@บ้านวิโรจน์อัครโชติ
"วันนี้แด๊ดดี๊มีเรื่องจะคุยกับลูกทุกคน" ภาคินชายหนุ่มวัยกลางคนซึ่งเป็นประมุขของบ้านเอ่ยเสียงเข้มเมื่อลูกทั้งสี่คนมานั่งบนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ดวงตาคมกริบไล่มองหน้าอลัน อลินดา และอคินระเรื่อยมาหยุดตรงหน้าพระพายบุตรบุญธรรมซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอคิน "อีกปีเดียวลูกก็จะเรียนจบแล้วใช่ไหมพาย"
"ใช่ค่ะแด๊ดดี๊" พระพาย สาวน้อยหน้าตาน่ารักวัย 21 ปีที่กำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยดึงสติกลับมาตอบบิดาเสียงนุ่ม
"มันคงถึงเวลาแล้วสินะ" ภาคินปรายตามองหน้าเอวาผู้เป็นภรรยาเล็กน้อย เมื่อเธอพยักหน้าให้เขาจึงเลื่อนสายตากลับมามองหน้าบุตรบุญธรรมต่อ "พายอยากรู้ไหมว่าทำไมแด๊ดดี๊ถึงรับหนูมาเลี้ยง แต่ไม่ยอมเซ็นรับเป็นบุตรธรรม"
"อยากรู้ค่ะ"
"เพราะหนูต้องมาเป็นสะใภ้บ้านวิโรจน์อัครโชติยังไงละ" สิ้นเสียงบิดาพระพายก็หันมองหน้าท่านด้วยความตกใจ ใบหน้าฉายแววงุนงงอย่างชัดเจน "หมายความว่ายังไงคะแด๊ดดี๊"
"มันเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างพ่อหนูกับแด๊ดดี๊ในตอนที่หนูยังเป็นเด็ก เราสัญญากันไว้ว่าจะให้หนูแต่งงานกับลูกของแด๊ดดี๊คนใดคนหนึ่งเมื่อเรียนจบ"
"แด๊ดดี๊อย่าบอกนะว่าผมกับพี่อลันมีคนใดคนหนึ่งต้องแต่งงานกับพาย" อคินพูดแทรกเสียงดังลั่นเพราะรู้สึกตกใจไม่ต่างจากพระพาย ส่วนอลันยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิมไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้รับรู้สักนิด
"อคินแกจะโวยวายทำไม" อลินดาเอ็ดน้องชายเสียงดุเพราะตกใจกับเสียงโวยวาย
"ก็ดูแด๊ดดี๊ดิพี่อลินจู่ ๆ จะคุมถุงชน..นี่มันสมัยไหนแล้วแด๊ดดี๊" อคินตอบพี่สาวในประโยคแรกแล้วหันไปพูดกับบิดาในประโยคต่อมา
"แล้วยังไงคำประกาศิตอยู่ที่ฉัน แกก็เพลา ๆ เสียบ้างเถอะอคินเรื่องผู้หญิง ระวังเอดส์จะแดกหัวเอา" ภาคินต่อว่าบุตรชายคนเล็กอย่างเหลืออด ทว่าคำต่อว่าหยาบคายของเขากลับไม่เข้าหูคนเป็นภรรยาอย่างเอวาเอาเสียเลยจนเธอต้องพูดเอ็ดเบา ๆ "พูดจาหยาบคายพี่คิน"
"ก็มันจริงนิที่รัก" ภาคินหน้าสลดลงเล็กน้อย แต่มิวายตวัดสายตาดุบุตรชายคนเล็กแทนคำพูด
"ธรรมดาของผู้ชายแด๊ดดี๊ส่วนเรื่องแต่งงานผมไม่แต่งนะ ผมรักพายเหมือนน้องสาวแท้ ๆ จะแต่งงานกันได้อย่างไรครับ"
"ใช่ค่ะแด๊ดดี๊ พายก็เห็นอคินกับพี่อลันเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ อีกอย่างนั่นมันก็สัญญาเมื่อนานมาแล้วไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้นิคะ" พระพายพูดเสริมอีกแรงเธอเองก็เห็นอลันกับอคินเป็นคนในครอบครัวมาตลอดให้เปลี่ยนเป็นสถานะอื่นคงทำใจลำบาก
"ไม่ได้หรอกพายก่อนพ่อแม่ของหนูจะสิ้นใจก็ได้ย้ำเรื่องนี้กับแด๊ดดี๊ไว้ แด๊ดดี๊ต้องทำตามสัญญา และแด๊ดดี๊ก็คิดว่ามันดีสำหรับตัวหนู" ประมุขของบ้านยืนยันเสียงหนักแน่นไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องให้บุตรสาวบุญธรรมแต่งงานกับบุตรชายคนคนใดคนหนึ่งให้ได้ เขาไม่อยากผิดคำพูดกับเพื่อนรักที่จากไปแล้ว
"แต่แด๊ดดี๊คะ.."
"ทำเพื่อแด๊ดดี๊กับมามี๊ได้ไหมพระพาย"
"นะ..หนู" คำขอร้องและสายตาเว้าวอนของผู้มีพระคุณทำเอาพระพายถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุตอนเธออายุได้แค่สามขวบที่เธอรอดมาได้เพราะไม่ได้เดินทางไปกับพวกท่าน
และก่อนตายพ่อแม่ของเธอก็ได้ฝากฝั่งให้เพื่อนสนิทช่วยดูแลเธอซึ่งก็คือภาคินนั่นเองหากพวกท่านไม่รับเธอมาเลี้ยงป่านนี้เธอคงเป็นเด็กจรจัดอยู่ริมถนนไม่ได้มีชีวิตสุขสบายอย่างทุกวันนี้ แล้วแบบนี้จะให้เธอปฏิเสธคำขอร้องผู้มีพระคุณได้อย่างไรกัน
บนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด ก่อนอคินจะเอ่ยทำลายบรรยากาศตึงเครียดพยายามยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพราะเขายังไม่อยากมีพันธะใด ๆ ยังอยากใช้ชีวิตอิสระอยู่ยังมีสาว ๆ อีกมากมายที่รอให้เขาได้เชยชม "ผมไม่แต่งนะครับแด๊ดดี๊ ผมไม่ได้รังเกียจพายแต่เราเติบโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกันตลอดผมมองพายในสถานะอื่นไม่ได้จริง ๆ"
ภาคินถึงกับถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่แค่บุตรชายคนเล็กอ้าปากคนเป็นพ่ออย่างเขาก็เห็นไปถึงไส้ถึงพุงรู้ทันความคิดแล้ว แต่แล้วยังไงถึงบุตรชายจะดื้อดึงสุดท้ายก็ต้องฟังคำสั่งเขาอยู่ดี "แกต้องตะ..."
"ผมแต่งเองครับแด๊ดดี๊" ไม่ทันที่ภาคินจะได้เอ่ยจบเสียงทุ้มของ อลัน ชายหนุ่มหน้าตาคมคายซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้านที่นั่งเงียบมานานก็ดังแทรกขึ้นทำทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างอึ้งไปตาม ๆ กันยกเว้นคนเป็นพ่ออย่างภาคินเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างจะออกมาเป็นแบบนี้
ส่วนพระพายนั้นดูจะอึ้งมากกว่าใคร ดวงตากลมโตปรายมองเจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งหน้านิ่งไร้ความรู้สึกอย่างไม่เข้าใจ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นเธอไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
อลันเสนอตัวแต่งงานกับเธอด้วยเหตุผลอะไรกันทั้งที่ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเธอด้วยซ้ำไปเพราะตั้งแต่บิดารับเธอเข้ามาอยู่ในบ้านเขาเย็นชาใส่ตลอดพูดกับเธอแทบนับคำได้ทำเหมือนเธอเป็นอากาศไม่มีตัวตนภายในบ้าน
แต่ช่วงสองปีให้หลังมานี้เขากลับพูดจาหาเรื่องเธอตลอด แยกเขี้ยวใส่ทุกทีที่เจอหน้าไม่เข้าใจว่าทำเขาถึงเปลี่ยนไป บางทีก็แอบสงสัยว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า
แต่พยายามคิดทบทวนแล้วก็ไม่มี หากเลือกได้เธออยากให้เขากลับไปทำตัวเย็นชาใส่เหมือนเดิมมากกว่า
ต่างจากอคินคนน้องมากรายนั้นโคตรแสนดี รักและดูแลเธอดีเหมือนเธอเป็นพี่น้องแท้ๆ หากคนที่เธอแต่งงานด้วยเป็นอคินก็คงไม่รู้สึกตกใจ และอึดอัดมากเท่าไร
"เอาจริงดิพี่อลัน" อลินดาเอียงหน้ากระซิบถามพี่ชายฝาแฝดอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ทุกคนในบ้านต่างก็รู้ว่าเขาไม่ยินดียินร้ายกับการมีพระพายอยู่ในครอบครัวสักเท่าไร แต่ทำไมกลับเสนอตัวแต่งงานกับเธอเรื่องนี้ต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่นอน
"อือ" อลันตอบเพียงสั้น ๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม ทว่าสายตากลับมองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าดำคล้ำเครียดอยู่
"พี่อลันเสนอตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้ว งั้นเรื่องนี้ถือเป็นอันเรียบร้อยผมไม่เกี่ยวแล้วนะครับ" อคินยกยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ฟังคำยืนยันจากปากพี่ชายทำให้เขารอดพ้นจากการโดนจับแต่งงานอย่างหวุดหวิด ถึงแม้จะไม่เคยเข้าใจในการกระทำของพี่ชายสักเท่าไรก็ตาม
เขาปรายตามองร่างบางที่นั่งข้าง ๆ ก็เห็นว่าเธอนั้นนั่งหน้าซีดหลุบสายตาลงต่ำเพราะพี่ชายของเขาเล่นจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเป็นใครก็ต้องเสียวสันหลังบ้างแหละ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสารเธอนะ แต่ให้เขาเสียสละตัวเองแต่งงานแทนพี่ชายก็คงไม่ไหว
มือหนายื่นไปวางลงบนไหล่มนแล้วตบเบา ๆ เชิงให้กำลังพร้อมกับโน้มหน้ากระซิบชิดกกหูเล็ก "เอาน่าพี่อลันไม่ฆ่าพายหรอก"
"แกก็พูดได้สิอคิน รอดตัวแล้วนิแทนที่จะช่วยกัน" พระพายมองค้อนอคินอย่างคาดโทษกระซิบตอบเบา ๆ พอได้ยินกันแค่สองคน
"พายก็อย่าคิดมากดิ" อคินเลื่อนมือขึ้นไปตบศีรษะพระพายแทน เขากับเธอสนิทกันมากเลยเล่นหัวหยอกล้อกันเป็นเรื่องปกติ
"ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเลยนะ" เธอเอียงศีรษะหลบมือหนาพร้อมกับส่งสายตาดุอย่างงอน ๆ
ทว่าเธอก็ต้องรีบหลุบสายตาลงต่ำรู้สึกตัวลีบเหลือสองนิ้ว เริ่มหายใจติด ๆ ขัด ๆ เมื่อเผลอสบสายตาของอลันที่จับจ้องเธออยู่ราวกับจะเฉือดเฉือนเนื้อเธอออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน
ปกติก็รู้สึกอึดอัดอยู่แล้วยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาพอมีเรื่องแต่งงานเข้ามาเกี่ยวด้วยก็คงไม่ต้องบอกว่ามันอึดอัดมากกว่าเดิมแค่ไหน
1 ปีต่อมา.."ทำหน้าจะเป็นจะตายทำไม เธอน่าจะดีใจมากกว่าที่ได้แต่งงานกับฉันสมใจอยากแล้วไม่ใช่เหรอพระพาย" หญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยคมในชุดแต่งงานสีขาวแบรนด์ดังที่ยืนมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำด้วยสีหน้า และแววตาเศร้าสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความคิดอันทุกข์ระทมเมื่อน้ำเสียงดุดันแกล้มเหยียดหยามของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลังเธอลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเจ้าของคำพูดแสนร้ายกาจคือผู้ชายที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีทางนิตินัยของเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เพราะที่นี่เป็นเรือนหอของเธอกับเขาซึ่งคนอื่น ๆ ได้ทยอยกลับไปหมดแล้วหลังจากเสร็จพิธีส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอความจริงวันนี้น่าจะเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดเพราะการแต่งงานเป็นความฝันของสาว ๆ เกือบทุกคนรวมถึงเธอด้วย แต่มันไม่ใช่เลยวันนี้คือวันที่เธอก้าวขาสู่ขุมนรกอย่างสมบูรณ์แบบต่างหาก การแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักว่าแย่แล้ว แต่มันแย่ยิ่งกว่าเมื่อคนคนนั้นดันเกลียดชังเธอเหมือนกิ้งกือไส้เดือนราวกับมีความแค้นต่อกันมาแต่ชาติปางก่อนถ้าไม่ใช่เพราะภาคินกับเอวาพ่อแม่บุญธรรมผู้มีพระคุณขอร้องเธอไม่มีทางร่วมหอลงโล่งกับคนที่จงเกลีย
"ตื่น..จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน" เสียงตวาดดังลั่น และแรงเขย่าอย่างรุนแรงทำให้พระพายที่เพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อตีสามเพราะมัวแต่นอนร้องไห้สะดุ้งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการตื่นตระหนก "คะ..คุณอลัน" รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งอัตโนมัติเมื่อปรือตาขึ้นมาเห็นชายหนุ่มที่ยืนทำหน้ายักษ์จับจ้องเธอด้วยแววตาเกรี้ยวกราดอยู่ข้างเตียง เขาหายไปตั้งแต่เมื่อคืนเธอคิดว่าน่าจะหายไปหลาย ๆ วันแบบในนิยายที่เคยอ่านเสียอีกไม่คิดว่าตื่นมาก็ต้องเห็นหน้าเขาแล้ว จากที่อาการง่วงงุนก็หายเป็นปลิดทิ้ง จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เข้าเพราะนี่ก็เพิ่งหกโมงเช้าเขาจะรีบปลุกเธอทำไมกัน "คุณอลันมีอะไรคะ""อย่าคิดว่าแต่งงานกับฉันแล้วจะได้อยู่อย่างสุขสบายนั่งชี้นิ้วสั่งเป็นคุณนายพระพาย ลุกขึ้นไปทำอาหารเช้าให้ฉันเดี๋ยวนี้" อลันออกคำสั่งอย่างเผด็จการพลางเอื้อมมือไปบีบข้อมือเล็กแรง ๆ "นับตั้งแต่วันนี้ไปเธอต้องทำทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเองเพราะที่นี่ไม่มีแม่บ้านค่อยอำนวยความสะดวกสบายให้เธอ" แรงบีบจากมือหนาสร้างความเจ็บให้พระพายไม่น้อยจนน้ำสีใสเอ่อคลอดวงตา พยายามบิดข้อมือออกจากบีบรัดแต่ก็เปล่าประโยชน์ เธอได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บไว้ไม่ค
หลังจากแวะกลับไปเอารถที่บ้านพ่อแม่บุตรธรรมแล้วพระพายก็ขับรถตรงไปยังตลาดสดทันทีเพราะจะไปห้างก็ไม่ได้ตอนนี้แค่เจ็ดโมงเช้าห้างยังไม่เปิดเธอเดินเลือกซื้อเฉพาะของที่จำเป็นสำหรับทำอาหารในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ไก่ กุ้ง ปลาหมึก ผักสดและเครื่องปรุงต่าง ๆ เมื่อจ่ายตลาดเสร็จก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกจากจมูกโด่งรั้นเบา ๆ เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในบ้านก็พบกับร่างสูงที่นั่งไขว้ห้างกอดอกอยู่บนโซฟาในห้องโถง เธอแสร้งทำเหมือนไม่เห็นเขารีบส่าวเท้าเดินผ่านเข้าไปในครัว แต่ก็มิวายยังโดนอีกคนพูดจากระแทกแดกดันตามหลัง “ทำไมไม่กลับมาพรุ่งนี้เลยล่ะ ชักช้าไม่ได้เรื่อง”มือเรียวกำถุงข้าวของที่ถืออยู่แน่นข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อยากหันกลับไปบอกชายหนุ่มเสียจริงว่าให้ลองไปเองแล้วจะได้รู้ว่าตลาดสดกับบ้านมันอยู่ไกลกันแค่ไหน ไหนจะต้องเดินจ่ายตลาดขับรถไปกลับอีกใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถือว่าเร็วสุดแล้ว ทว่าถึงพูดไปคนอย่างเขาก็คงไม่ฟังเพราะจ้องจะหาเรื่องเธอตลอดเวลาอยู่แล้ว สู้เงียบปากแล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปดีกว่าไม่อยากจะต้องมาเสียเวลาทะเลาะกับเขาเธอเลือกทำข้าวต้มกุ้งเป็นอาหารเช้าให้ชายหนุ่มเพราะตอนอยู่
พระพายจัดการเก็บกวาดเศษแก้วและข้าวต้มที่สาดกระเซ็นทั่วพื้นเป็นบริเวณกว้างทั้งน้ำตานองหน้า แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนคนใจร้ายรังแกไม่พอแม้แต่เศษแก้วก็ยังรังแกเธอด้วยมันบาดเข้าที่นิ้วเธอจัง ๆ ในตอนที่กำลังหยิบใส่ที่โกยขยะ"โอ๊ย!" เธอนิ่วหน้าหลุดร้องด้วยความรู้สึกเจ็บมองแผลบนนิ้วชี้ที่มีเลือดสีแดงสดซึมออกมาด้วยแววตาไหวระริก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อลันเดินลงมาจากชั้นสองทำให้เห็นเหตุการณ์พอดี เขายืนมองร่างบางห่าง ๆ ไม่เข้าไปในทันทีจะรอดูปฏิกิริยาเธอสักหน่อยว่าเป็นยังไง น้ำตาที่ไหลอาบใบหน้านวลไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสาร หรือเห็นใจขึ้นมาสักนิด นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเธอจะต้องทุกข์ทรมานกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า"บ้าชะมัด! เกิดเป็นพระพายทำไมมันถึงได้รันทดขนาดนี้นะ" ด้านพระพายกลับไม่รู้ตัวเลยว่าถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาพึมพำออกมาอย่างตัดพ้อนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเองนัก ก่อนใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบพลาสเตอร์ในกล่องอุปกรณ์ทำแผลทว่าเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในตอนที่หันหลังกลับไปพบกับร่างสูงที่ยืนหน้าทมึงตึงจับจ้องมายังเธอราวกับจะกินเลือดกินเน
"อื้อ" พระพายตื่นมาในยามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ด้วยความรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบไม่ต้องกังวลอะไรเพราะไม่มีผู้ชายใจร้ายอยู่ร่วมชายคาตั้งแต่ออกไปเมื่อวานตอนเช้าเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งมันดีสำหรับเธอมาก ๆแต่ถึงแม้ไม่มีผู้ชายใจร้ายอยู่เธอก็ตื่นแต่รุ่งสางเพื่อออกไปจ่ายตลาดซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเช้าเผื่อเขากลับมาแผลงฤทธิ์ใส่เธอเหมือนวันก่อนอีก กันไว้ดีกว่าแก้ทำหน้าของตัวเองให้ดีที่สุดเขาจะได้ไม่ต้องมีเรื่องชวนเธอทะเลาะ"เฮ้อ" เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายพลางหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมาเปิดหน้าจอดูเวลาเมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีก็หกโมงเช้าจึงหยัดกายลุกลงจากเตียงเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน และเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขายาวสบาย ๆ จากนั้นก็เดินออกไปขึ้นรถขับตรงสู่ตลาดเธอใช้เวลาขับรถไปกลับ และจ่ายตลาดหนึ่งชั่วโมงพอดี ทว่าเมื่อมาถึงบ้านเธอก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เพราะรถของคนที่ไม่อยากเจออยู่นั่นหมายถึงเขากลับมาแล้วทำไมไม่หายหัวไปให้หลาย ๆ วันนะเธอได้แต่คิดก่อนถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักใจพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถเดินไปเอาของหลังรถแล้วเดินเข้าในบ้าน
ผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีอเมริกันเบรกฟัสท์ที่ถูกจัดวางบนจานสีขาวอย่างสวยงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะอาหาร ก่อนพระพายจะเดินไปเรียกคนที่นั่งเล่นมือถือบนโซฟาในห้องโถงต่อ “อาหารเสร็จแล้วค่ะ”“แต่ฉันไม่อยากทานแล้วเอาไปทิ้งถังขยะ” อลันละสายตาจากหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ ความจริงเขาไม่ได้อยากทานเบรกฟัสท์ตั้งแต่แรกแล้วที่สั่งไปก็เพราะต้องการกลั้นแกล้งหญิงสาวเท่านั้น เขาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันก่อนก้มมองหน้าจอมือถือต่อพร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง “เทอาหารทิ้งแล้วก็ชงกาแฟมาให้ฉันด้วย”“ฉันไม่ใช่คนใช้คุณ อยากดื่มก็ไปชงเองสิคะ” ความอดทนอดกลั้นของพระพายขาดสะบั้นลงสวนกลับชายหนุ่มเสียงแข็งกร้าว จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาเขม็งกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เธอยอมก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้เขาโขกสับได้ทุกเรื่องแบบนี้ ว่าจบก็หมุนตัวเดินออกไปให้พ้น ๆ ผู้ชายใจร้าย“พระพาย!” อลันถึงกับกัดฟันกรอดจนกรามเคลื่อนกับท่าทางแข็งข้อของหญิงสาว ลุกเดินตามไปคว้าแขนเล็กแล้วกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้าทำให้ร่างบางที่กำลังสาวเท้าเดินเสียหลักตัวหมุนติ่วเซถลาปะทะอกแกร่งอย่างแรงปึก! ใบหน้าเรียวชนกับแผงอกกว้างดังปึกสร้างความเจ็
@บ้านวิโรจน์อัครโชติรถคันหรูที่มีอลันและพระพายนั่งอยู่ด้านในเคลื่อนมาจอดลงยังบ้านวิโรจน์อัครโชติในเวลาเที่ยงตรงพอดิบพอดีพระพายที่นั่งตัวเกร็งมาตลอดทางลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกโล่งขณะเปิดประตูลงจากรถราวกับได้หลุดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอก็รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากรังสีความอำมหิตของอีกคนที่แผ่กระจายภายในรถทำให้เธอไม่แม้แต่จะกล้าหายใจแรง ๆ หรือกระดิกตัวเลยหลังจากก้าวลงจากรถเธอก็รีบส่าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านทันทีไม่ใช่เพราะรีบร้อน แต่ต้องการอยู่ห่าง ๆ อีกคน ทว่าเท้าเล็กก็ต้องหยุดชะงักฉับพลันเมื่อเสียงทุ้มดังตามหลังมาด้วยประโยคแกล้มข่มขู่"หวังว่าเธอจะรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด และรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวยังไงต่อหน้าพ่อแม่ฉัน" "รู้ค่ะ"เธอกลอกตามองบนลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเปล่งเสียงตอบทั้งที่ไม่หันไปมองเจ้าของเสียงสักนิด ว่าจบก็ส่าวเท้าเดินต่อด้วยความเร็ว"สวัสดีค่ะแด๊ดดี๊ มามี๊" จากที่ใบหน้าบึ้งตึง อารมณ์ขุ่นมัวเธอก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นหน้าผู้มีพระคุณทั้งสอง ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับพวกท่านเอวากับภาคินพยักหน้ารับด้วยใ
"เธอจงใจให้ทุกคนเห็นรอยที่คอใช่ไหมพระพาย" ทันทีที่หญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถเสียงทุ้มก็เปล่งถามทันที แววตาราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นดุดันในทันตา"ฉันรีบจนลืมปกปิดรอย" พระพายตอบตามจริงพร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นดั่งที่เธอคิดไว้ไม่มีผิดว่าพอลับสายตาพ่อแม่ชายหนุ่มคงหาเรื่องเธอ ว่าจบก็เบือนหน้าหนีไปทางกระจกรถ"เหรอ" อลันหาได้เชื่อทุกคำพูดที่หลุดออกจากริมฝีปากอวบอิ่มไม่แต่ก็เลือกจะไม่พูดอะไรต่อกระชากรถออกจากบ้านอย่างแรงจงใจกลั้นแกล้งอีกคน"ว้าย!" ทำให้พระพายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจร่างถลาไปด้านหน้า หน้าคะมำชนคอนโซลรถดังปึก ใบหน้าเรียวเหยเกน้ำตาคลอหน่วยด้วยความรู้สึกเจ็บ แรงกระแทกกับคอนโซลรถสร้างความเจ็บให้เธอไม่น้อย มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าผากปอย ๆ นัยน์ตาที่มีน้ำสีใสปริ่มอยู่ปรายมองเจ้าของการกระทำห่าม ๆ อย่างโกรธเคืองถามว่าอลันรู้สึกรู้สากับสายตาอาฆาตและการกระทำของตัวเองไหมตอบเลยว่าไม่รู้สึกสะใจมากกว่าที่เห็นความเจ็บปวดของเธอ แววตาดุดันปรายมองร่างบอบบางที่นั่งลูบหน้าผากปอย ๆ แวบหนึ่งแล้วดึงสายตากลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อไม่พูดไม่จาหรือทำอะไรต่อภายในรถถ
1 ปีต่อมา.."คุณพ่อพักผ่อนบ้างนะครับน้องพีร์กับคุณแม่เป็นห่วงครับ" น้ำเสียงเล็กหวานหูดังขึ้นทำให้อลันที่นั่งเอนกายพักผ่อนสายตาอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นระบายยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมกับปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียง ซึ่งไม่ใช่บุตรชายแต่เป็นเมียสาวที่ทำน้ำเสียงเลียนแบบบุตรชายต่างหากคงเพราะเห็นเขาเครียดกับการตามหาน้องสาวฝาแฝดอย่างอลินดาจึงอยากทำให้ยิ้มได้ และมันก็ได้ผลบุตรชายกับเมียสาวก็เหมือนที่ชาตพลังชั้นดีของเขา"งั้นพ่อขอเติมพลังจากน้องพีร์กับคุณแม่หน่อยได้ไหมครับ" มือหนาเอื้อมไปรั้งร่างบอบบางที่ยืนอุ้มลูกน้อยอยู่ตรงหน้าให้นั่งลงบนตักกอดเธอไว้หลวม ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงหอมแก้มซ้ายขวาบุตรชายฟอดใหญ่แล้วกดจูบลงบนไหล่มนของเมียสาวต่อ ขณะที่พระพายนั้นใช้แขนโอบไหล่กว้างข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างอุ้มบุตรชายไว้บนตัก"ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพี่อลินไหมคะ" ดวงตากลมโตมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเห็นใจ ตั้งแต่น้องสาวฝาแฝดหนีไปในวันแต่งงานคนเป็นสามีก็ดูจะเครียดมากเพราะงานแต่งถูกจัดอย่างใหญ่โตเชิญแขกมาไม่รู้กี่พันคน คนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างคือพ่อแม่ท่านทั้งสองเครียดมาก แม่บุญธรรมเป็นลมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผลที่ตามมาจากการก
เสียงเนื้อกระทบเคล้าเสียงครางหอบของคนทั้งสองดังระงมทั่วรูฟท็อปโชคดีที่อลันบอกให้พนักงานทุกคนกลับไปหมดแล้วที่นี่จึงเหลือเพียงเขากับเธอสองคน บทรักดำเนินไปอย่างนุ่มนวลภายใต้แสงดาว แสงเทียน และแสงสีของเมือง บรรยากาศรอบ ๆ บริเวณอบอวลไปด้วยแรงสวาทของทั้งสองสายลมที่ว่าเย็นก็ไม่สามารถดับความร้อนรุ่มนี้ได้"ผมรักคุณนะ" ริมฝีปากร้อนผละจูบเอื้อนเอ่ยชิดกลีบปากอวบเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับตระกองกอดร่างบอบบางแนบแน่นจนทรวงอกเต่งตึงบดเบียดกับมัดกล้ามเนื้อ ขณะที่สะโพกสอบก็ตอกตรึงฝากฝังตัวตนอย่างหนักหน่วง ร่างบอบบางเสียวซ่านจนเกินจะบรรยายหลับตาพริ้มส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา ช่องทางรักบีบรัดท่อนเนื้อที่สอดใส่เข้าออกรัวเร็วถี่ ๆอลันขบกรามกรอดด้วยความเสียวซ่านพร้อมกับผละตัวออกจับร่างบอบบางนอนตะแคง จากนั้นจึงนอนซ้อนหลังสอดแขนเข้าไปใต้ศีรษะทุยประคองใบหน้าเรียวให้หันมารับจูบแสนดูดดื่มพลางเสือกไสท่อนเนื้อเข้าสู่ร่องอ่อนนุ่มอีกครั้งเขายกขาเรียวขึ้นพาดแขนแล้วกระหน่ำแทงจนร่างบอบบางสั่นคลอน ทรวงอกเต่งตึงกระเพื่อมสั่นไหวราวกับยั่วยวนจนเขาอดไม่ได้ต้องตะปบแล้วบีบขยำแรง ๆ ใบหน้าก็ซุกไซ้คลอเคลียใบหูเล็ก ขบเม้มติ่งหูเ
หลังจากทานอาหารเสร็จสองหนุ่มสาวก็นั่งจิบไวน์ต่อ ดื่มด่ำกับบรรยากาศภายใต้ท้องฟ้าอันปลอดโปร่งมีดวงดาวน้อยใหญ่พราวระยับท่ามกลางความสลัวที่มีเพียงแสงไฟจากเทียนรอบบริเวณรูฟท็อป และแสงสียามค่ำคืนของเมืองกรุงให้ความสว่างร่างบอบบางที่อยู่ในอาการเมากรึ่มวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะแล้วลุกไปยืนชิดระเบียงกระจกทอดสายตาหวานฉ่ำมองแสงสียามค่ำคืน ใบหน้าแดงซ่านจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เคลือบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ เคล้าด้วยกลิ่นหอมหวานจากเทียนหอมมีเสียงเพลงบรรเลงคลอเบา ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก"ขโมยกอดพายอีกแล้วนะคะ" เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกสวมกอดจากด้านหลังเอียงหน้าเอ่ยอย่างไม่จริงจังมากนักพลางระบายยิ้มบาง ๆ ไม่คิดจะผลักไสร่างสูงออกเพราะกำลังรู้สึกหนาวพอดีได้ไออุ่นจากร่างกำยำก็ค่อยคลายความหนาวลงหน่อย"งั้นขออนุญาตนะครับ" อลันหยอกล้อกลับด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพลางกระชับกอดร่างบอบบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป ริมฝีปากหนากดจูบขมับอย่างรักใคร่ ก่อนผละกอดออกจับไหล่มนหมุนให้ร่างบางหันมาสบสายตาสื่อความในใจสองสายตามองสบประสานอย่างลึกซึ้งเนิ่นนานหลายนาทีเหมือนมีแรงดึงดูดมิอาจละสายตาจากกันได้ ก
วันนี้เป็นวันหยุดของอลันเขาจึงพาลูกเมียไปหาพ่อแม่ที่บ้านนั่งคุยกับพวกท่านจนเริ่มบ่ายคล้อยจึงพาลูกน้อยมานั่งเล่นที่สวนสาธรณะต่อเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เมื่อมาถึงสวนสาธรณะเขาก็เดินหาทำเลเหมาะ ๆ สำหรับปูเสื่อนั่งชมบรรยากาศโดยมีพระพายอุ้มลูกน้อยเดินเคียงข้างไป"ตรงนี้แหละ" เขามองหาบริเวณที่คนไม่พลุกพล่านและมีต้นไม้ให้ความร่มรื่นพอได้ดั่งต้องการก็หันไปบอกกล่าวกับร่างบอบบางข้าง ๆ พร้อมกับวางตระกร้าใส่สัมภาระลูกลง แล้วเอาเสื่อที่เตรียมมาปูบนพื้นหญ้าสีเขียวชะอุ่มที่ถูกตัดจนเรียบไปกับผืนดินจากนั้นก็พากันนั่งลง"มาหาพ่อครับน้องพีร์" เขาเอี้ยวตัวไปยกลูกน้อยจากตักของคนเป็นแม่มายืนบนตักเพราะอยากให้เธอได้นั่งสบาย ๆ ซึ่งพระพายก็ไม่ได้ขัดอะไรจ้องมองเขาก้มหน้าพูดคุยกันลูกบนตักพลางระบายยิ้มออกมาบาง ๆ พ่อก็ชวนลูกคุยเก่งส่วนลูกก็คุยเก่งไม่แพ้กันส่งเสียงอ้อแอ้ตลอดเวลา พอโดนคนเป็นพ่อหยอกเย้าหน่อยก็หัวเราะออกมาจนเธอเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย"ผมพาลูกเดินเล่นหน่อยดีกว่า" ผ่านไปสักพักอลันก็ลุกพาลูกเดินชมนกชมไม้รับลมเย็นโดยมีพระพายมองตามไม่คาดสายตาใบหน้าของเธอเคลือบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลากระทั่งสองคนพ่อลูกเดินกลับ
จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปยังโต๊ะอาหาร"กินเยอะ ๆ ครับคุณแม่" ระหว่างทานอาหารอลันก็คอยตักนู่นตักนี้ใส่จานให้หญิงสาวตลอด อีกคนเพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนยกกับข้าวที่เขาตักให้ใส่ปากอย่างไม่รังเกียจ ทุกครั้งที่ทานข้าวด้วยกันเขามักทำแบบนี้เสมอจนมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว"เริ่มหลงรักผมขึ้นบ้างหรือยัง" แค่ก ๆ! ทว่าเธอก็ต้องสำลักข้าวในวินาทีต่อมาเมื่อเจอกับประโยคจากริมฝีปากหนาทำเอาเจ้าของคำถามต้องรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งมาลูบหลังแผ่นหลังบางด้วยความเป็นห่วง "มันใช่เวลาพูดไหมเนี่ยคุณอลัน" เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นพระพายก็หันมองร่างสูงที่ยืนข้าง ๆ เขม็งพร้อมกับใช้มือหยิกหน้าท้องแกร่งเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ เขาพูดตอนทานข้าวไม่พอยังพูดต่อหน้าแม่บ้านสองคนที่ยืนอยู่ด้วยมันใช่เวลาพูดเสียที่ไหนเธอทั้งอายทั้งนึกโมโหเขาจริง ๆ "ผมเจ็บนะ" คนถูกหยิกร้องโอยพลางกลั้วหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ พวงแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั้นไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเขินกันแน่ มือหนาอดไม่ได้จะยื่นไปบีบด้วยความรู้สึกมันเขี้ยว "เอามือออกไปเลยนะ" ยิ่งทำให้คุณแม่ลูกหนึ่งรู้สึกอายและนึกโกรธเข้าไปอีกแหวใส่คนตัวโตเสียงดังลั่นพร้อมกับยื่
หลายเดือนต่อมา..อลันที่เพิ่งกลับมาจากทำงานระบายยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วเห็นพระพายกำลังนั่งชมลูกน้อยอยู่ในห้องโถง จากที่รู้สึกเหนื่อยล้ามาจากการทำงานก็หายเป็นปลิดทิ้ง นี่ก็เข้าสามเดือนแล้วที่เขา เธอและลูกกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันนับตั้งแต่วันออกจากโรงพยาบาล ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเริ่มดีขึ้นตามลำดับเพราะมีลูกน้อยเป็นตัวเชื่อม "กลับมาแล้วครับ" เขาเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างร่างบอบบาง ก่อนจะโน้มใบหน้าลงหอมแก้มลูกน้อยที่นอนอยู่บนตักเธอฟอดใหญ่จากนั้นก็ผงกหน้าขึ้นเอื้อนเอ่ยกับลูกน้อยที่นอนตาใสแป๋วส่งเสียงอ้อแอ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "วันนี้น้องพีร์กวนคุณแม่รึเปล่าครับ" พระพายก้มมองคนที่กำลังหยอกล้อบุตรชายอยู่บนตักด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วเพราะทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะหอมแก้มซ้ายแก้มขวาบุตรชายก่อนเสมอ พอกลับมาตอนเย็นสิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือเข้ามาหอมมาเล่นกับลูกเช่นกัน "เหนื่อยไหม" เมื่อหยอกล้อบุตรชายจนพอใจอลันก็ถามไถ่คนเป็นแม่ต่อพร้อมวางมือลงบนไหล่มนด้วยความเอ็นดู เขารู้ว่าการเลี้ยงลูกมันเหนื่อยแค่ไหน "ไม่เลยค่ะ" ใบหน้าเรียวยิ้มตอบเธอจะเ
อลันรับซองสีน้ำตาลจากมือผู้เป็นพ่อมาเปิดด้วยความสงสัย ก่อนจะต้องรีบช้อนสายตาขึ้นมองหน้าพ่อแม่ด้วยความตกใจเมื่อเห็นเอกสารด้านในไม่คิดว่าท่านจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ภาคินกับเอวาเพียงระบายยิ้มให้บุตรชายบาง ๆ ก่อนจะก้มหน้าชื่นชมหลานต่อสองชั่วโมงต่อมาพระพายที่ผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ของยาแก้ปวดก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของลูกน้อย "โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ไม่ร้องนะครับ โอ๋ ๆ" ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเธอก็ต้องอมยิ้มกับภาพที่อลันกำลังอุ้มลูกพร้อมทั้งโอ๋ทั้งกล่อมด้วยสีหน้าแตกตื่น ในขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้เขาไปเรียนรู้วิธีการอุ้มลูกมาจากไหนกันดูท่าทางคล่องปรือเชียว "ลูกคงหิวนม" เธอได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเปล่งเสียงพูดไปเพราะไม่อยากปล่อยให้ลูกร้องนาน ๆ "คุณตื่นแล้วเหรอ" อลันที่กำลังยืนโยกบุตรชายหยุดชะงักการกระทำ แล้วรีบพาลูกไปวางลงบนเตียงทันที"คุณเอาลูกมาวางฝั่งนี้ดีกว่า" พระพายรีบบอกกล่าวก่อนที่ชายหนุ่มจะได้วางลูกลงบนเตียงข้างขวาทำให้อลันถึงกับชะงัก แต่ก็ยอมอุ้มลูกไปวางบนเตียงอีกฝั่งในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอต้องให้เขาวางลูกฝั่งซ้ายทั้งที่ใั่งขวาน่าจะถนัดกว่าเมื่อวางลูกลงบนเตียงแล
หลังจากผ่าคลอดเสร็จพระพายก็ถูกนำตัวกลับมายังห้องพัก ส่วนลูกน้อยยังคงอยู่กับพยาบาลตลอดการคลอดพระพายรับรู้และมีสติดีทุกอย่างเพราะหมอใช้วิธีฉีดยาชาเข้าสู่บริเวณไขสันหลังไม่ได้วางยาสลบตอนผ่าคลอดเธอทั้งรู้สึกกลัวและตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นไปหมด แต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงลูกร้องอาการเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้นกลายเป็นน้ำตาแห่งความสุขที่เอ่อล้น และรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีมาแทนที่ ยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าของลูกน้อยที่รอคอยมันตื้นตันจนยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ มันเป็นความเจ็บปวดที่งดงามมาก ๆ"เอ๊ะ!" เธอขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความแปลกใจในตอนที่เข้ามายังห้องพักแล้วพบว่าห้องถูกตกแต่งด้วยลูกโป่งมากมาย บนผนังหัวเตียงมีลูกโป่งตัวอักษรสีฟ้าขาวเรียงกันเป็นคำว่า 'Welcome Baby boy peerawit'และยังมีลูกโป่งรูปหน้าเด็กประดับอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังข้อความ ข้าง ๆ หัวเตียงก็มีลูกโป่งน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่ทำให้เธออดยิ้มไม่ได้ทั้งที่กำลัวรู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของทุกคนในห้องนี้แน่นอนเพราะแต่ละคนออกอาการเห่อหลานเอามาก ๆ คนเป็นแม่อย่างเธอก็พลอยปลื้มใจแทนลูกไปด้วยที่มีคนรักเขามากมายเ
และแล้วเวลาก็ดำเนินมาถึงวันที่พระพายถึงกำหนดคลอด เธอมานอนเตรียมตัวผ่าคลอดที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานโดยมีอลันเป็นคนเฝ้า และเขาก็ดูจะตื่นเต้นกว่าคนคลอดอย่างเธอเสียอีก หลังจากลองเปิดใจตามคำพูดของแม่บุญธรรมที่ท่านพูดให้เธอฟังในคืนวันแรกที่กลับมาจากเชียงคานก็ทำให้เธอได้เห็นด้านดี ๆ ของเขามากขึ้นแม่บุญธรรมเล่าให้เธอฟังว่าเมื่อก่อนท่านกับพ่อบุญธรรมก็มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับเธอ คือถูกเข้าใจผิดจนนำมาสู่เรื่องราวอันเลวร้ายต่าง ๆ ตอนนั้นท่านก็เกลียดพ่อบุญธรรมมาก แต่พอเวลาผ่านไปท่านก็ได้เรียนรู้ว่าการอาฆาตแค้น และเกลียดชังมีแต่บั่นทอนจิตใจ และทำลายความสุขของตัวเองท่านจึงยอมปล่อยวาง ตอนนั้นพ่อบุญธรรมก็เหมือนอลัน ถูกความโกรธแค้นเข้าครอบงำจนหูตาพร่าเบลอไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อรู้ความจริงพ่อบุญธรรมก็ยอมหยุดการแก้แค้น แล้วตามง้อและพิสูจน์ตัวเองกับท่านนานอยู่เหมือนกันกว่าท่านจะยอมให้อภัยและได้รักกันจวบจนทุกวันนี้และอย่างที่เห็นหลังจากท่านให้โอกาสและเริ่มต้นใหม่พ่อบุญธรรมก็ไม่เคยทำท่านเสียใจอีกเลย รักและดูแลท่านเสมอต้นเสมอปลายวันแรกเป็นยังไงวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเธอเก็บคำพูดของแม่บุญธรรมมาคิ