นางยังคงเงียบ และให้คนเตรียมอาหารให้นางกินก่อนหลังจากที่นางกินเสร็จ ซ่งซีซีกล่าวว่า "หาหนังสือข้อตกลงให้ข้าดูสักหน่อย กลัวว่าจะมีกับดักอะไร หากมีจริงๆ เราต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน"นางกระพริบตาที่น้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง "หากมีกับดักจะเตรียมตัวได้อย่างไรอีก""มีทางออก ไปเอามาให้ข้าดูก่อน" ซ่งซีซีไม่มองนาง โดยเฉพาะเวลานางหลั่งน้ำตา และหันไปหาแม่นมเกา สั่งให้แม่นมเกาไปหาหนังสือข้อตกลงแม่นมเการู้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกวางไว้ที่ไหน และในไม่ช้าก็พบพวกมันและส่งมอบให้กับซ่งซีซีซ่งซีซีอ่านหนังสือข้อตกลงอย่างละเอียดมาสามครั้งตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่พบปัญหาใดๆ ข้อตกลงนั้นยุติธรรมมากในส่วนของผู้ถือหุ้น ทางฝั่งสนมฮุ่ยไทเฟยใช้ชื่อแม่นมเกา เกากุ้ยเฟินท่านหญิงเจียอี้ใช้ชื่อของหัวหน้าจ้าว หัวหน้าจ้าวคนนี้กลับเป็นคนใช้ของนางหากฮูหยินจากตระกูลใหญ่จะทำธุรกิจนอกบ้าน นางจะไม่ใช้ชื่อของตัวเองในการทำ เพราะต้องผ่านกระบวนของรัฐมากมาย อีกอย่างมีความเป็นไปได้ต้องออกมาเพ่นพ่านให้ใครเห็นหน้าค่าตาด้วยซ้ำดังนั้น ไม่ใช้ในนามของผู้นำครอบครัวที่เป็นบุรุษ หรือไม่ก็ลูกชายของตนเอง ไม่งั้นก็คนใช้ที่ตนเองไว้ใจได้ เพราะถ
ซ่งซีซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และสั่งนำตัวหัวหน้าจ้าวมาสอบปากคำมีเตาถ่านอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง และมีแท่งไฟกำลังเผาบนเตาถ่าน หลังจากเผาไปสักพัก แท่งไฟครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อหัวหน้าจ้าวเห็นฉากเช่นนั้น เขาตกใจมากจนแทบจะฉี่รดกางเกงก่อนคุกเข่าลง "พระชายาท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย พระชายาท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตให้ข้าน้อยด้วยขอรับ"ซ่งซีซีนั่งตัวตรงและขมวดคิ้ว "ข้าจะเอาชีวิจเจ้าไปทำอะไร แค่ถามเจ้าสักหน่อย เจ้าตอบตามความจริง"หัวหน้าจ้าวพยักหน้าหนัก "ข้าน้อยจะบอกทุกเรื่องที่รู้ขอรับ"ซ่งซีซีหยิบสมุดบัญชีของสินค้าที่ซื้อมาไว้ในมือ "ซื้อสินค้าราคาถูกและหยาบเหล่านี้ ท่านหญิงเจียอี้รู้เรื่องหรือไม่""รู้ขอรับ รู้ขอรับ นางเป็นคนสั่งเองขอรับ""เจ้าได้บอกนางหรือเปล่าว่าวัสดุที่ใช้ในเครื่องประดับทองนั้นหากไม่บริสุทธิ์ และเกิดปัญหาได้ง่าย"หัวหน้าจ้าวกลอกตาไปมาแล้วพูดว่า "ข้าน้อยได้บอกแล้ว แต่ท่านหญิงบอกว่าไม่เป็นไร หากเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตอนนั้นร้านของเราก็ปิดไปแล้ว"ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "คือจะปิดร้านหรือจะโยนความผิดทั้งหมดใหสนมฮุ่ยไทเฟย?"หัวหน้าจ้าวเงียบไป "นี่...
นักบัญชีคำนวณยอดออกมา และส่งมอบให้กับซ่งซีซีหลังจากที่ซ่งซีซีอ่านเสร็จแล้ว นางก็มอบให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยเสียงนุ่มนวล "เสด็จแม่ตรวจดูว่ายอดถูกหรือไม่"สนมฮุ่ยไทเฟยรับมันมาด้วยสีหน้าไม่ยอมและมองดูมันอย่างระมัดระวัง นางพร้อมที่จะต่อสู้แต่เมื่อนางมอบดูรายงานบัญชีนั้นก็ตกตะลึง "หลายปีมานี้ ข้าออกเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ?"รวมกับเงินทุนแล้ว นางออกเงินรวมทั้งหมดหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่านางจะจดทุกยอดรายจ่าย แต่ตอนที่ตนเองบันทึกนั้นไม่ได้รู้สึกเยอะอะไร พอคำนวณดูแล้วกลับเป็นเงินมากขนาดนี้หนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึง ถ้ามิใช่ซ่งซีซีนำนางไปดูสักหน่อย แล้วนำคนกลับมาสอบสวน นางก็คงจะคิดว่ามันเป็นการขาดทุนมาโดยตลอด และยังคงออกเงินให้อีกเพื่อแข่งขันกับเต๋อกุ้ยไทเฟยเงินหนึ่งแสนสามหมื่นหกพันตำลึงเป็นต้นทุน กำไรบวกกับกำไรรวมปีนี้อยู่ที่หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันห้าร้อยสามสิบตำลึงจากส่วนแบ่งที่นางควรมี นางสามารถได้กำไรจากยอดนี้เป็นเงินหนึ่งแสนสามหมื่นห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึงรวมกำไรแล้ว ครั้งนี้นางต้องการทวงให้ท่านหญิงเจียอี้คืนเงินสองแสนหกหมื่นหกพันห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดตำลึง
องค์หญิงใหญ่รู้สึกรำคาญมากและพูดว่า "เรียกพวกนางเข้ามาและรอที่ห้องโถงด้านข้างสักพัก ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางไปที่ห้องโถงหลัก ข้าทานอาหารเย็นเสร็จเดี๋ยวจะออกไปพบพวกนาง"พ่อบ้านไปดูแลพวกเขาด้วยตนเอง และกลับเห็นว่าพวกนางสั่งคนให้ยกของเข้ามา ซึ่งมันดูไม่เหมือนของขวัญเลย จึงถามว่า "ไม่ทราบว่าไทเฟยส่งอะไรมาให้เหรอขอรับ"ขณะที่สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังจะโพล่งออกว่าเป็นสมุดบัญชี ซ่งซีซี แย่งพูดก่อนว่า "งานต้นฉบับเก่าๆ เพื่อให้องค์หญิงใหญ่ตรวจดู"ดวงตาของพ่อบ้านเป็นประกาย งานต้นฉบับเหรอ? หรือว่าเป็นงานต้นฉบับของคุณชายเสิ่นชิงเหอหรือเปล่า?เขาสั่งให้คนใช้ยกน้ำชาและขนมดีๆ ไปบริการ คอยดูแลไว้ก่อน จากนั้นไปรายงานองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้"งานต้นฉบับเหรอ? เป็นของเสิ่นชิงเหอเหรอ?" องค์หญิงใหญ่ถามอย่างใจเย็น"ไม่ทราบขอรับ นางไม่ได้บอก และข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมากความ" พ่อบ้านพูดพร้อมกับโค้งคำนับเรื่องไข่มุกตงจูและเงินสามพันตำลึง ท่านหญิงเจียอี้เพิ่งรู้หลังๆ หลังจากได้ยินแล้วก็โกรธมากเมื่อเห็นพวกนางยกงานต้นฉบับมาถึงที่ นางก็เยาะเย้ย "สนมฮุ่ยไทเฟยอาจรู้สึกว่าการที่นางขอไข่มุกตงจูคืนทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ
องค์หญิงใหญ่พูดต่อว่า "ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าการค้าขายของร้านนี้ไม่ค่อยดี"ท่านหญิงเจียอี้บ่นขึ้นมา "ก็นั่นน่ะสิ หลังจากเปิดกิจการมาหลายปี ไม่เพียงแต่ไม่มีกำไร แต่ยังต้องขาดทุนอีกด้วย ดีที่มีการขายแบบให้ส่วนลดในสิ้นปี ถึงไม่ต้องการออกเงินไปอุดหนุนค่าเช่าและค่าแรงงาน ลูกผิดกับสนมฮุ่ยไทเฟยจริงๆ เป็นนางไว้ใจข้าถึงยอมออกทุนร่วมเปิดร้านกับข้า เพียวแต่ไม่เพียงไม่ได้ทำกำไรให้นาง กลับยังขาดทุนตลอด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "บัดนี้ธุรกิจในทุกๆ ด้านก็ดำเนินได้ยาก ท่านพี่ไม่ต้องโทษตนเองหรอก เชื่อว่าเสด็จแม่ก็พอจะเข้าใจ ใช่ไหม เสด็จแม่"ซ่งซีซีหันหัวออกไปมองดูสนมฮุ่ยไทเฟยสนมฮุ่ยไทเฟยมองดูนาง อะไรกัน มองนางทำไม ก่อนที่นางจะเข้ามา ได้สั่งให้นางพยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วตอนนี้กลับมาถามนางแต่ภายใต้นัยน์ตาของซ่งซีซี นางทำได้เพียงพยักหน้าและพูดอย่างแข็งทื่อว่า "ใช่"ซ่งซีซีพูดตามคำตอบของนาง "ใช่ไง โทษท่านพี่ไม่ได้นะ ธุรกิจมันทำยากสินะ"ท่านหญิงเจียอี้พยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ ใช่ ธุรกิจทำยากจริงๆ"ซ่งซีซีหยิบหนังสือข้อตกลงออกมาแล้วพูดว่า "ข้อตกลงชุดนี้ข้าได้อ่านมาแล้ว ที่ร้านจิน
จู่ๆ สีหน้าของแม่ลูกทั้งคู่เปลี่ยนไป พวกนางต่างรู้ดีว่าต้าหลี่ซื่อชิงคนปัจจุบันคือผู้ใด ก็คือเซี่ยหลูโม่องค์หญิงใหญ่ดูกล่องสมุดบัญชีแล้วพูดว่า "ในเมื่อหัวหน้าจ้าวได้หลอกลวงพวกเจ้าพร้อมกัน งั้นสมุดบัญชีนี้พวกเจ้าต้องตรวจสอบมาก่อน เจียอี้ก็ต้องหานักบัญชีมาตรวจสอบให้ดีๆ พวกเจ้าทิ้งสมุดบัญชีไว้ที่นี่ก่อน รอเราตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยไปหาพวกเจ้าที่จวนเพื่อเทียบกัน หากได้หลักฐานแล้ว จะแจ้งความหรือสอบสวนก็ดำเนินตามความต้องการเลย"ซ่งซีซีจิบน้ำชาคำนึง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านป้า ข้าเป็นคนใจร้อน สมุดบัญชีก็อยู่นี่แล้ว พวกท่านรีบหานักบัญชีมา หาให้เยอะๆ หากไม่เพียงพอ ข้าจะส่งคนไปที่จวนโหวผิงหยาง ให้นักบัญชีที่จวนโหวผิงหยางก็มาด้วย คืนนี้ช่วยจัดการสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ก็รวบรวมรายการบัญชีออกมาได้แล้วนี่""ไปจวนโหวผิงหยางไม่ได้!" ท่านหญิงเจียอี้ยืนขึ้นและพูดด้วยใบหน้าซีดเซียวตอนนี้แม่สามีและสามีของนางไม่ชอบนางมากพอแล้ว หากพวกเขารู้เรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าจะดูหมิ่นนางอย่างไรเลยท่าทางไม่แยแสของแม่สามีนางทนมามากพอแล้วดวงตาขององค์หญิงใหญ่เยือกเย็นราวกับมีดคม "อะไรนะ? คำก็ท่านป้าสองคำก็ท่านป้า กลับไม
ในพริบตา ผู้คนมากกว่าสิบคนพุ่งเข้ามา ภายใต้คำสั่งขององค์หญิงใหญ่ พวกเขาก็เดินไปที่สมุดบัญชีสนมฮุ่ยไทเฟยใจร้อนมาก “องค์หญิงใหญ่ เจ้าคิดจะทำอะไร ก็แค่ตรวจสอบสมุดบัญชีอย่างเปิดเผยก็จบเรื่อง ทำไมต้องซ่อนมันเอาไว้ล่ะ?”องค์หญิงใหญ่มองดูที่นิ้วของตนเอง แล้วเหลือบมองไปที่สนมฮุ่ยไทเฟยอย่างสบายๆ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือที่นี่”“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาตรวจพร้อมกัน ตรวจพร้อมก็รู้แล้วนี่ว่าได้ลงไม้ลงมืออะไรหรือไม่”“ฮ่าๆ!” องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงในจมูกของนาง แต่ก็เป็นการเยาะเย้ย “ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้าหรอก ในเมื่อพวกเจ้าได้ตรวจสอบมาแล้ว งั้นก็ถึงตาเราแล้ว”ท่านหญิงเจียอี้ตะโกนอย่างเคร่งเครียด "ยังมัวแต่ยืนอยู่ที่นั่นไปทำไม ขนออกไปสิ"ซ่งซีซีถือแส้ในมือข้างหนึ่ง แล้วโยนถ้วยชาใส่บุคคลหนึ่งในนั้นแล้วตีเขาที่หน้าผากพอดี จากนั้นบุคคลนั้นล้มลงกับพื้นและเป็นลมไปซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้า และแส้ฟาดไปในกลางอากาศ ได้เกิดเสียง "เพี๊ยะๆ" ออกมา จากนั้นแส้ก็เฆี่ยนตีองครักษ์หลายสิบคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ยืนเรียงกันเป็นแถว แต่ก็ถูกเฆี่ยนตีทั้งหมด"ข้าจะดูว่าใครจะกล้าขนมัน!" ซ่งซีซียืนอยู่หน้ากล่อ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง องค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกหมั่นไส้จากก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้านี้คล้ายกับหน้าแม่ของนางไม่มีผิดเลยล้วนเป็นผู้หญิต่ำช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งซีซียังยิ้มกว้าง "เรามาตรวจบัญชีอย่างเปิดเผย ไม่ทราบว่าทำไมท่านป้าต้องใช้กำลังเช่นนี้ หรือว่าในนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆ หรือ รอตรวจสอบบัญชีที่จวนโหวผิงหยางแล้ว เสด็จแม่ ท่านต้องจัดงานเลี้ยงสักหน่อย เพื่อเชิญชวนทุกคนมาพิจารณาเรื่องนี้"เจียอี้ตะเบ็ง "เจ้าเอาแต่พูดพล่อยๆ จะมีเรื่องแอบแฝงอะไร ที่ผ่านมาไม่ได้ส่งสมุดบัญชีให้สนมฮุ่ยไทเฟยดูหรือไง""ช่างบังเอิญจริงๆ สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปที่พระราชวังแตกต่างไปจากสมุดบัญชีที่ข้าพบในร้านจินโดยสิ้นเชิง" ซ่งซีซีมองดูเจียอี้ และเสียงของนางก็เข้มงวด "สมุดบัญชีที่เจ้าส่งไปนั้นขาดทุน แต่สมุดบัญชีที่ร้านจินกลับทำกำไร เจ้าว่ามันไม่มีอะไรแอบแฝงหรือ?"เจียอี้รู้สึกหงุดหงิดมาก "เจ้าส่งเสียงดังโวยวายทำไม ที่นี่คือจวนองค์หญิง มิใช่จวนจวนเสนาบดีกั๋วกงหรือจวนอ๋องของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเต็มไปด้วยความเย็นชา "จวนองค์หญิงแล้วทำไม หรือว่าจวนองค์หญิงไม่ใช้เหตุผลเหรอ ในเมื่อเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่จำเ
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้