ฮองเฮามิได้ถูกขัดขวาง นางพุ่งเข้าไปภายในฉากไม้ไผ่ เพียงแค่เห็นพระโอรสที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะเป็นลมล้มลงในทันที โชคยังดีที่หมอหลวงอยู่ในที่นั้น นางกำนัลรีบพยุงนางออกไปด้านนอกเพื่อให้หมอหลวงช่วยรักษา หลังจากฟื้นคืนสติแล้ว ฮองเฮาทรงร่ำไห้อย่างสุดกำลัง เซี่ยหลูโม่พาผู้คนเข้าควบคุมสถานการณ์ และสกัดจับม้าบ้าคลั่งตัวนั้น พร้อมกับเริ่มต้นสืบสวนเหตุการณ์ทันที ภายในฉากไม้ไผ่ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคุกเข่าลง พระหัตถ์ที่สั่นระริกลูบใบหน้าขององค์ชายใหญ่ พระหัตถ์เปื้อนไปด้วยโลหิตสด หมอมหัศจรรย์ดันรีบปักเข็มลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสให้ฮ่องเต้หลบไปด้านข้าง เขาต้องทำให้เลือดที่ศีรษะหยุดไหลก่อน การฝังเข็มในครั้งนี้ เป็นเพียงการรั้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้เท่านั้น ยาเม็ดที่เตรียมมาไม่สามารถให้กลืนลงไปได้ เขาจึงยื่นขวดยาห้ามเลือดให้ซ่งซีซี “ให้เขากลืนลงไป ถ้าเขากลืนได้ จะช่วยชะลอการตกเลือดภายใน” หมอมหัศจรรย์ดันมองออกอย่างชัดเจนว่า ฝีเท้าม้าที่เหยียบลงไปย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำหนักของม้ารวมกับความเร็วเช่นนั้น แน่นอนว่าทำให้อวัยวะภายในเสียหายและตกเลือด หา
องค์ชายใหญ่ถูกส่งกลับไปยังตำหนักภายในอุทยานบุปผาหลวง บัดนี้ไม่มีหนทางที่จะส่งเขากลับวังหลวงได้ จำต้องทำการรักษา ณ ที่ใกล้ที่สุด ส่วนอาการของเขาเป็นเช่นไร ทุกคนเพียงแค่มองสีหน้าของหมอมหัศจรรย์ดัน ก็คาดเดาได้ไม่ยาก เกรงว่า… คงไม่รอดแล้ว เซี่ยหลูโม่สั่งให้กระจายผู้คนออกไป ส่วนผลการสอบสวน เขาไม่ได้เร่งส่งขึ้นไปทันที แต่สั่งให้คนสืบต่อไป บรรดาสนมทั้งหมดถูกส่งกลับคืนสู่พระตำหนัก รวมถึงฮองเฮาด้วย เดิมทีนางไม่ยอมกลับ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ยังคงยืนกรานจะอยู่ข้างกายโอรส แต่เมื่อเข้าไปพบองค์ชายใหญ่ นางกลับหมดสติไปอีกครั้ง จักรพรรดิ์ซูชิงจึงมีรับสั่งให้นำตัวนางกลับไป รุ่ยเอ่อร์ไม่ยอมจากไป ยืนกรานจะอยู่เคียงข้างองค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เซี่ยหลูโม่จึงอนุญาตให้เขาอยู่ต่อ คืนนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงประทับอยู่ ณ อุทยานบุปผาหลวง ไทเฮาเสด็จมาในยามเย็น ข่าวคราวที่เกิดขึ้นมีคนกราบทูลนางแล้ว ทันทีที่ไทเฮามาถึง นางก็รับช่วงต่อจากซ่งซีซี นางเป็นผู้คอยดูแลองค์ชายใหญ่ด้วยพระองค์เอง เมื่อนำองค์ชายใหญ่มายังตำหนักฉือหนิงในครั้งแรก ไทเฮาไม่มีทางเลือกอื่น ความเย็นชาของนางที่มีต่อองค์ชายใหญ่
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงถามเช่นนั้น หมอมหัศจรรย์ดันนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขากำลังครุ่นคิด กำลังไตร่ตรอง ในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงและเสียงหัวใจเต้นเงียบสงัดราวกับความตาย ความเงียบที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง กดดันจนแทบหายใจไม่ออก "มิอาจเรียกว่ามีหนทาง เพียงแต่เป็นการลองเสี่ยงดู" หมอมหัศจรรย์ดันเอ่ยขึ้นช้าๆ "อีกทั้งโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก ต่ำยิ่งนัก" "ท่านว่ามาเถิด" ไทเฮาร้อนพระทัยยิ่งกว่าจักรพรรดิ์ซูชิง "บอกมาให้ฟังเสีย" หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจหนักหน่วง "ถึงแม้จะเป็นหนทางที่เสี่ยง แต่ต้องให้เขาผ่านสามวันแรกไปได้เสียก่อน หากรอดพ้นสามวันนี้ ข้าจะนำเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ให้เขาแช่ร่างในน้ำยาต้มจากหญ้าต้วนซวี่ ซึ่งเติบโตในสำนักเทพโอสถทุกวัน อาจพอรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ว่าความหวังริบหรี่นัก เกรงว่าเขาอาจทนไม่ไหวจนไปไม่ถึงสำนักเทพโอสถ" ซ่งซีซีถามขึ้น "มิอาจเก็บหญ้าต้วนซวี่มาได้หรือ? บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จะเคลื่อนย้ายได้อย่างไร?" หมอมหัศจรรย์ดันส่ายหน้า "มิอาจ แม้ว่าหญ้าต้วนซวี่ที่แห้งแล้วจะยังมีสรรพคุณอยู่ แต่หากต้องการใช้ให้เกิดผลสูงสุด ต้องนำไปต้มภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเก็บเ
จักรพรรดิซูชิงทรงประกาศพระดำริแล้ว จึงทรงถามเซี่ยหลูโม่ถึงผลการสอบสวน พระองค์ทรงทราบดีว่า ม้าหนุ่มไม่อาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ม้าทุกตัวล้วนผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นเล็กน้อย แต่ก็เชื่องภายใต้การดูแลของเหล่าองค์ชาย เซี่ยหลูโม่มิได้ปิดบัง หยิบเอาดอกหนามเหล็กออกมาถวาย "มีผู้วางดอกหนามเหล็กนี้ไว้ใต้อานม้า หากไม่มีผู้ใดนั่งบนอาน ดอกหนามเหล็กเพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับม้าเล็กน้อย แต่เมื่อองค์ชายใหญ่ขึ้นขี่ ดอกหนามเหล็กที่แหลมคมจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ทำให้ม้าเจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง" สายพระเนตรของจักรพรรดิซูชิงฉายแววเย็นเยียบ ทรงหันไปมองซ่งซีซี "ก่อนหน้านี้มิได้ตรวจสอบเลยหรือ?" ซ่งซีซีรีบตอบ "กราบทูลฝ่าบาท ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งมีองครักษ์เฝ้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากองค์ชายทั้งสามพระองค์กับรุ่ยเอ่อร์แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ม้าเหล่านั้นได้ อีกทั้งตลอดทางมา พวกเขาต่างจูงม้าของตนเอง ไม่มีผู้ใดผ่านมือคนอื่น" ไทเฮาทรงมีพระพักตร์เคร่งขรึม "ข้าได้สั่งกำชับไปแล้ว องค์ชายทั้งสามพระองค์กับซ่งรุ่ย รวมถึงม้าทุกตัว จะต้องอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ เว้นเสียแต่ว่ามีคนของ
รุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง เซี่ยหลูโม่ประกาศข่าวการสวรรคตขององค์ชายใหญ่ ขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงและเศร้าสลด! เซี่ยหลูโม่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง "ฮ่องเต้ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางพระทัยอย่างหนัก จนล้มประชวร ในช่วงเวลานี้ กระหม่อมและอัครเสนาบดีมู่จะเป็นผู้ว่าราชการแทน พระราชพิธีพระศพขององค์ชายใหญ่ จะมอบให้กรมพิธีการและกรมวังเป็นผู้ดำเนินการร่วมกัน" เจ้ากรมฉีทรงตัวยืนไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังข่าวนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลดถึงขีดสุด ณ วังหลัง ข่าวการสวรรคตแพร่กระจายออกไป ฮองเฮาตั้งแต่ถูกส่งกลับมาวานนี้ ก็คอยร่ำไห้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เสมอ บัดนี้เมื่อทราบข่าวร้าย นางก็หมดสติไปอีกครั้ง โชคดีที่หมอหลวงคอยเฝ้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตลอด เมื่อหมอหลวงช่วยให้ฮองเฮาฟื้นขึ้นมา เสียงร่ำไห้อันโศกเศร้าก็ดังก้องไปทั่ววังหลัง ณ ตำหนักไฉหลิง เต๋อเฟยเมื่อได้ยินข่าวก็ทั้งดีใจและกังวล ดีใจ เพราะแผนการสำเร็จลุล่วง ไม่มีร่องรอย ไม่อาจสาวถึงนางและโอรสของนาง กังวล เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่องค์ชายรองกลับจากอุทยานบุปผาห
ในเรือนเหวินซี โคมไฟที่อยู่หน้าทางเดินส่องภาพกระดาษตัดบนโครงตาข่ายหน้าต่าง และสะท้อนมันลงบนผนังบ้านราวกับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้นซ่งซีซีนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง ประสานมือไว้ข้างหน้า ร่างเพรียวบางห่อด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ นางมองไปที่คนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสามีที่เพิ่งต่างงานของนาง ซึ่งนางรอคอยมานานหนึ่งปีชุดเกราะทหารที่ดูค่อนข้างเก่าของจ้านเป่ยว่างยังไม่ได้ถอด และเขาดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีความรู้สึกขอโทษแฝงไว้ "ซีซี ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้สมรสกันแล้ว ยี่ฝางจะต้องแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน"ซ่งซีซีประสานมือไว้หน้าลำตัว ดวงตาของนางมืดมัว นางถามอย่างสงสัย "ไทโฮ่วเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพยี่ฝางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในใต้หล้า นางยอมที่จะเป็นอนุภรรยาหรือ? "ดวงตาที่หนักอึ้งของจ้านเป่ยว่างฉายแววความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่ ไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาเท่าเทียม ไม่ต่างจากเจ้า"ซ่งซีซียังคงนิ่งเฉยและพูดว่า "ท่านแม่ทัพรู้ดีว่าภรรยาเท่าเทียมแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี"จ้านเป่ยว่างขมวดคิ้ว "จะอนุอะไรกัน นางกับข้ามีใจให้กันในสนามรบและตกหลุมรักกัน อีกอย่างเ
จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่
รุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง เซี่ยหลูโม่ประกาศข่าวการสวรรคตขององค์ชายใหญ่ ขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงและเศร้าสลด! เซี่ยหลูโม่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง "ฮ่องเต้ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางพระทัยอย่างหนัก จนล้มประชวร ในช่วงเวลานี้ กระหม่อมและอัครเสนาบดีมู่จะเป็นผู้ว่าราชการแทน พระราชพิธีพระศพขององค์ชายใหญ่ จะมอบให้กรมพิธีการและกรมวังเป็นผู้ดำเนินการร่วมกัน" เจ้ากรมฉีทรงตัวยืนไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังข่าวนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลดถึงขีดสุด ณ วังหลัง ข่าวการสวรรคตแพร่กระจายออกไป ฮองเฮาตั้งแต่ถูกส่งกลับมาวานนี้ ก็คอยร่ำไห้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เสมอ บัดนี้เมื่อทราบข่าวร้าย นางก็หมดสติไปอีกครั้ง โชคดีที่หมอหลวงคอยเฝ้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตลอด เมื่อหมอหลวงช่วยให้ฮองเฮาฟื้นขึ้นมา เสียงร่ำไห้อันโศกเศร้าก็ดังก้องไปทั่ววังหลัง ณ ตำหนักไฉหลิง เต๋อเฟยเมื่อได้ยินข่าวก็ทั้งดีใจและกังวล ดีใจ เพราะแผนการสำเร็จลุล่วง ไม่มีร่องรอย ไม่อาจสาวถึงนางและโอรสของนาง กังวล เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่องค์ชายรองกลับจากอุทยานบุปผาห
จักรพรรดิซูชิงทรงประกาศพระดำริแล้ว จึงทรงถามเซี่ยหลูโม่ถึงผลการสอบสวน พระองค์ทรงทราบดีว่า ม้าหนุ่มไม่อาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ม้าทุกตัวล้วนผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นเล็กน้อย แต่ก็เชื่องภายใต้การดูแลของเหล่าองค์ชาย เซี่ยหลูโม่มิได้ปิดบัง หยิบเอาดอกหนามเหล็กออกมาถวาย "มีผู้วางดอกหนามเหล็กนี้ไว้ใต้อานม้า หากไม่มีผู้ใดนั่งบนอาน ดอกหนามเหล็กเพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับม้าเล็กน้อย แต่เมื่อองค์ชายใหญ่ขึ้นขี่ ดอกหนามเหล็กที่แหลมคมจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ทำให้ม้าเจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง" สายพระเนตรของจักรพรรดิซูชิงฉายแววเย็นเยียบ ทรงหันไปมองซ่งซีซี "ก่อนหน้านี้มิได้ตรวจสอบเลยหรือ?" ซ่งซีซีรีบตอบ "กราบทูลฝ่าบาท ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งมีองครักษ์เฝ้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากองค์ชายทั้งสามพระองค์กับรุ่ยเอ่อร์แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ม้าเหล่านั้นได้ อีกทั้งตลอดทางมา พวกเขาต่างจูงม้าของตนเอง ไม่มีผู้ใดผ่านมือคนอื่น" ไทเฮาทรงมีพระพักตร์เคร่งขรึม "ข้าได้สั่งกำชับไปแล้ว องค์ชายทั้งสามพระองค์กับซ่งรุ่ย รวมถึงม้าทุกตัว จะต้องอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ เว้นเสียแต่ว่ามีคนของ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงถามเช่นนั้น หมอมหัศจรรย์ดันนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขากำลังครุ่นคิด กำลังไตร่ตรอง ในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงและเสียงหัวใจเต้นเงียบสงัดราวกับความตาย ความเงียบที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง กดดันจนแทบหายใจไม่ออก "มิอาจเรียกว่ามีหนทาง เพียงแต่เป็นการลองเสี่ยงดู" หมอมหัศจรรย์ดันเอ่ยขึ้นช้าๆ "อีกทั้งโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก ต่ำยิ่งนัก" "ท่านว่ามาเถิด" ไทเฮาร้อนพระทัยยิ่งกว่าจักรพรรดิ์ซูชิง "บอกมาให้ฟังเสีย" หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจหนักหน่วง "ถึงแม้จะเป็นหนทางที่เสี่ยง แต่ต้องให้เขาผ่านสามวันแรกไปได้เสียก่อน หากรอดพ้นสามวันนี้ ข้าจะนำเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ให้เขาแช่ร่างในน้ำยาต้มจากหญ้าต้วนซวี่ ซึ่งเติบโตในสำนักเทพโอสถทุกวัน อาจพอรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ว่าความหวังริบหรี่นัก เกรงว่าเขาอาจทนไม่ไหวจนไปไม่ถึงสำนักเทพโอสถ" ซ่งซีซีถามขึ้น "มิอาจเก็บหญ้าต้วนซวี่มาได้หรือ? บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จะเคลื่อนย้ายได้อย่างไร?" หมอมหัศจรรย์ดันส่ายหน้า "มิอาจ แม้ว่าหญ้าต้วนซวี่ที่แห้งแล้วจะยังมีสรรพคุณอยู่ แต่หากต้องการใช้ให้เกิดผลสูงสุด ต้องนำไปต้มภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเก็บเ
องค์ชายใหญ่ถูกส่งกลับไปยังตำหนักภายในอุทยานบุปผาหลวง บัดนี้ไม่มีหนทางที่จะส่งเขากลับวังหลวงได้ จำต้องทำการรักษา ณ ที่ใกล้ที่สุด ส่วนอาการของเขาเป็นเช่นไร ทุกคนเพียงแค่มองสีหน้าของหมอมหัศจรรย์ดัน ก็คาดเดาได้ไม่ยาก เกรงว่า… คงไม่รอดแล้ว เซี่ยหลูโม่สั่งให้กระจายผู้คนออกไป ส่วนผลการสอบสวน เขาไม่ได้เร่งส่งขึ้นไปทันที แต่สั่งให้คนสืบต่อไป บรรดาสนมทั้งหมดถูกส่งกลับคืนสู่พระตำหนัก รวมถึงฮองเฮาด้วย เดิมทีนางไม่ยอมกลับ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ยังคงยืนกรานจะอยู่ข้างกายโอรส แต่เมื่อเข้าไปพบองค์ชายใหญ่ นางกลับหมดสติไปอีกครั้ง จักรพรรดิ์ซูชิงจึงมีรับสั่งให้นำตัวนางกลับไป รุ่ยเอ่อร์ไม่ยอมจากไป ยืนกรานจะอยู่เคียงข้างองค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เซี่ยหลูโม่จึงอนุญาตให้เขาอยู่ต่อ คืนนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงประทับอยู่ ณ อุทยานบุปผาหลวง ไทเฮาเสด็จมาในยามเย็น ข่าวคราวที่เกิดขึ้นมีคนกราบทูลนางแล้ว ทันทีที่ไทเฮามาถึง นางก็รับช่วงต่อจากซ่งซีซี นางเป็นผู้คอยดูแลองค์ชายใหญ่ด้วยพระองค์เอง เมื่อนำองค์ชายใหญ่มายังตำหนักฉือหนิงในครั้งแรก ไทเฮาไม่มีทางเลือกอื่น ความเย็นชาของนางที่มีต่อองค์ชายใหญ่
ฮองเฮามิได้ถูกขัดขวาง นางพุ่งเข้าไปภายในฉากไม้ไผ่ เพียงแค่เห็นพระโอรสที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะเป็นลมล้มลงในทันที โชคยังดีที่หมอหลวงอยู่ในที่นั้น นางกำนัลรีบพยุงนางออกไปด้านนอกเพื่อให้หมอหลวงช่วยรักษา หลังจากฟื้นคืนสติแล้ว ฮองเฮาทรงร่ำไห้อย่างสุดกำลัง เซี่ยหลูโม่พาผู้คนเข้าควบคุมสถานการณ์ และสกัดจับม้าบ้าคลั่งตัวนั้น พร้อมกับเริ่มต้นสืบสวนเหตุการณ์ทันที ภายในฉากไม้ไผ่ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคุกเข่าลง พระหัตถ์ที่สั่นระริกลูบใบหน้าขององค์ชายใหญ่ พระหัตถ์เปื้อนไปด้วยโลหิตสด หมอมหัศจรรย์ดันรีบปักเข็มลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสให้ฮ่องเต้หลบไปด้านข้าง เขาต้องทำให้เลือดที่ศีรษะหยุดไหลก่อน การฝังเข็มในครั้งนี้ เป็นเพียงการรั้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้เท่านั้น ยาเม็ดที่เตรียมมาไม่สามารถให้กลืนลงไปได้ เขาจึงยื่นขวดยาห้ามเลือดให้ซ่งซีซี “ให้เขากลืนลงไป ถ้าเขากลืนได้ จะช่วยชะลอการตกเลือดภายใน” หมอมหัศจรรย์ดันมองออกอย่างชัดเจนว่า ฝีเท้าม้าที่เหยียบลงไปย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำหนักของม้ารวมกับความเร็วเช่นนั้น แน่นอนว่าทำให้อวัยวะภายในเสียหายและตกเลือด หา
ฝุ่นทรายเต็มปากซ่งซีซี ลานทรายนี้ย่อมเทียบไม่ได้กับทุ่งหญ้า นอกจากฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายเต็มฟ้าแล้ว แทบไม่มีความน่าดูชมใดๆ เลย แม้ว่านางจะยืนอยู่ในสนาม ก็ยังไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าใครอยู่ในอันดับแรก แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเฉินเจา บุตรชายคนเล็กของแม่ทัพเฉิน เมื่อตอนที่ม้ากระโจนข้ามรั้ว นางจึงมั่นใจว่าเป็นเฉินเจาจริงๆ เพราะขณะนี้ ม้าของเขานำหน้าม้าตัวอื่นไปไกลถึงหนึ่งช่วงตัวแล้ว และยังคงขยายระยะห่างออกไปเรื่อยๆ การแข่งขันขี่ม้าในวันนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการ เพียงแค่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมบรรดาองค์ชาย การได้ที่หนึ่งก็ไม่มีความหมายอะไร อีกทั้งหากแสดงฝีมือดีเกินไป ก็จะยิ่งทำให้องค์ชายเหล่านั้นรู้สึกกดดันมากขึ้น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงมิได้เร่งฝีเท้าตามหลังไป แต่กระนั้น ความเร็วที่พวกเขาใช้ก็ไม่นับว่าช้า เพียงแต่ยังมิใช่ความเร็วที่ดีที่สุดของพวกเขาเท่านั้น เมื่อเข้าสู่รอบที่สาม รุ่ยเอ่อร์และองค์ชายทั้งสามพระองค์ก็เตรียมตัวขึ้นม้ารออยู่ในเขตรอแข่งขัน เมื่อการแข่งขันในสนามสิ้นสุดลง พวกเขาก็สามารถทะยานเข้าสู่สนามได้ องค์ชายสามกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว เด็กชายตัว
ซ่งซีซีในวันนี้ยุ่งวุ่นวายเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม ต่างสามารถมองเห็นเงาของนางที่ก้าวเดินเร่งรีบไปมา ตอนนี้นางพาผู้คนมาปรากฏตัวที่ลานแข่งม้าอีกครั้ง กำลังจัดวางกำลังป้องกันโดยรอบ การแข่งขันขี่ม้ากำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ขุนนางฝ่ายบู๊และบุตรหลานของตระกูลขุนนางจำนวนมากต่างจูงม้าของตนยืนรออยู่หน้าลาน การแข่งขันขี่ม้าในครั้งนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก เพียงแค่ควบม้าวิ่งรอบสนามสามรอบ ในแต่ละรอบจะมีรั้วสูงหกสิบหกเซ็นติเมตร ผู้เข้าแข่งขันจะต้องบังคับม้ากระโดดข้ามรั้วเหล่านั้น โดยต้องไม่ทำให้รั้วล้มลง และผู้ที่เข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ ที่จริงแล้วสิ่งนี้แทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันขี่ม้า เพราะอุปสรรคที่สูงเพียงหกสิบหกเซ็นติเมตรนั้น สำหรับม้าศึกที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี และผู้ขี่ที่มีฝีมือชำนาญแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม การกำหนดความสูงของรั้วไว้ที่สองฉื่อนั้น ก็เพื่อองค์ชายทั้งสามพระองค์ หรือให้พูดให้ถูกก็คือเพื่อองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง เพราะองค์ชายสามอาจไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ต่อให้เข้าร่วม ซ่งซีซีก็จะจัดคนให้คอยจูงม้าพระองค์ ตามตารางการแข่งขัน องค์ชา
ในโรงม้า ม้าทุกตัวได้รับการตรวจสอบและให้อาหารเรียบร้อยแล้ว เด็กทั้งสี่คนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ขณะที่ลูบไล้ม้าของตนไปด้วย พลางพูดคุยถึงเรื่องราวอันคึกคักของวันนี้ องค์ชายสามดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่เสด็จแม่สูญเสียความโปรดปราน พระพักตร์ของพระองค์ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มสดใสร่าเริง วันนี้ ซูเฟยย่อมเสด็จมาเช่นกัน ไม่ว่าในตำหนักฝ่ายในจะทรงถูกปฏิบัติอย่างไร แต่ต่อหน้าผู้อื่น นางยังคงเป็นเสด็จแม่ขององค์ชายสาม เป็นพระนางซูเฟยผู้ทรงเกียรติ ส่วนฝูเจาอี๋นั้น ด้วยพระวรกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดี จึงไม่ได้เสด็จมาด้วย พวกเขาจูงม้าออกไปตั้งใจจะเดินเล่นสักหน่อย เดิมทีองค์ชายสามไม่สามารถปีนขึ้นหลังม้าได้เอง ทว่าเมื่อทดลองดูครั้งนี้ กลับปีนขึ้นไปได้สำเร็จ ทำเอาพระองค์ทรงปลื้มปีติยิ่งนัก พระองค์ทรงร้องเรียกเสียงดัง “เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง พี่รุ่ยเอ่อร์ ดูข้าสิ เร็วเข้า ข้าขึ้นมาเองได้แล้ว!” ทุกคนเห็นท่าทีภาคภูมิใจของพระองค์แล้วต่างหัวเราะจนตัวงอ พร้อมกันเอ่ยชมว่าเก่งยิ่งนัก องค์ชายรองกำแขนเสื้อพลางหัวเราะแล้วตรัสว่า “ก็เพราะม้าของเจ้าเตี้ยกว่าน่ะสิ ถ้าเจ้าขึ้นหลังม้าของพวกเราทุ
รุ่งเช้าวันใหม่ องค์ชายใหญ่และรุ่ยเอ่อร์ลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความกระปรี้กระเปร่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตรงกันข้าม องค์ชายรองกลับซูบเซา อิดโรย รอยคล้ำใต้ตาชัดเจน เมื่อคืนเขาฝันร้ายไม่หยุด ไม่ใช่ฝันว่าตัวเองถูกตัดหัว เลือดสาดกระเซ็น ก็เป็นฝันว่าพระเชษฐาของเขาถูกตัดขาทั้งสองข้าง ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสะพรึงกลัว แม้แต่คำพูดของขันทีที่ถูกแขวนคอเมื่อคืน ก็ยังคงดังก้องในความฝันของเขาซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะในฝันหรือตอนตื่น เขาก็ยังคงหวาดกลัวไปทั้งร่าง จนตัวสั่นไม่หยุด พระสนมเต๋อเฟยพาชิงหลันมาแต่งตัวให้เขาด้วยตนเอง พลางกระซิบเตือนสติว่า วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง และปลอบใจให้คลายความวิตกกังวล ให้เขาไม่ต้องห่วง ไม่ได้จะเอาชีวิตองค์ชายใหญ่เมื่อเห็นว่าเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางจึงเริ่มกล่าวถึงข้อดีของอำนาจ ว่าหากมีอำนาจอยู่ในมือ เขาจะสามารถปกครองแคว้นซางให้สงบสุขรุ่งเรือง กลายเป็นจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า พระสนมเต๋อเฟยย่อมรู้จักพระโอรสของตนดีที่สุด เขามิใช่คนไร้ความทะเยอทะยาน เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้ ไทเฮาตั้งใจให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน ทั้