เมื่อพระสนมซูเฟยย้ายตำหนัก แต่ละตำหนักต่างส่งของขวัญแสดงความยินดี แม้แต่เหล่าขุนนางและพระญาติวงศ์ก็ส่งของขวัญสำหรับการย้ายตำหนักเช่นกันสำหรับสิ่งของที่ต้องส่งไปนั้น ในจวนของอ๋องเป่ยหมิง ผู้ที่ตัดสินใจก็คืออาจารย์หยูและหลู่จ่งกว่านทั้งสองคนค้นหาสิ่งของในคลังอยู่นาน แต่ก็ไม่พบสิ่งที่เหมาะสม บางอย่างก็ดูจะมีค่ามากเกินไป บางอย่างก็เป็นเพียงเครื่องประดับจากทองคำและเงินธรรมดาๆ พวกขวดหยกหรือถ้วยเงินก็ให้ความรู้สึกเล็กน้อยไปส่วนของชิ้นใหญ่อย่างต้นปะการังหรือฉากกั้น อาจารย์หยูก็ไม่อยากนำออกมา ต้นปะการังที่มีอยู่ในจวนนั้นหายากยิ่ง และต้นที่มีอยู่ก็เป็นของขวัญจากสำนักว่านจงเหมินที่มอบให้ในงานสมรสของพระชายาสุดท้าย ทั้งสองจึงหันไปมองสิ่งของที่มีอยู่มากที่สุดในคลัง นั่นก็คือภาพเขียนดอกเหมยของเสิ่นชิงเหอการมอบภาพเขียนเหล่านี้ออกไปนับว่ามีเกียรติอย่างยิ่ง เพราะมีมูลค่ามหาศาล แต่ในจวนอ๋องกลับมีมากมาย อีกทั้งหากไม่พอ ข้างหน้าก็ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดอกเหมยกำลังจะเบ่งบาน เพียงให้เสิ่นชิงเหอเขียนเพิ่มก็พออย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการให้เกียรติเสิ่นชิงเหอ ทั้งสองจึงไปขอคำอนุญาตจากเขาก่อน ซึ่งเสิ่
สวนของตำหนักฮุ่ยอี๋นั้นกว้างขวางไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับสวนหลวงแล้ว ย่อมไม่อาจเทียบกันได้หากเดินไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ชม หรือหยุดยืนชมดอกไม้บ้างระหว่างทาง ก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้แต่ซ่งซีซีคุ้นชินกับการเดินเร็ว ดอกไม้ต่างๆ เพียงมองผ่านตาไปก็เพียงพอแล้ว สำหรับนางแล้ว ดอกไม้เหล่านี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายนางเคยเห็นทิวทัศน์ที่งดงามเหนือคำบรรยาย ทั้งดอกเหมยที่ท้าลมหนาวบนภูเขา ดอกกุหลาบพันปีบนยอดเขาสูง ดอกท้ออันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ และไร่ชาดอกเขียวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ล้วนเป็นความงดงามที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริงพอมองดอกโบตั๋นที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประณีตในกระถางดินที่นี่ กลับทำให้นางรู้สึกเฉยๆ จนยากจะเกิดความสนใจดังนั้น หลังจากเดินวนจนรอบแล้ว บางคนยังไม่ทันได้จิบน้ำชาเสียด้วยซ้ำ และในขณะที่ถงเจี๋ยหยวีกำลังเริ่มพูดคุยเรื่องโรงงาน พวกนางก็กลับมาถึงท้องพระโรงของตำหนักฮุ่ยอี๋เสียแล้วถงเจี๋ยหยวีหัวเราะเบาๆ พร้อมกล่าว "เชิญเข้าไปนั่งพักกันเถอะเจ้าค่ะ เพื่อแสดงความยินดีกับพระสนมซูเฟย"ซ่งซีซีตอบกลับไป "ข้ามีธุระ ต้องขอตัวก่อน""พระชายา!" ถงเจี๋ยหยวีรีบร้อนร้องเรียกนางไว้ซ่งซีซีหั
จักรพรรดิ์ซูชิงเวลานี้ หากมีการปรึกษาเรื่องการทหาร มักจะเรียกซ่งซีซีไปยังห้องทรงพระอักษร และอนุญาตให้นางเข้าร่วมอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์การรบ ตำแหน่งในที่ประชุมห้องทรงพระอักษรนี้ นางได้รับมาจากการนำกองทัพซวนเจียเอาชนะกองกบฏด้วยเลือดและหยาดเหงื่อ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสามารถของนาง ข้อมูลทางการทหารนั้นได้มาจากรายงานของชายแดนเฉิงหลิงและหนานเจียง เหล่าขุนนางจะวิเคราะห์สถานการณ์ต่อ และเตรียมการสนับสนุนแนวหลัง รวมถึงการวางแผนยุทธวิธี ถึงแม้จะมีแผนยุทธวิธี จักรพรรดิ์ซูชิงก็จะไม่ออกพระราชโองการโดยตรง เพียงแต่ให้คำแนะนำเท่านั้น จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเชื่อมั่นในตัวเซี่ยหลูโม่และตระกูลเซียว แม้ความไว้วางใจนี้จะจำกัดอยู่เพียงในเรื่องการนำทัพก็ตาม ในขณะนี้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ทหารจำเป็นต้องใช้เสื้อผ้ากันหนาวและอาวุธเพิ่มเติม ส่วนใหญ่ในที่ประชุมจึงหารือกันเรื่องการจัดสรรสิ่งของเหล่านี้ สถานการณ์ของซูลันซือที่ชายแดนเฉิงหลิงกับวิกเตอร์มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว วิกเตอร์ไม่มีทางถอยอีกแล้ว แต่ซูลันซือยังมีฮ่องเต้ซีจิงเป็นผู้สนับสนุน ทว่าฮ่องเต้ซีจิงในเวล
ซ่งซีซีรู้อยู่ก่อนแล้วว่า จ้านเป่ยว่างสูญเสียแขนข้างหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตท่านลุงสาม เรื่องนี้ท่านป้าสามเขียนมาเล่าในจดหมาย ไม่ได้พูดถึงอย่างเจาะจง เพียงเล่าเรื่องสถานการณ์ของคนในตระกูลเซียวและการศึกครั้งนี้เท่านั้น หลังจากซ่งซีซีอ่านจดหมาย นางเขียนตอบกลับไปโดยไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ในการต่อสู้ในสนามรบ บางครั้งก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครช่วยใคร นางย่อมหวังให้ทหารทุกนายที่ออกไปรบกลับมาอย่างปลอดภัยครบทุกส่วนของร่างกาย แต่สงครามนั้นโหดร้ายเสมอ มักมีทั้งการหลั่งเลือดและการเสียสละ ซ่งซีซีรับรู้เรื่องนี้เพียงผ่านๆ แต่จักรพรรดิ์ซูชิงเพิ่งทราบจากรายงานชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิงเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าจ้านเป่ยว่างสู้รบอย่างกล้าหาญ ช่วยชีวิตผู้อื่นและเสียแขนไป พร้อมทั้งสร้างผลงาน ก่อนหน้านี้ รายงานที่ส่งกลับมาด้วยม้าเร็วมีแต่เรื่องสถานการณ์การรบ ไม่มีการระบุถึงใครเป็นผู้สร้างผลงาน มีเพียงในรายงานชัยชนะเท่านั้นที่จะมีรายชื่อผู้มีผลงานแนบมาด้วย จักรพรรดิ์ซูชิงทรงยินดีมาก และในระหว่างการประชุมเรื่องการทหาร พระองค์ทรงชมเชยจ้านเป่ยว่างเป็นพิเศษ ราวกับต้องการยืนยันว่าการที่ทรงแต่งตั้งเขาในอดีตไม่ใช่กา
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปประมาณสิบวัน ซ่งซีซีกลับไปพูดคุยกับอาจารย์หยูและศิษย์พี่ใหญ่เพื่อวิเคราะห์ แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ ตอนแรกนางคิดว่าฝ่าบาทต้องการสืบเรื่องของสถาบันว่านซงเหมิน เพราะในศึกครั้งนี้ อาจารย์นางนอกจากจะปรับปรุงปืนตาหกนัดและปืนใหญ่ชุดแดงแล้ว ยังสามารถรวบรวมกำลังจากสำนักศิลปะการต่อสู้หลายแห่งให้เข้าร่วมการป้องกันเมืองหลวง ด้วยนิสัยช่างสงสัยของพระองค์ การระแวงเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต่อมานางคิดว่าคงไม่ใช่ เพราะเรื่องภูเขาเหมยชาน พระองค์ไม่ได้ต้องการฟังเรื่องของอาจารย์ แต่สนใจเพียงเรื่องเล่าสนุกๆ สองสามวันที่ผ่านมา พระองค์ชอบฟังเรื่องที่นางก่อเรื่องและทะเลาะวิวาทบนภูเขาเหมยชาน แล้วอาจารย์ต้องเดินทางไปขอโทษแทนนาง ทุกครั้งที่นางเล่า พระองค์จะทรงพระสรวลจนตัวโยนด้วยความสนุกสนาน ซ่งซีซีไม่เข้าใจว่ามันน่าขำตรงไหน เพราะทุกครั้งที่นางก่อเรื่อง นางต้องกลับไปถูกอาจารย์อาดุด่า กักบริเวณ ถูกลงโทษให้แบกโอ่ง ถูกตีมือ นั่งคุกเข่าบนตะปู หรือแม้แต่ถูกลงโทษให้นั่งยองๆ เหนือธูปที่กำลังไหม้จนกางเกงทะลุ นางคิดว่าเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ พระองค์คงจะมองว่าไม่น
แต่แน่นอนว่านางไม่อาจกล่าวเรื่องนี้กับอู๋ต้าปั้นได้ หลังจากกล่าวคำขอบคุณ นางก็จากไป หลังจากนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็ยังคงเรียกนางมาพูดคุยหลังประชุมเสมอ บางครั้งครึ่งชั่วโมง บางครั้งก็นานถึงหนึ่งชั่วโมง ทีละน้อย ซ่งซีซีก็เริ่มคุ้นชินและสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างสงบ ในฐานะขุนนางคนหนึ่ง หากฝ่าบาทต้องการให้นางแสร้งทำตัวเป็นเพื่อนที่เหมาะสม นางก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเวลาช่วงพักกลางวันหนึ่งชั่วโมงที่ฝ่าบาทควรจะใช้พักผ่อน บัดนี้กลับถูกใช้ไปกับการสนทนาเรื่อยเปื่อยโดยไร้ประโยชน์ ในช่วงเวลานี้ เต๋อเฟยมาส่งน้ำแกงหลายครั้ง พระสนมซูเฟยก็มาหลายครั้ง เช่นเดียวกับกงเฟย และแม้แต่ถงเจี๋ยหยวีก็ยังมา ห้องทรงพระอักษรไม่อนุญาตให้พระสนมเข้าไป ดังนั้นแม้พวกนางจะมาส่งน้ำแกงด้วยตัวเอง ก็ทำได้เพียงมอบให้อู๋ต้าปั้นที่หน้าท้องพระโรง แล้วให้อู๋ต้าปั้นนำเข้าไป แต่ถ้าหากพาลูกชายหรือลูกสาวมาด้วย ก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทรงพระอักษรได้ครู่หนึ่ง เพราะรู้ว่าซ่งซีซีอยู่ที่นี่ น้ำแกงที่ส่งมาจึงมักมีส่วนของซ่งซีซีรวมอยู่ด้วย บางครั้งขณะดื่มน้ำแกง ซ่งซีซีก็อดคิดไม่ได้ว่า หากมีใครคิดลอ
ทันทีที่ซ่งซีซีออกไป รอยยิ้มของจักรพรรดิ์ซูชิงก็เลือนหาย พระองค์ดื่มน้ำแกงเพียงสองสามคำ แล้วทรงอนุญาตให้เต๋อเฟยและองค์ชายรองกลับไป เต๋อเฟยไม่ได้พูดอะไร นางเพียงสั่งให้คนเก็บของแล้วจูงมือองค์ชายรองออกไป อู๋ต้าปั้นปิดประตูพระตำหนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาท ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาประชุม กระหม่อมขอทูลเชิญให้ฝ่าบาทพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมงเพคะ" แต่เดิม พระองค์มักจะทรงพักผ่อนเล็กน้อยในช่วงกลางวัน แต่หลังจากที่ทรงเรียกซ่งซีซีมาสนทนา พระองค์ก็ไม่ได้พักกลางวันอีกเลย จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนวดขมับและตรัสว่า "ก็ได้ ข้าปวดหัวนิดหน่อย" "หรือจะให้กระหม่อมไปเชิญหมอหลวงมาตรวจพระชีพจรพ่ะย่ะค่ะ?" "ไม่ต้อง ข้าเบื่อพวกหมอหลวงฝีมือแย่ แค่ปวดหัวนิดหน่อยก็รักษาไม่หาย ยาก็กินตั้งเยอะ" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสก่อนจะเสด็จไปยังห้องด้านใน ทรงเอนกายลงทั้งที่ยังสวมฉลองพระองค์อยู่ ความปวดหัวกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น อู๋ต้าปั้นคลุมผ้าห่มให้พระองค์ แต่จักรพรรดิ์ซูชิงพลันลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าเหม่อลอย "ช่วงนี้ข้าเป็นอะไรไปนะ?" อู๋ต้าปั้นกล่าวปลอบใจ "ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องศึกสงครามมากเกินไป ทำให้พระทัยและพระวรกายอ
การแกล้งป่วยนั้นต้องมีทักษะ ไม่อาจอ้างว่าเพิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรหลังเหตุการณ์น่าอึดอัด แล้วจู่ๆ ก็ป่วยจนไม่สามารถทำงานได้และต้องพักรักษาตัวที่จวนทันที วิธีเช่นนี้เท่ากับทำลายความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเจ้านายและขุนนาง ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความกระอักกระอ่วนในใจ สำหรับผู้มีอำนาจสูงเช่นฝ่าบาท อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับคู่สามีภรรยาที่เป็นขุนนางอย่างพวกเขา การกระทำเช่นนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติ พวกเขาจึงปรึกษากันและวางแผนว่า พรุ่งนี้จะกลับไปทำงานที่จวนกองกำลังเมืองหลวงตามปกติ พาคนออกไปนอกเมืองเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และอีกสองสามวันค่อยจัดฉากให้เกิด "อุบัติเหตุเล็กน้อย" เนื่องจากก่อนหน้านี้โจรผู้ร้ายอาละวาดไปทั่ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อหลบภัย แต่เพราะไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนจึงไม่สามารถเข้าเมืองได้ และต้องติดค้างอยู่ชานเมือง บริเวณชานเมืองมีขุนนางผู้มั่งคั่งและเศรษฐีที่เลียนแบบการแจกจ่ายอาหารของจีซูเซิ่นมากขึ้น ทำให้ผู้คนไม่อยากจากไป เพราะอย่างน้อยก็มีอาหารและเครื่องดื่ม หากเจ็บป่วยก็มีคนแจกยา หากหนาวก็มีคนมอบผ้าห่ม แม้จะลำบากบ้าง แต่ก็ดีกว่า
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า