีซีนั่งตัวตรงและขมวดคิ้ว "ข้าจะเอาชีวิจเจ้าไปทำอะไร แค่ถามเจ้าสักหน่อย เจ้าตอบตามความจริง"หัวหน้าจ้าวพยักหน้าหนัก "ข้าน้อยจะบอกทุกเรื่องที่รู้ขอรับ"ซ่งซีซีหยิบสมุดบัญชีของสินค้าที่ซื้อมาไว้ในมือ "ซื้อสินค้าราคาถูกและหยาบเหล่านี้ ท่านหญิงเจียอี้รู้เรื่องหรือไม่""รู้ขอรับ รู้ขอรับ นางเป็นคนสั่งเองขอรับ""เจ้าได้บอกนางหรือเปล่าว่าวัสดุที่ใช้ในเครื่องประดับทองนั้นหากไม่บริสุทธิ์ และเกิดปัญหาได้ง่าย"หัวหน้าจ้าวกลอกตาไปมาแล้วพูดว่า "ข้าน้อยได้บอกแล้ว แต่ท่านหญิงบอกว่าไม่เป็นไร หากเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตอนนั้นร้านของเราก็ปิดไปแล้ว"ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "คือจะปิดร้านหรือจะโยนความผิดทั้งหมดใหสนมฮุ่ยไทเฟย?"หัวหน้าจ้าวเงียบไป "นี่...
นักบัญชีคำนวณยอดออกมา และส่งมอบให้กับซ่งซีซีหลังจากที่ซ่งซีซีอ่านเสร็จแล้ว นางก็มอบให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยเสียงนุ่มนวล "เสด็จแม่ตรวจดูว่ายอดถูกหรือไม่"สนมฮุ่ยไทเฟยรับมันมาด้วยสีหน้าไม่ยอมและมองดูมันอย่างระมัดระวัง นางพร้อมที่จะต่อสู้แต่เมื่อนางมอบดูรายงานบัญชีนั้นก็ตกตะลึง "หลายปีมานี้ ข้าออกเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ?"รวมกับเงินทุนแล้ว นางออกเงินรวมทั้งหมดหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่านางจะจดทุกยอดรายจ่าย แต่ตอนที่ตนเองบันทึกนั้นไม่ได้รู้สึกเยอะอะไร พอคำนวณดูแล้วกลับเป็นเงินมากขนาดนี้หนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึง ถ้ามิใช่ซ่งซีซีนำนางไปดูสักหน่อย แล้วนำคนกลับมาสอบสวน นางก็คงจะคิดว่ามันเป็นการขาดทุนมาโดยตลอด และยังคงออกเงินให้อีกเพื่อแข่งขันกับเต๋อกุ้ยไทเฟยเงินหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงเป็นต้นทุน กำไรบวกกับกำไรรวมปีนี้อยู่ที่หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันห้าร้อยสามสิบตำลึงจากส่วนแบ่งที่นางควรมี นางสามารถได้กำไรจากยอดนี้เป็นเงินหนึ่งแสนสามหมื่นห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึงรวมกำไรแล้ว ครั้งนี้นางต้องการทวงให้ท่านหญิงเจียอี้คืนเงินสองแสนหกหมื่นหกพันห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึง
องค์หญิงใหญ่รู้สึกรำคาญมากและพูดว่า "เรียกพวกนางเข้ามาและรอที่ห้องโถงด้านข้างสักพัก ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางไปที่ห้องโถงหลัก ข้าทานอาหารเย็นเสร็จเดี๋ยวจะออกไปพบพวกนาง"พ่อบ้านไปดูแลพวกเขาด้วยตนเอง และกลับเห็นว่าพวกนางสั่งคนให้ยกของเข้ามา ซึ่งมันดูไม่เหมือนของขวัญเลย จึงถามว่า "ไม่ทราบว่าไทเฟยส่งอะไรมาให้เหรอขอรับ"ขณะที่สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังจะโพล่งออกว่าเป็นสมุดบัญชี ซ่งซีซี แย่งพูดก่อนว่า "งานต้นฉบับเก่าๆ เพื่อให้องค์หญิงใหญ่ตรวจดู"ดวงตาของพ่อบ้านเป็นประกาย งานต้นฉบับเหรอ? หรือว่าเป็นงานต้นฉบับของคุณชายเสิ่นชิงเหอหรือเปล่า?เขาสั่งให้คนใช้ยกน้ำชาและขนมดีๆ ไปบริการ คอยดูแลไว้ก่อน จากนั้นไปรายงานองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้"งานต้นฉบับเหรอ? เป็นของเสิ่นชิงเหอเหรอ?" องค์หญิงใหญ่ถามอย่างใจเย็น"ไม่ทราบขอรับ นางไม่ได้บอก และข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมากความ" พ่อบ้านพูดพร้อมกับโค้งคำนับเรื่องไข่มุกตงจูและเงินสามพันตำลึง ท่านหญิงเจียอี้เพิ่งรู้หลังๆ หลังจากได้ยินแล้วก็โกรธมากเมื่อเห็นพวกนางยกงานต้นฉบับมาถึงที่ นางก็เยาะเย้ย "สนมฮุ่ยไทเฟยอาจรู้สึกว่าการที่นางขอไข่มุกตงจูคืนทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ
องค์หญิงใหญ่พูดต่อว่า "ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าการค้าขายของร้านนี้ไม่ค่อยดี"ท่านหญิงเจียอี้บ่นขึ้นมา "ก็นั่นน่ะสิ หลังจากเปิดกิจการมาหลายปี ไม่เพียงแต่ไม่มีกำไร แต่ยังต้องขาดทุนอีกด้วย ดีที่มีการขายแบบให้ส่วนลดในสิ้นปี ถึงไม่ต้องการออกเงินไปอุดหนุนค่าเช่าและค่าแรงงาน ลูกผิดกับสนมฮุ่ยไทเฟยจริงๆ เป็นนางไว้ใจข้าถึงยอมออกทุนร่วมเปิดร้านกับข้า เพียวแต่ไม่เพียงไม่ได้ทำกำไรให้นาง กลับยังขาดทุนตลอด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "บัดนี้ธุรกิจในทุกๆ ด้านก็ดำเนินได้ยาก ท่านพี่ไม่ต้องโทษตนเองหรอก เชื่อว่าเสด็จแม่ก็พอจะเข้าใจ ใช่ไหม เสด็จแม่"ซ่งซีซีหันหัวออกไปมองดูสนมฮุ่ยไทเฟยสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูนาง อะไรกัน มองนางทำไม ก่อนที่นางจะเข้ามา ได้สั่งให้นางพยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วตอนนี้กลับมาถามนางแต่ภายใต้นัยน์ตาของซ่งซีซี นางทำได้เพียงพยักหน้าและพูดอย่างแข็งทื่อว่า "ใช่"ซ่งซีซีพูดตามคำตอบของนาง "ใช่ไง โทษท่านพี่ไม่ได้นะ ธุรกิจมันทำยากสินะ"ท่านหญิงเจียอี้พยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ ใช่ ธุรกิจทำยากจริงๆ"ซ่งซีซีหยิบหนังสือข้อตกลงออกมาแล้วพูดว่า "ข้อตกลงชุดนี้ข้าได้อ่านมาแล้ว ที่ร้านจิน
จู่ๆ สีหน้าของแม่ลูกทั้งคู่เปลี่ยนไป พวกนางต่างรู้ดีว่าต้าหลี่ซื่อชิงคนปัจจุบันคือผู้ใด ก็คือเซี่ยหลูโม่องค์หญิงใหญ่ดูกล่องสมุดบัญชีแล้วพูดว่า "ในเมื่อหัวหน้าจ้าวได้หลอกลวงพวกเจ้าพร้อมกัน งั้นสมุดบัญชีนี้พวกเจ้าต้องตรวจสอบมาก่อน เจียอี้ก็ต้องหานักบัญชีมาตรวจสอบให้ดีๆ พวกเจ้าทิ้งสมุดบัญชีไว้ที่นี่ก่อน รอเราตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยไปหาพวกเจ้าที่จวนเพื่อเทียบกัน หากได้หลักฐานแล้ว จะแจ้งความหรือสอบสวนก็ดำเนินตามความต้องการเลย"ซ่งซีซีจิบน้ำชาคำนึง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านป้า ข้าเป็นคนใจร้อน สมุดบัญชีก็อยู่นี่แล้ว พวกท่านรีบหานักบัญชีมา หาให้เยอะๆ หากไม่เพียงพอ ข้าจะส่งคนไปที่จวนโหวผิงหยาง ให้นักบัญชีที่จวนโหวผิงหยางก็มาด้วย คืนนี้ช่วยจัดการสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็รวบรวมรายการบัญชีออกมาได้แล้วนี่""ไปจวนโหวผิงหยางไม่ได้!" ท่านหญิงเจียอี้ยืนขึ้นและพูดด้วยใบหน้าซีดเซียวตอนนี้แม่สามีและสามีของนางไม่ชอบนางมากพอแล้ว หากพวกเขารู้เรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าจะดูหมิ่นนางอย่างไรเลยท่าทางไม่แยแสของแม่สามีนางทนมามากพอแล้วดวงตาขององค์หญิงใหญ่เยือกเย็นราวกับมีดคม "อะไรนะ? คำก็ท่านป้าสองคำก็ท่านป้า กลับไม
ในพริบตา ผู้คนมากกว่าสิบคนพุ่งเข้ามา ภายใต้คำสั่งขององค์หญิงใหญ่ พวกเขาก็เดินไปที่สมุดบัญชีสนมฮุ่ยไทเฟยใจร้อนมาก “องค์หญิงใหญ่ เจ้าคิดจะทำอะไร ก็แค่ตรวจสอบสมุดบัญชีอย่างเปิดเผยก็จบเรื่อง ทำไมต้องซ่อนมันเอาไว้ล่ะ?”องค์หญิงใหญ่มองดูที่นิ้วของตนเอง แล้วเหลือบมองไปที่สนมฮุ่ยไทเฟยอย่างสบายๆ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือที่นี่”“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาตรวจพร้อมกัน ตรวจพร้อมก็รู้แล้วนี่ว่าได้ลงไม้ลงมืออะไรหรือไม่”“ฮ่าๆ!” องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงในจมูกของนาง แต่ก็เป็นการเยาะเย้ย “ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก ในเมื่อพวกเจ้าได้ตรวจสอบมาแล้ว งั้นก็ถึงตาเราแล้ว”ท่านหญิงเจียอี้ตะโกนอย่างเคร่งเครียด "ยังมัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นไปทำไม ขนออกไปสิ"ซ่งซีซีถือแส้ในมือข้างหนึ่ง แล้วโยนถ้วยชาใส่บุคคลหนึ่งในนั้นแล้วตีเขาที่หน้าผากพอดี จากนั้นบุคคลนั้นล้มลงกับพื้นและเป็นลมไปซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้า และแส้ฟาดไปในกลางอากาศ ได้เกิดเสียง "เพี๊ยะๆ" ออกมา จากนั้นแส้ก็เฆี่ยนตีองครักษ์หลายสิบคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ยืนเรียงกันเป็นแถว แต่ก็ถูกเฆี่ยนตีทั้งหมด"ข้าจะดูว่าใครจะกล้าขนมัน!" ซ่งซีซียืนอยู่หน้ากล่อ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกหมั่นไส้จากก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้านี้คล้ายกับหน้าแม่ของนางไม่มีผิดเลยล้วนเป็นผู้หญิต่ำช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งซีซียังยิ้มกว้าง "เรามาตรวจบัญชีอย่างเปิดเผย ไม่ทราบว่าทำไมท่านป้าต้องใช้กำลังเช่นนี้ หรือว่าในนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆ หรือ รอตรวจสอบบัญชีที่จวนโหวผิงหยางแล้ว เสด็จแม่ ท่านต้องจัดงานเลี้ยงสักหน่อย เพื่อเชิญชวนทุกคนมาพิจารณาเรื่องนี้"เจียอี้ตะเบ็ง "เจ้าเอาแต่พูดพล่อยๆ จะมีเรื่องแอบแฝงอะไร ที่ผ่านมาไม่ได้ส่งสมุดบัญชีให้สนมฮุ่ยไทเฟยดูหรือไง""ช่างบังเอิญจริงๆ สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปที่พระราชวังแตกต่างไปจากสมุดบัญชีที่ข้าพบในร้านจินโดยสิ้นเชิง" ซ่งซีซีมองดูเจียอี้ และเสียงของนางก็เข้มงวด "สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปนั้นขาดทุน แต่สมุดบัญชีที่ร้านจินกลับทำกำไร เจ้าว่ามันไม่มีอะไรแอบแฝงหรือ?"เจียอี้รู้สึกหงุดหงิดมาก "เจ้าส่งเสียงดังโวยวายทำไม ที่นี่คือจวนองค์หญิง มิใช่จวนจวนเสนาบดีกั๋วกงหรือจวนอ๋องของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความเย็นชา "จวนองค์หญิงแล้วทำไม หรือว่าจวนองค์หญิงไม่ใช้เหตุผลเหรอ ในเมื่อเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่จำเ
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก
จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ
ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่
เมื่อการคาดเดาเช่นนี้แพร่กระจายออกไป บรรดาขุนนางบางคนก็เริ่มยุยงให้เจ้ากรมฉีไปสอบถาม ฮองเฮาเพื่อขอคำชี้แจง ถ้าข่าวลือนี้เป็นความจริง จะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก!เป่ยหมิงอ๋อง กำลังออกรบที่หนานเจียงอย่างเต็มกำลัง แต่ถ้าข่าวลือว่าสตรีของเขาถูกคนอื่นเล็งไว้แพร่ไปถึงที่นั่น จะทำให้เสียขวัญและกำลังใจจนส่งผลกระทบต่อการรบได้! แม้แต่หลี่เต๋อฮวย เสนาบดีกรมทหาร ยังวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนต้องเข้าพบเจ้ากรมฉีด้วยตัวเองเพื่อชี้แจงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เขากล่าวว่า "เป่ยหมิงอ๋องกำลังเสี่ยงชีวิตอยู่ในสนามรบ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ไม่ได้!" จากนั้นเขายังเสริมว่า "ข้าได้ยินมาว่าอวี้ฉื่อสวี่มีแผนจะยื่นฎีกาคัดค้านในท้องพระโรงอย่างแข็งขัน" เจ้ากรมฉีตกใจจนหน้าซีด "เรื่องนี้ยังไม่มีการสอบสวนชัดเจน แล้วจะถึงขั้นยื่นฎีกาได้อย่างไร? อวี้ฉื่อสวี่จะไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นเช่นนั้นหรอก!" หลี่เต๋อฮวยตอบกลับ "เขาต้องการให้ฮ่องเต้ชี้แจงเรื่องนี้ หากปล่อยให้คนคาดเดาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วข่าวลือเหล่านี้จะไปถึงหนานเจียงและเมืองเฉิงหลิง แล้วคราวนี้ความวุ่นวายจะบังเกิด!" แม
หลานเจี่ยนกูกูลังเลไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “แต่หากปล่อยให้เรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของคุณหนูเจ็ดจะเสียหายไปด้วย และอาจกระทบถึงชื่อเสียงของบุตรสาวคนอื่นในจวนผิงหนานป๋อด้วยเพคะ” ฮองเฮามองด้วยสายตาเย็นชา “นางเป็นเพียงลูกสาวอนุ ใจสูงเกินตัว มองใครก็ไม่คู่ควร คงอยากแต่งงานสูงส่งเท่านั้น สตรีเช่นนี้ที่หวังเกินความสามารถ หากต้องพังพินาศก็เป็นเพราะตัวนางเอง และข้ายังได้ยินว่านางนิสัยดุร้าย ใครก็ไม่กลัว ถ้าหากนางกล้าไปก่อเรื่องกับซ่งซีซีให้เกิดความวุ่นวาย ข้าจะยิ่งดีใจ เพราะจะมีเรื่องให้นินทากันแทน เรื่องฮ่องเต้ก็จะถูกลืมไปเอง” หลานเจี่ยนกูกูเงียบไป ไม่กล้าพูดอะไร ฮองเฮาจึงโกรธขึ้นมา “ตอนนี้ข้าพูดอะไร เจ้ามีแต่จะคัดค้าน บอกว่าไม่เหมาะสม เจ้าก็ลองบอกข้าสิว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องนี้สงบลงได้ หรือเจ้าจะให้ฮ่องเต้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปตลอด?” หลานเจี่ยนกูกูอยากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกี่ยวโยงกันได้เลย แม้คุณหนูเจ็ดจะไปก่อเรื่องจริง แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงเรื่องของหญิงสาวบ้านเล็กบ้านน้อย ไม่น่าจะกลบเรื่องของฮ่องเต้ได้ แต่เห็นฮองเฮาโกรธจัด นางจึงไม่กล้าพูดและจำต้องรับคำสั่งไป ช่วงนี้ใกล
ซ่งซีซีกำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เมื่อเสิ่นว่านจือพูดหยอกล้อเช่นนั้น นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ปล่อยมือ ลงมาแช่ด้วยกันเถอะ” เสิ่นว่านจือหัวเราะพลางรับคำ “ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่ง!” พูดจบก็จัดการถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ข้างบ่ออย่างรวดเร็ว แล้วลงไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อน ทั้งสองเล่นน้ำหยอกล้อกันสักพัก จากนั้นก็วางคางลงบนหมอนนุ่มริมบ่อ เสิ่นว่านจือพูดขึ้น “ฮองเฮาคนนั้น เหมือนคนโง่จริงๆ เจ้าจะไปสนใจนางทำไม? โกรธเพราะนางไม่คุ้มเสียหรอก” “นางเหมือนมีอะไรผิดปกติจริงๆ ไม่เหมือนคนที่ได้รับการอบรมมาจากตระกูลฉี” ซ่งซีซีหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เอาเถอะ ตระกูลฉีก็มีไม่น้อยที่ไม่เอาไหน” “ใช่หรือไม่ล่ะ? เจ้ากรมฉีเองยังเลี้ยงเมียน้อยไว้เลย ส่วนเรื่องของราชครูฉีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีแต่ฮูหยินเสนาบดีที่ดูปกติหน่อย แต่น่าสงสารนัก” ซ่งซีซีประสานมือใต้คาง นางวางคางลงบนมือที่พับซ้อนกัน ดวงตาฉายแววหม่น “ใช่แล้ว… จือจือ เจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าได้ยินสิ่งที่หลานเจี่ยนกูกูกล่าวมา ข้ารู้สึกอย่างไร?” “โกรธสิ” เสิ่นว่านจือตอบขณะวางคางลงบนมือเหมือนกัน “จะรู้สึกอะไรอีก?”“โกรธน่ะโกรธแน่” ซ่งซีซียกมื
หลานเจี่ยนกูกูถูก ‘ส่ง’ ออกจากจวนอ๋องด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรจากคนในจวน แม้กระทั่งตอนเดินออกไปยังถูกส่งสายตาเหยียดหยามจากทุกทิศทาง ระหว่างทางกลับวัง นางยังคงไม่แน่ใจว่าพระชายาอ๋องจะเข้าวังหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าพระชายาอ๋องไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน ฮองเฮาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาพระชายารองให้ท่านอ๋องจริงๆ สิ่งที่นางพูดไปเป็นเพียงการกดดันพระชายาอ๋อง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้พระชายาอ๋องลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้พระชายาอ๋องจะไม่ลาออก ฮองเฮาก็ไม่ได้คิดจะส่งพระชายารองหรือสนมใดๆ เข้าไปในจวนอ๋องจริงๆ แต่หลานเจี่ยนกูกูไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องจะโกรธถึงเพียงนี้ ถึงขนาดไม่สนใจรักษามารยาทหรือเก็บอารมณ์ และไล่ตนออกมาทันที หากพระชายาอ๋องไม่เข้าวัง เรื่องเข้าใจผิดนี้ก็คงไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่… หลานเจี่ยนกูกูถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมตั้งคำถามในใจว่านี่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดจริงหรือ? ความจริงแล้ว นางเองก็คิดว่าการมีสตรีเป็นขุนนางในราชสำนักนั้นเป็นเรื่องดี หากพระชายาอ๋องต้องลาออก นางกลับรู้สึกเสียดายเสียด้วยซ้ำ คิดเช่นนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูก็รู้สึกผิดที่ตัวเองดูเหมือน
ฉีฮองเฮากลับไปยังตำหนักฉางชุนด้วยสภาพเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสว่า ‘สละตำแหน่งฮองเฮา’ ยังคงดังก้องในหัวของนาง ทุกคำล้วนเหมือนสายฟ้าฟาดที่กระแทกใจนางอย่างหนัก ความคิดของนางชะงักงัน มือเท้าอ่อนล้าไปหมด "ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทคงเพียงตรัสด้วยความโกรธ โปรดอย่าใส่พระทัยนักเลยเพคะ" หลานเจี่ยนกูกูเห็นว่านางหน้าซีดเซียวเหมือนคนไร้ชีวิต ก็พูดปลอบด้วยความเป็นห่วง ฉีฮองเฮารู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก กดหน้าอกไว้ น้ำตาไหลพรากไม่หยุด "เพียงคำพูดด้วยความโกรธ แต่สามารถกล่าวถึงการปลดข้าจากตำแหน่งได้อย่างนั้นหรือ? ฝ่าบาทไม่เคยพูดคำใดด้วยความโกรธ นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงตั้งใจจริง" "เป็นไปไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทจะให้เสิ่นว่านจือ สตรีจากตระกูลพ่อค้า ขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?" หลานเจี่ยนกูกูที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างหนักแน่น ฉีฮองเฮาน้ำตาไหลเปื้อนทั่วใบหน้า "เจ้ามองไม่ออกหรือ? ไม่ใช่เสิ่นว่านจือหรอก แต่เป็นซ่งซีซีต่างหาก" หลานเจี่ยนกูกูอุทาน "นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ซ่งซีซีเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ฝ่าบาทต่อให้ทรงเลอะเลือนเพียงใด ก็ไม่มีวันยกตำแหน่งฮอง
ฮองเฮาตกพระทัย รีบก้มหน้าลง ดวงตาที่หม่นหมองฉายแววไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ผู้คนในวังหลังพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้กลับปกป้องซ่งซีซีก่อน และความพิโรธของพระองค์นั้นมีเพื่อซ่งซีซีเพียงผู้เดียว หากเรื่องนี้มิได้เกิดจากความคิดที่ไม่เหมาะสมของซ่งซีซี ก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ทรงกระทำเอง พระองค์จึงรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ฮองเฮารู้สึกสับสน เพราะฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองเป็นที่สุด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ฉวยโอกาสผลักความผิดไปที่ซ่งซีซี เพื่อรักษาพระเกียรติของตน? เหตุใดจึงต้องปกป้องซ่งซีซีก่อน? หากพระองค์ตรัสแบบเดียวกันนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ย่อมจะถูกกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทรงกระทำการอันเหลวไหล ความคิดหลากหลายประการถาโถมเข้าสู่จิตใจของฉีฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ฮ่องเต้เคยตรัสว่าอยากให้ซ่งซีซีเข้าวัง หรือว่าฮ่องเต้จะมีใจให้ซ่งซีซีจริง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าน่าหัวเราะสิ้นดี ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานกับฮ่องเต้ นางก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันเป็นของนางเพียงผู้เดียว ความรักหรือความชื่นชอบล้วนไม่สำคั