ฮูหยินเสิ่น ก็คือกู้ชิงหวู่ในวันนั้น หลังจากที่นางอยู่ไฟเสร็จแล้ว ทั้งร่างดูเปล่งปลั่งสดใส ไร้ร่องรอยความอวบอ้วน ร่างบางยังคงงามสง่าดุจดรุณี ที่นี่ลมทรายแห่งหนใต้พัดแรง ฤดูหนาวเมื่อปีก่อนก็เย็นเยือกเป็นพิเศษ แต่นางกลับดูอิ่มเอิบจนผิวพรรณขาวนวลราวหยก งดงามล้ำเกินบรรยาย ในจวนแห่งนี้ ของดีใด ๆ ล้วนมุ่งตรงให้นางทั้งสิ้น ทั้งนมอูฐตุ๋นรังนกทุกวัน อาบน้ำนมแพะเป็นกิจวัตร ตั้งแต่ไม่มีเงินจากเมืองหลวงส่งมา นางก็ไม่เคยประหยัดเรื่องพวกนี้เลยร่างที่บำรุงเช่นนี้ อย่างน้อยในสายตาของหวังเบียว ก็ถือว่านางช่างสูงค่าล้ำเลิศ มือเล็กนุ่มนิ่มราวไร้กระดูกของนางที่เขาได้สัมผัส ทำให้หัวใจของเขาหลอมละลาย เขาเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะชีวิตนี้เคยผ่านหญิงงามมามาก ไม่ว่าจะงามล้ำลือชื่อ หรืออ่อนหวานสุภาพ แต่กลับเป็นชิงหวู่ ผู้มีเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ตราตรึงใจเขาอย่างลึกล้ำ แม้ฝางเทียนสวีจะเตือนว่าให้อยู่ห่างนางไว้แต่หวังเบียวได้ยินแล้ว กลับไม่ใส่ใจคำพูดพวกนั้น แถมยังจะก่นด่าคนอีก เพราะกู้ชิงหวู่เคยบอกเล่าเรื่องราวของตนให้เขาฟังแล้ว นางเล่าว่าแรกเริ่มเดิมที เพียงแค่ต้องการเอาชีวิตรอด ไม่ได้คิ
เมื่อได้ยินเขาตอบตกลง กู้ชิงหวู่จึงหยุดร้องไห้ แต่ปลายนิ้วยังคงกำเสื้อของเขาไว้แน่นและซบในอ้อมกอดของเขา บนใบหน้าของนางยังคงมีคราบน้ำตา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและความเกลียดชัง นางเกลียดชายแก่คนนี้อย่างที่สุด และยังเกลียดทุกคนที่เคยใช้ประโยชน์จากความงามและร่างกายของนาง นางไม่อยากเป็นเพียงหมากในกระดานอีกต่อไป นางเหนื่อยล้ากับบทบาทนี้แล้ว และไม่เคยได้รับความจริงใจจากผู้ใดเลยแต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากต้องสมรสกับชายธรรมดา นางคงทนลำบากไม่ได้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะถูกใช้ประโยชน์ แต่ชีวิตก็ยังคงสุขสบาย เมื่อนางออกจากเมืองหลวงและระเหระหนอยู่ไม่กี่วัน นางก็เข้าใจว่านางไม่อาจแยกจากความมั่งคั่งได้ ดังนั้น เมื่อคนคนนั้นมาหานาง นางจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล เพราะในเวลานั้นมันคือทางออกเดียวของนาง ด้วยชาติกำเนิดของนาง นางไม่มีทางถูกแต่งงานเข้าเป็นภรรยาหลวงในตระกูลใหญ่โต แม้แต่เหลียงเส้าปากบอกว่าจะรักนางเพียงคนเดียวตลอดชีวิต แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทำให้นางมีสถานะที่มั่นคงได้ นางยังคงเป็นเพียงภรรยาน้อยคนหนึ่งอยู่ดีเมื่อนึกถึงเขาในตอนนี้ นางก็รู้สึกขยะแขยง สำหรับหวังเบียว เขา
เมื่อจ้านเป่ยว่างเดินทางมาถึงชายแดนเฉิงหลิง เขาได้นำของขวัญสำหรับวันคล้ายวันเกิดไปส่งที่จวนแม่ทัพใหญ่เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกดุด่าหรือถูกตำหนิ ทว่า...ทางฝั่งตระกูลเซียวกลับเพียงส่งคนออกมารับของขวัญ และจัดแจงให้พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนสองสามวัน แล้วค่อยออกเดินทางกลับเขตหนานเจียง ไม่มีใครออกมาด่าว่าเขา หรือแม้แต่ทำร้ายเขา เขายืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลากร่างที่อ่อนล้าของตนเองเดินออกมา“จวนผู้บัญชาการที่นี่ เทียบกับจวนผู้บัญชาของเราในเขตหนานเจียงไม่ได้เลย! ใหญ่โตหรูหราก็จริง แต่เรียบง่ายจนเกินไป ของตกแต่งที่พอจะดูดีสักชิ้นก็ไม่มี”หลังออกจากจวนผู้บัญชาการ หยางกวน…พลทหารที่เดินทางมาด้วยกันกล่าวขึ้นจ้านเป่ยว่างตอบกลับเพียงว่า “อย่าเอาผู้บัญชาการหวังมาเทียบกับแม่ทัพใหญ่เซียว”ในใจกลับคิดเงียบ ๆ ว่า...เขาไม่คู่ควร หยางกวนคิดว่าเขากำลังปกป้องผู้บัญชาการหวัง จึงรีบหุบปากทันที พวกเขาทั้งสี่คนถูกจัดให้อยู่ในค่ายพักแรมรวมกันในที่พักขนาดใหญ่ แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการกลับเขตหนานเจียงก่อนกำหนด ก็สามารถทำได้แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าไม่สามารถกลับไปยังเขตหนานเจียงได้อีกแล้ว เพราะต
แม้จักรพรรดิ์ซูชิงจะทรงทราบดีว่า เซี่ยหลูโม่เดินทางมาอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังทรงเรียกเขาไว้ พร้อมกับเรียกเสนาบดีกรมยุทธศาสตร์ อธิบดีกรมทหาร และเจ้าสิบเอ็ดฝางเข้าวังมาร่วมประชุม จำเป็นต้องประเมินสถานการณ์หลายด้านและคาดการณ์ผลลัพธ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดวางกองกำลังตามสภาพที่มีอยู่ สิ่งที่พระองค์ทรงกังวลที่สุดยังคงเป็นเขตหนานเจียง แต่เมื่อเซี่ยหลูโม่กล่าวถึงซูลันซือแห่งซีจิง พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปทันที “ไม่มีทางที่บุคคลนี้จะมีความสามารถมากถึงขนาดร่วมมือกับแคว้นซาและซีจิงได้พร้อมกันแน่” พระองค์ตรัสพร้อมแสดงความไม่สบายพระทัยอย่างชัดเจน ราชวงศ์ซางนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจพูดคุยกับซีจิงได้อย่างเต็มปากเต็มคำ การเจรจายังไม่สิ้นสุด และยังติดค้างคำตอบที่ชัดเจนแก่ซีจิง แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้พระองค์กังวลยิ่งกว่าคือ คนผู้นี้มีความสามารถถึงเพียงนี้ แสดงว่าเขาต้องซุ่มวางแผนมานานเพียงใดกัน? หลี่เต๋อฮวย…เสนาบดีกรมยุทธศาสตร์จ้องมองแผนที่หลายรอบ ภูมิประเทศเหล่านี้เขาคุ้นเคยดีแต่หากว่ามีกองกำลังลับหรือโจรซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว การกวาดล้างคงไม่ง่า
ยามเที่ยงของวันถัดมา ทั้งสองคนเพิ่งตื่นขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่งดวงตาสบกัน เซี่ยหลูโม่แววตาเข้มขึ้นทันที รู้สึกว่าการหลับไปเมื่อคืนทำให้พละกำลังกลับคืนมาทั้งหมด เขาดึงนางเข้ามากอดแนบชิด กระซิบข้างหูด้วยริมฝีปากที่แตะไปมา ซ่งซีซีรีบผลักเขาออก “ลุกขึ้นได้แล้ว!” เป่าจูที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหว กลัวว่าทั้งสองจะรั้งกันต่อไป รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋อง พระชายา พระสนมไท่เฟยให้คนมาแจ้งสามรอบแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยหลูโม่ถอนมือออกจากที่เดิม ดวงตายังลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความดื้อรั้นและอวดดี “ตอนนี้ฟังเจ้า คืนนี้เจ้าต้องฟังข้า” เมื่อคืน เซี่ยหลูโม่กลับมาดึกเกินไป จึงไม่ได้ไปคำนับพระสนมไท่เฟยปกติพระสนมไท่เฟยจะไม่ใส่ใจว่าเขาไปที่ไหน แม้กระทั่งออกศึกนางก็ไม่กังวลมากนัก ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าศึกสงครามอันตรายเพียงใด แต่ฮองเฮามักทำให้นางเชื่อมั่นว่าบุตรชายของตนนั้นไร้ผู้เทียบทานแต่ครั้งนี้ จวนออกกองกันเกือบครึ่ง ทุกคนในจวนต่างเต็มไปด้วยความตึงเครียด จนนางพลอยวิตกไปด้วย เมื่อคืนซ่งซีซีกลับมาแล้ว แต่เขากลับยังไม่มา แม้จะบอกว่าเข้าวัง แต่เมื่อไม่ได้เห็นหน้าเขาจริง ๆ ใจของนางก็ยังไม่สงบ
เซี่ยทิงหลานให้การสารภาพ "นักรบสิ้นหวัง" ก็ให้การสารภาพเช่นกัน ประกอบกับจดหมายสำนึกผิดที่เซี่ยอวิ้นเขียนไว้ก่อนสิ้นใจ ในนั้นกล่าวว่านางไม่ควรช่วยพี่ชายวางแผนก่อกบฏ จนกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินจะแก้ไขอ๋องเยี่ยนหนีไม่พ้นข้อหากบฏอย่างแน่นอน! จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการส่งมาก่อนหนึ่งฉบับ สั่งให้อ๋องเยี่ยนกลับเมืองหลวงเพื่อรับโทษ โองการนี้ยังมีอีกฉบับส่งถึงจวนผู้ว่าการแห่งเยี่ยนโจวให้จับตัวอ๋องเยี่ยนเข้าเมืองหลวงอ๋องเยี่ยนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องก่อกบฏ! แต่ทว่าก็มีข้อแตกต่าง เขานำความขลาดเขลาและลังเลของตนออกมาแสดงต่อหน้าผู้คนจนหมดสิ้น ทำให้เสียชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้ ผู้ที่ร่วมวางแผนกบฏด้วย ต่างก็หวังว่าจะมีคนที่กล้าหาญและเด็ดขาดมาปรากฏตัวแทนที่ อ๋องเยี่ยน แน่นอนว่าพวกเขาเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ จึงมีความหวังเช่นนั้นเรื่องนี้อาจบอกเล่าโดยอู๋เซี่ยง เขาและอ๋องฮวยได้เคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ในช่วงเวลานี้เพื่อเป้าหมายนี้ก่อนที่อ๋องเยี่ยนจะยกทัพ มีข่าวลือจากหลายพื้นที่ว่า แม่ทัพแห่งเขตหนานเจียงร่วมมือกับคนแคว้นซาและนำทหารแคว้นซาเข้ามาในเขตหนานเจียง ทำให้เกิดวิกฤติสงคร
เมื่อไม่ใช่อู๋เซี่ยงสายตาของอ๋องเยี่ยนก็หันไปยังอ๋องฮวย อ๋องฮวยกำลังจะกล่าวแก้ตัว แต่อ๋องเยี่ยนกลับส่ายศีรษะ "ก็คงไม่ใช่เจ้า" อ๋องฮวย "..." ข้าถึงกับไม่มีค่าพอจะถูกสงสัยเลยหรือ? อ๋องเยี่ยนย่อมไม่สงสัยอ๋องฮวย เพราะเขามาเยี่ยนโจวโดยไม่ได้พกสิ่งใดติดตัวมาด้วย อีกทั้งในเมืองหลวงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้สร้างผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ต่างจากเซี่ยอวิ้นอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่มาเยี่ยนโจว ผู้คนที่พบเจอเขา แม้ปากจะเรียกเขาว่า "ท่านอ๋อง" ด้วยความเคารพ แต่ลับหลังก็มีแต่คนดูถูกเขา เขาไม่มีอำนาจที่จะสั่งการหม่าชงฮุ่ยได้ อ๋องเยี่ยนค่อย ๆ ใจเย็นลง นั่งลงอย่างช้า ๆ สายตากวาดมองทั้งสองคน "พวกเจ้าว่าหม่าชงฮุ่ยถูกเกลี้ยกล่อมหรือไม่? หรือมีใครคิดจะช่วงชิงผลสำเร็จของข้า?" อู๋เซี่ยงยังคุกเข่าอยู่บนพื้น ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า "การเกลี้ยกล่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตั้งแต่ท่านอ๋องส่งคำแถลงการณ์จนถึงตอนนี้เพียงไม่กี่วัน อีกทั้งกำลังพลของเรากระจายไปตามห้าหกจวนโจว การโยกย้ายก็ใช้เวลานานถึงครึ่งปีเต็ม ราชสำนักไม่มีทางตรวจพบได้ อีกทั้งจะไปหาตัวหม่าชงฮุ่ยและเกลี้ยกล่อมได้อย่างไร?
คืนนั้น อ๋องเยี่ยนไม่ได้หลับไหลตลอดทั้งคืน นี่มิใช่แผนการที่เขากับอู๋เซี่ยงตั้งใจไว้แต่แรก การเริ่มก่อการจากพื้นที่ห่างไกล แถมยังไม่มีคนของเราที่เมืองหลวง การจะบุกไปถึงนั้นต้องยากเย็นเพียงใด?แผนเดิมของพวกเขาไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขาต้องการรวมกำลังพลให้เพียงพอแล้วค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ใกล้เมืองหลวง ตั้งรากฐานให้มั่นคง รอเวลาที่เหมาะสม ในตอนนั้น เซี่ยอวิ้นยังคงวางแผนในเมืองหลวง และได้รับการสนับสนุนจากบางตระกูลใหญ่ เพราะในตอนนั้นได้ส่งบุตรสาวของกู้ฟู่หม่าเข้าไปเป็นภรรยาน้อยในตระกูลเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อาจเป็นช่วงสงคราม หรือเกิดเหตุจลาจล กองกำลังของเราจะรวมตัวกันที่ชานเมืองหลวง บุกเข้าไปยึดวังหลวง แต่ตอนนี้ ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านต้าซื่อ ทำให้เซี่ยทิงหลานถูกจับ เหล่าทหารลับของเราก็ตกอยู่ในมือของพวกนั้น จนบีบให้อ๋องเยี่ยนต้องเริ่มเคลื่อนไหว นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาลังเลอยู่นาน เพราะโอกาสชนะมีน้อยเหลือเกิน การก่อความวุ่นวายในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีผลต่อเมืองหลวง แม้ชาวบ้านจะทราบข่าวและพูดถึงกัน แต่หลายคนกลับมองว่าการกบฏครั้งนี้ช่างน่าหัวเราะ"ยั
ในตำหนักฉางชุน ฮองเฮายังไม่ได้ปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับออกจากร่าง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาฉายแววคาดหวัง วันนี้มีข่าวจากหน้าพระที่นั่งส่งมาบอกว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมายังวังหลังในคืนนี้ นางรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสนมคนใด ในใจก็พลันยินดี เพราะการไม่เลือกหมายถึงฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ตำหนักกลาง "หลานเจี่ยน ไปดูหน่อยสิว่าฝ่าบาทมาแล้วหรือยัง?" นางเร่งเร้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามของคืนนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าว "พระนางโปรดอย่ารีบร้อนเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะเสด็จมา แน่นอนว่าต้องมีคนมาบอกล่วงหน้า เพื่อให้พระนางเตรียมตัวรับเสด็จ" "จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาทไม่ได้มาที่ตำหนักฉางชุนนานจนข้าแทบจะลืมเสียแล้ว" ฮองเฮาใช้นิ้วลูบไปที่ปอยผมข้างใบหู พลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ข้ากับฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา สามีภรรยาที่ไหนจะมีความแค้นข้ามคืนกันได้? ตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็มีความก้าวหน้า ฝ่าบาทย่อมใจอ่อนลงบ้างแล้ว" "เมื่อฝ่าบาทเสด็จมา พระนางค่อยๆ พูดเถิด อย่ารีบร้อนที่จะพูดเรื่องให้องค์ชายใหญ่กลับมา" หลานเจี่ยนกูกูเตือนด้วยความนอบน้อม ฮองเฮาพยักหน้า
ในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง ยังไม่มีการจุดเตาใต้พื้น ความเย็นแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยฎีกาถูกพิจารณาเสร็จสิ้นนานแล้ว แต่จักรพรรดิ์ซูชิงกลับยังไม่เลือกสนม เพียงนั่งนิ่งมองแสงตะเกียงที่ริบหรี่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเขาได้อ่านจดหมายจากเซี่ยหลูโม่ที่เขียนถึงซ่งซีซี ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้น และความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดไม่หมด ราวกับพวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ช่างหวานชื่นจนยากจะพรากจากกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายของพวกเขา แม้ก่อนหน้านี้จะมีเนื้อความที่กล่าวถึงความคิดถึงอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้น "เปิดเผยและห้าวหาญ" เช่นครั้งนี้คำเหล่านี้ แค่พูดออกมาก็รู้สึกน่าอายอยู่แล้ว หากเขียนลงในจดหมายไม่ยิ่งน่าอายกว่าหรือ?เขาคิดว่าพระอนุชาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสม ฉาบฉวยเกินไปวิธีเอาใจสตรีนั้นมีมากมาย ไยต้องทำถึงเพียงนี้?เขาคิดเช่นนั้น แต่ในใจกลับเหมือนมีกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงไป ทำให้ผิวน้ำในจิตใจเป็นระลอกคลื่นวนไปมาอย่างไม่อาจสงบได้เขาไม่รู้เลยว่า การเป็นฮ่องเต้เช่นนี้ เขาสูญเสียไปมากเพียงใด...เรื่องความรักระหว่างชายหญิงนั้น จักรพรรดิไม่เคยกล้าคิดถึง แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่หวั่
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป