"ตื่น..จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน" เสียงตวาดดังลั่น และแรงเขย่าอย่างรุนแรงทำให้พระพายที่เพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อตีสามเพราะมัวแต่นอนร้องไห้สะดุ้งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการตื่นตระหนก
"คะ..คุณอลัน" รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งอัตโนมัติเมื่อปรือตาขึ้นมาเห็นชายหนุ่มที่ยืนทำหน้ายักษ์จับจ้องเธอด้วยแววตาเกรี้ยวกราดอยู่ข้างเตียง
เขาหายไปตั้งแต่เมื่อคืนเธอคิดว่าน่าจะหายไปหลาย ๆ วันแบบในนิยายที่เคยอ่านเสียอีกไม่คิดว่าตื่นมาก็ต้องเห็นหน้าเขาแล้ว
จากที่อาการง่วงงุนก็หายเป็นปลิดทิ้ง จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เข้าเพราะนี่ก็เพิ่งหกโมงเช้าเขาจะรีบปลุกเธอทำไมกัน "คุณอลันมีอะไรคะ"
"อย่าคิดว่าแต่งงานกับฉันแล้วจะได้อยู่อย่างสุขสบายนั่งชี้นิ้วสั่งเป็นคุณนายพระพาย ลุกขึ้นไปทำอาหารเช้าให้ฉันเดี๋ยวนี้" อลันออกคำสั่งอย่างเผด็จการพลางเอื้อมมือไปบีบข้อมือเล็กแรง ๆ "นับตั้งแต่วันนี้ไปเธอต้องทำทุกอย่างในบ้านด้วยตัวเองเพราะที่นี่ไม่มีแม่บ้านค่อยอำนวยความสะดวกสบายให้เธอ"
แรงบีบจากมือหนาสร้างความเจ็บให้พระพายไม่น้อยจนน้ำสีใสเอ่อคลอดวงตา พยายามบิดข้อมือออกจากบีบรัดแต่ก็เปล่าประโยชน์
เธอได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บไว้ไม่คิดโต้เพราะรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า ทว่าในใจก็อดสงสัยไม่ได้
เมื่อวานเธอเห็นว่ามีแม่บ้านสองสามคน แต่ผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืนแม่บ้านกลับไม่มีถ้าให้เดาเขาคงไล่ทุกคนไป แล้วให้เธอทำทุกอย่างเองเพราะต้องการทรมานเธอเหมือนที่ลั่นวาจาเอาไว้เมื่อคืน
"ปะ..ปล่อยมือพายสิคะ พายจะไปทำอาหารให้" เสียงสั่นเครือจากความเจ็บร้องท้วงเบา ๆ เมื่อพยายามบิดข้อมือออกจากการจับกุมของมือหนาเท่าไรก็ไม่เป็นผลจึงยกคำสั่งของเขามาเป็นข้ออ้าง
อีกคนยอมคลายมือออกแต่โดยดีเพราะเขาก็ไม่ได้พิศวาสหรืออยากแตะต้องตัวเธอเหมือนกัน ทันทีที่มือได้รับอิสระพระพายก็ผลุนผลันลงจากเตียงเดินออกจากห้องด้วยความเร็ว เธอเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้คนอันตรายอย่างเขาเท่าไรนัก
เธอเดินเข้ามาล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำสำหรับแขกที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน เมื่อเสร็จก็เดินเข้าไปเปิดตู้เย็นในครัวดูว่าพอมีอะไรจะทำอาหารได้บ้าง แต่ก็พบแค่ตู้เย็นว่างเปล่ามีเพียงน้ำอยู่ 2-3 ขวด
ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกจากจมูกโด่งรั้นพรืดใหญ่ เธอลืมคิดไปเสียสนิทเลยว่าเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ซึ่งเป็นเรือนหอที่พ่อแม่บุตรธรรมสร้างให้เธอกับชายหนุ่มเป็นของขวัญวันแต่งงานเมื่อวาน ของใช้ทุกอย่างภายในบ้านจึงยังไม่มีมันคงเป็นหน้าที่เธอที่ต้องจัดการทุกอย่างภายในบ้านสินะเพราะแม่บ้านก็ไม่มีสักคน
"จะยืนบื้ออีกนานไหม" ระหว่างที่พระพายกำลังยืนถอนหายใจซ้ำ ๆ เสียงทุ้มอันทรงพลังก็ดังขึ้นทางด้านหลังทำเอาเธอถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนหันหน้าไปตอบกลับเจ้าของประโยคแสนร้ายกาจด้วยความไม่เต็มใจมากนัก "ในครัวไม่มีอาหารสด ไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลยค่ะคงต้องออกไปซื้อก่อน"
"รู้แล้วก็ไปซื้อมาสิ" อลันเอ่ยเสียงดุกอดอกจับจ้องร่างบางตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์ ความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าในบ้านไม่มีของสด หรืออะไรที่พอทำอาหารได้เลย
ส่วนเรื่องแม่บ้านทั้งสามคนที่บิดาส่งให้มารับใช้เขาก็สั่งให้พวกเธอกลับไปนอนกินเงินเดือนอยู่ที่บ้านเฉย ๆ เพราะต้องการให้หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาทางนิตินัยทำทุกอย่างเองทั้งหมด เขาจะทรมานเธอทุกวิถีทางที่สามารถทำได้
พระพายเพียงมองใบหน้าคมคายแวบหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงออกไปไม่ได้ตอบอะไรกลับ ไม่อยากเสวนากับคนอัธพาลแบบเขาให้เสียเวลา แต่เหมือนอีกคนจะไม่ยอมเลิกราเดินตามมาสาดคำพูดเสีย ๆ ใส่เธออีก "จัดการเอาหมอน เอาผ้าห่ม แล้วก็ผ้าปูที่นอนที่เธอใช้เมื่อคืนออกไปทิ้งด้วยนะฉันรังเกียจ ของทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอเอาออกไปให้หมดเพราะฉันจะนอนห้องนั้น ส่วนเธอจะไปนอนที่ไหนก็เชิญ"
ร่างบางได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจพยายามอดทนอดกลั้นอย่างมากไม่ให้ตัวเองหันไปสวนกลับร่างสูง หากเธอน่ารังเกียจเขามันก็น่ารังเกียจยิ่งกว่าเธอเสียอีกรังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเขาเป็นเทพบุตรแต่สำหรับเธอเขาคือซาตานต่างหาก
"ค่ะ" เธอเปล่งเสียงตอบทั้งที่ยังยืนหันหลัง ว่าจบก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนจัดการเก็บทุกอย่างตามที่เขาสั่งโดยไม่ลังเล มันเป็นการดีสำหรับเธอเสียอีกที่ไม่ต้องสุ่มเสี่ยง และทนอยู่ร่วมห้องกับเขาให้อึดอัดใจ
เธอเลือกหอบสัมภาระตัวเองมาไว้ยังห้องริมสุดถัดจากห้องเดิมสองห้อง หลังจากเก็บของให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยก็อาบน้ำแต่งตัวเรียกแกร็บคาร์มารับเพื่อกลับไปเอารถของเธอที่บ้านพ่อแม่บุตรธรรม แล้วค่อยไปซื้อของเข้าบ้านเพราะสะดวกกว่าเรียกรถแท็กซี่หรือแกร็บคาร์
หลังจากแวะกลับไปเอารถที่บ้านพ่อแม่บุตรธรรมแล้วพระพายก็ขับรถตรงไปยังตลาดสดทันทีเพราะจะไปห้างก็ไม่ได้ตอนนี้แค่เจ็ดโมงเช้าห้างยังไม่เปิดเธอเดินเลือกซื้อเฉพาะของที่จำเป็นสำหรับทำอาหารในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ไก่ กุ้ง ปลาหมึก ผักสดและเครื่องปรุงต่าง ๆ เมื่อจ่ายตลาดเสร็จก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกจากจมูกโด่งรั้นเบา ๆ เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในบ้านก็พบกับร่างสูงที่นั่งไขว้ห้างกอดอกอยู่บนโซฟาในห้องโถง เธอแสร้งทำเหมือนไม่เห็นเขารีบส่าวเท้าเดินผ่านเข้าไปในครัว แต่ก็มิวายยังโดนอีกคนพูดจากระแทกแดกดันตามหลัง “ทำไมไม่กลับมาพรุ่งนี้เลยล่ะ ชักช้าไม่ได้เรื่อง”มือเรียวกำถุงข้าวของที่ถืออยู่แน่นข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อยากหันกลับไปบอกชายหนุ่มเสียจริงว่าให้ลองไปเองแล้วจะได้รู้ว่าตลาดสดกับบ้านมันอยู่ไกลกันแค่ไหน ไหนจะต้องเดินจ่ายตลาดขับรถไปกลับอีกใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถือว่าเร็วสุดแล้ว ทว่าถึงพูดไปคนอย่างเขาก็คงไม่ฟังเพราะจ้องจะหาเรื่องเธอตลอดเวลาอยู่แล้ว สู้เงียบปากแล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปดีกว่าไม่อยากจะต้องมาเสียเวลาทะเลาะกับเขาเธอเลือกทำข้าวต้มกุ้งเป็นอาหารเช้าให้ชายหนุ่มเพราะตอนอยู่
พระพายจัดการเก็บกวาดเศษแก้วและข้าวต้มที่สาดกระเซ็นทั่วพื้นเป็นบริเวณกว้างทั้งน้ำตานองหน้า แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนคนใจร้ายรังแกไม่พอแม้แต่เศษแก้วก็ยังรังแกเธอด้วยมันบาดเข้าที่นิ้วเธอจัง ๆ ในตอนที่กำลังหยิบใส่ที่โกยขยะ"โอ๊ย!" เธอนิ่วหน้าหลุดร้องด้วยความรู้สึกเจ็บมองแผลบนนิ้วชี้ที่มีเลือดสีแดงสดซึมออกมาด้วยแววตาไหวระริก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อลันเดินลงมาจากชั้นสองทำให้เห็นเหตุการณ์พอดี เขายืนมองร่างบางห่าง ๆ ไม่เข้าไปในทันทีจะรอดูปฏิกิริยาเธอสักหน่อยว่าเป็นยังไง น้ำตาที่ไหลอาบใบหน้านวลไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสาร หรือเห็นใจขึ้นมาสักนิด นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเธอจะต้องทุกข์ทรมานกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า"บ้าชะมัด! เกิดเป็นพระพายทำไมมันถึงได้รันทดขนาดนี้นะ" ด้านพระพายกลับไม่รู้ตัวเลยว่าถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาพึมพำออกมาอย่างตัดพ้อนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเองนัก ก่อนใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบพลาสเตอร์ในกล่องอุปกรณ์ทำแผลทว่าเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในตอนที่หันหลังกลับไปพบกับร่างสูงที่ยืนหน้าทมึงตึงจับจ้องมายังเธอราวกับจะกินเลือดกินเน
"อื้อ" พระพายตื่นมาในยามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ด้วยความรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบไม่ต้องกังวลอะไรเพราะไม่มีผู้ชายใจร้ายอยู่ร่วมชายคาตั้งแต่ออกไปเมื่อวานตอนเช้าเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งมันดีสำหรับเธอมาก ๆแต่ถึงแม้ไม่มีผู้ชายใจร้ายอยู่เธอก็ตื่นแต่รุ่งสางเพื่อออกไปจ่ายตลาดซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเช้าเผื่อเขากลับมาแผลงฤทธิ์ใส่เธอเหมือนวันก่อนอีก กันไว้ดีกว่าแก้ทำหน้าของตัวเองให้ดีที่สุดเขาจะได้ไม่ต้องมีเรื่องชวนเธอทะเลาะ"เฮ้อ" เธอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายพลางหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมาเปิดหน้าจอดูเวลาเมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีก็หกโมงเช้าจึงหยัดกายลุกลงจากเตียงเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน และเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขายาวสบาย ๆ จากนั้นก็เดินออกไปขึ้นรถขับตรงสู่ตลาดเธอใช้เวลาขับรถไปกลับ และจ่ายตลาดหนึ่งชั่วโมงพอดี ทว่าเมื่อมาถึงบ้านเธอก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เพราะรถของคนที่ไม่อยากเจออยู่นั่นหมายถึงเขากลับมาแล้วทำไมไม่หายหัวไปให้หลาย ๆ วันนะเธอได้แต่คิดก่อนถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักใจพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถเดินไปเอาของหลังรถแล้วเดินเข้าในบ้าน
ผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีอเมริกันเบรกฟัสท์ที่ถูกจัดวางบนจานสีขาวอย่างสวยงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะอาหาร ก่อนพระพายจะเดินไปเรียกคนที่นั่งเล่นมือถือบนโซฟาในห้องโถงต่อ “อาหารเสร็จแล้วค่ะ”“แต่ฉันไม่อยากทานแล้วเอาไปทิ้งถังขยะ” อลันละสายตาจากหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ ความจริงเขาไม่ได้อยากทานเบรกฟัสท์ตั้งแต่แรกแล้วที่สั่งไปก็เพราะต้องการกลั้นแกล้งหญิงสาวเท่านั้น เขาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันก่อนก้มมองหน้าจอมือถือต่อพร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง “เทอาหารทิ้งแล้วก็ชงกาแฟมาให้ฉันด้วย”“ฉันไม่ใช่คนใช้คุณ อยากดื่มก็ไปชงเองสิคะ” ความอดทนอดกลั้นของพระพายขาดสะบั้นลงสวนกลับชายหนุ่มเสียงแข็งกร้าว จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาเขม็งกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เธอยอมก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้เขาโขกสับได้ทุกเรื่องแบบนี้ ว่าจบก็หมุนตัวเดินออกไปให้พ้น ๆ ผู้ชายใจร้าย“พระพาย!” อลันถึงกับกัดฟันกรอดจนกรามเคลื่อนกับท่าทางแข็งข้อของหญิงสาว ลุกเดินตามไปคว้าแขนเล็กแล้วกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้าทำให้ร่างบางที่กำลังสาวเท้าเดินเสียหลักตัวหมุนติ่วเซถลาปะทะอกแกร่งอย่างแรงปึก! ใบหน้าเรียวชนกับแผงอกกว้างดังปึกสร้างความเจ็
@บ้านวิโรจน์อัครโชติรถคันหรูที่มีอลันและพระพายนั่งอยู่ด้านในเคลื่อนมาจอดลงยังบ้านวิโรจน์อัครโชติในเวลาเที่ยงตรงพอดิบพอดีพระพายที่นั่งตัวเกร็งมาตลอดทางลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกโล่งขณะเปิดประตูลงจากรถราวกับได้หลุดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอก็รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากรังสีความอำมหิตของอีกคนที่แผ่กระจายภายในรถทำให้เธอไม่แม้แต่จะกล้าหายใจแรง ๆ หรือกระดิกตัวเลยหลังจากก้าวลงจากรถเธอก็รีบส่าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านทันทีไม่ใช่เพราะรีบร้อน แต่ต้องการอยู่ห่าง ๆ อีกคน ทว่าเท้าเล็กก็ต้องหยุดชะงักฉับพลันเมื่อเสียงทุ้มดังตามหลังมาด้วยประโยคแกล้มข่มขู่"หวังว่าเธอจะรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด และรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวยังไงต่อหน้าพ่อแม่ฉัน" "รู้ค่ะ"เธอกลอกตามองบนลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเปล่งเสียงตอบทั้งที่ไม่หันไปมองเจ้าของเสียงสักนิด ว่าจบก็ส่าวเท้าเดินต่อด้วยความเร็ว"สวัสดีค่ะแด๊ดดี๊ มามี๊" จากที่ใบหน้าบึ้งตึง อารมณ์ขุ่นมัวเธอก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นหน้าผู้มีพระคุณทั้งสอง ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับพวกท่านเอวากับภาคินพยักหน้ารับด้วยใ
"เธอจงใจให้ทุกคนเห็นรอยที่คอใช่ไหมพระพาย" ทันทีที่หญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถเสียงทุ้มก็เปล่งถามทันที แววตาราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นดุดันในทันตา"ฉันรีบจนลืมปกปิดรอย" พระพายตอบตามจริงพร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นดั่งที่เธอคิดไว้ไม่มีผิดว่าพอลับสายตาพ่อแม่ชายหนุ่มคงหาเรื่องเธอ ว่าจบก็เบือนหน้าหนีไปทางกระจกรถ"เหรอ" อลันหาได้เชื่อทุกคำพูดที่หลุดออกจากริมฝีปากอวบอิ่มไม่แต่ก็เลือกจะไม่พูดอะไรต่อกระชากรถออกจากบ้านอย่างแรงจงใจกลั้นแกล้งอีกคน"ว้าย!" ทำให้พระพายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจร่างถลาไปด้านหน้า หน้าคะมำชนคอนโซลรถดังปึก ใบหน้าเรียวเหยเกน้ำตาคลอหน่วยด้วยความรู้สึกเจ็บ แรงกระแทกกับคอนโซลรถสร้างความเจ็บให้เธอไม่น้อย มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าผากปอย ๆ นัยน์ตาที่มีน้ำสีใสปริ่มอยู่ปรายมองเจ้าของการกระทำห่าม ๆ อย่างโกรธเคืองถามว่าอลันรู้สึกรู้สากับสายตาอาฆาตและการกระทำของตัวเองไหมตอบเลยว่าไม่รู้สึกสะใจมากกว่าที่เห็นความเจ็บปวดของเธอ แววตาดุดันปรายมองร่างบอบบางที่นั่งลูบหน้าผากปอย ๆ แวบหนึ่งแล้วดึงสายตากลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อไม่พูดไม่จาหรือทำอะไรต่อภายในรถถ
"โอ้ย!" เสียงครวญครางดังเล็ดลอดออกจากริมฝีปากอวบอิ่มของร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงเบา ๆ ความบอบช้ำบริเวณท้องน้อยทำให้เธอรู้สึกร้าวระบมไม่น้อยเมื่อขยับเขยื้อนตัวจนต้องเลื่อนมือไปกุมหน้าท้องไว้ ขณะที่เปลือกตาบางค่อย ๆ ปรือขึ้นมาช้า ๆ ด้วยอาการหนักอึ้งในสมอง"กรี๊ด! อย่า" ทว่าริมฝีปากอวบอิ่มก็เผยอร้องออกมาเสียงหลง ดวงตาเบิกโพลงเมื่อภาพเห็นการณ์เมื่อคืนฉายขึ้นในโสตประสาท ดีดตัวลุกขึ้นนั่งกอดเข่าชิดหัวเตียงด้วยความหวาดกลัวสุดขีดลืมเจ็บไปชั่วขณะ เนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกแมวตกน้ำ น้ำตาไหลพรากลงอาบสองแก้มนวล"พายเป็นอะไร" สร้างความตกใจให้กับอคินและแฟนสาวที่กำลังเปิดประตูเข้ามาเป็นอย่างมาก อคินรีบวิ่งไปสวมกอดร่างสั่นเทาแน่นพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบางเบา ๆ ปลอบประโลม "ไม่เป็นไรแล้วพาย มึงปลอดภัยแล้ว""ฮึก! ฮื่อ!""ไม่..พายกลัว ผู้ชายคนนั้นจะข่มขืนพายมันข่มขืนพาย" คำปลอบประโลมจากอคินไม่ได้ทำให้พระพายรู้สึกดีขึ้นเลย ส่ายหน้าไปมาระรัวร้องบอกทั้งน้ำตานองหนาวราวกับคนสติแตกรับไม่ได้เพียงคิดว่าตัวเองถูกกระทำมิดีมิร้ายสภาพของเธอในตอนนี้สร้างความสะเทือนใจให้อคินกับของขวัญเป็นอย่างมาก ของขวัญถึงกับน้ำตาคลอ
หลายวันต่อมา.."พายมึงอยู่ห้องคนเดียวได้ใช่ไหม ฉันกับน้องขวัญจะออกไปธุระข้างนอกสักแป๊บ" เสียงอคินดังขึ้นทำให้พระพายที่นั่งก้มหน้าเล่นมือถือบนโซฟาในห้องนั่งเล่นละสายตาหน้าจากหน้าจอเงยขึ้นพยักหน้ารับ "ได้สิ""งั้นกูกับน้องไปก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรหากูได้ตลอดนะ" อคินพูดทิ้งท้ายแล้วจูงมือแฟนสาวเดินออกจากห้องไป พระพายมองตามหลังคนทั้งสองจนประตูปิดลงจึงเอนกายวางศีรษะบนพนักโซฟาจับจ้องเพดานสีเทาที่มีลวดลายสวยงามด้วยสมองหนักอึ้งหลังจากออกจากโรงพยาบาลเธอก็มาอยู่ที่คอนโดอคินเลย อาการหวาดผวาจากเหตุการณ์ในคืนนั้นดีขึ้นมากแล้วเพราะมีของขวัญคอยดูแลไม่ห่าง บ้างก็ชวนเธอทำนู่นทำนี่จนไม่มีเวลาจมอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ ตอนกลางคืนของขวัญก็มานอนเป็นเพื่อนแล้วให้อคินนอนอีกห้องหนึ่งส่วนตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอเจอเหตุการณ์เลวร้ายก็หายไปเลยนับตั้งแต่วันนั้น นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วตอนแรกเธอก็แอบกังวลว่าเขาจะมาพาตัวเธอกลับไปแต่วันแล้ววันเล่าก็ไร้เงาของเขาไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้า หรือข้อความจากเขาซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับเธอมาก ๆ แม้จะแอบแปลกใจมากก็ตามการอยู่ที่นี่ทำให้เธอสบายใจกินอิ่มนอนหลับไม่ต้องคอยกังวลว่าจะโดนคนใจร้า
1 ปีต่อมา.."คุณพ่อพักผ่อนบ้างนะครับน้องพีร์กับคุณแม่เป็นห่วงครับ" น้ำเสียงเล็กหวานหูดังขึ้นทำให้อลันที่นั่งเอนกายพักผ่อนสายตาอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นระบายยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมกับปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียง ซึ่งไม่ใช่บุตรชายแต่เป็นเมียสาวที่ทำน้ำเสียงเลียนแบบบุตรชายต่างหากคงเพราะเห็นเขาเครียดกับการตามหาน้องสาวฝาแฝดอย่างอลินดาจึงอยากทำให้ยิ้มได้ และมันก็ได้ผลบุตรชายกับเมียสาวก็เหมือนที่ชาตพลังชั้นดีของเขา"งั้นพ่อขอเติมพลังจากน้องพีร์กับคุณแม่หน่อยได้ไหมครับ" มือหนาเอื้อมไปรั้งร่างบอบบางที่ยืนอุ้มลูกน้อยอยู่ตรงหน้าให้นั่งลงบนตักกอดเธอไว้หลวม ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงหอมแก้มซ้ายขวาบุตรชายฟอดใหญ่แล้วกดจูบลงบนไหล่มนของเมียสาวต่อ ขณะที่พระพายนั้นใช้แขนโอบไหล่กว้างข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างอุ้มบุตรชายไว้บนตัก"ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพี่อลินไหมคะ" ดวงตากลมโตมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเห็นใจ ตั้งแต่น้องสาวฝาแฝดหนีไปในวันแต่งงานคนเป็นสามีก็ดูจะเครียดมากเพราะงานแต่งถูกจัดอย่างใหญ่โตเชิญแขกมาไม่รู้กี่พันคน คนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างคือพ่อแม่ท่านทั้งสองเครียดมาก แม่บุญธรรมเป็นลมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผลที่ตามมาจากการก
เสียงเนื้อกระทบเคล้าเสียงครางหอบของคนทั้งสองดังระงมทั่วรูฟท็อปโชคดีที่อลันบอกให้พนักงานทุกคนกลับไปหมดแล้วที่นี่จึงเหลือเพียงเขากับเธอสองคน บทรักดำเนินไปอย่างนุ่มนวลภายใต้แสงดาว แสงเทียน และแสงสีของเมือง บรรยากาศรอบ ๆ บริเวณอบอวลไปด้วยแรงสวาทของทั้งสองสายลมที่ว่าเย็นก็ไม่สามารถดับความร้อนรุ่มนี้ได้"ผมรักคุณนะ" ริมฝีปากร้อนผละจูบเอื้อนเอ่ยชิดกลีบปากอวบเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับตระกองกอดร่างบอบบางแนบแน่นจนทรวงอกเต่งตึงบดเบียดกับมัดกล้ามเนื้อ ขณะที่สะโพกสอบก็ตอกตรึงฝากฝังตัวตนอย่างหนักหน่วง ร่างบอบบางเสียวซ่านจนเกินจะบรรยายหลับตาพริ้มส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา ช่องทางรักบีบรัดท่อนเนื้อที่สอดใส่เข้าออกรัวเร็วถี่ ๆอลันขบกรามกรอดด้วยความเสียวซ่านพร้อมกับผละตัวออกจับร่างบอบบางนอนตะแคง จากนั้นจึงนอนซ้อนหลังสอดแขนเข้าไปใต้ศีรษะทุยประคองใบหน้าเรียวให้หันมารับจูบแสนดูดดื่มพลางเสือกไสท่อนเนื้อเข้าสู่ร่องอ่อนนุ่มอีกครั้งเขายกขาเรียวขึ้นพาดแขนแล้วกระหน่ำแทงจนร่างบอบบางสั่นคลอน ทรวงอกเต่งตึงกระเพื่อมสั่นไหวราวกับยั่วยวนจนเขาอดไม่ได้ต้องตะปบแล้วบีบขยำแรง ๆ ใบหน้าก็ซุกไซ้คลอเคลียใบหูเล็ก ขบเม้มติ่งหูเ
หลังจากทานอาหารเสร็จสองหนุ่มสาวก็นั่งจิบไวน์ต่อ ดื่มด่ำกับบรรยากาศภายใต้ท้องฟ้าอันปลอดโปร่งมีดวงดาวน้อยใหญ่พราวระยับท่ามกลางความสลัวที่มีเพียงแสงไฟจากเทียนรอบบริเวณรูฟท็อป และแสงสียามค่ำคืนของเมืองกรุงให้ความสว่างร่างบอบบางที่อยู่ในอาการเมากรึ่มวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะแล้วลุกไปยืนชิดระเบียงกระจกทอดสายตาหวานฉ่ำมองแสงสียามค่ำคืน ใบหน้าแดงซ่านจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เคลือบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ เคล้าด้วยกลิ่นหอมหวานจากเทียนหอมมีเสียงเพลงบรรเลงคลอเบา ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก"ขโมยกอดพายอีกแล้วนะคะ" เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกสวมกอดจากด้านหลังเอียงหน้าเอ่ยอย่างไม่จริงจังมากนักพลางระบายยิ้มบาง ๆ ไม่คิดจะผลักไสร่างสูงออกเพราะกำลังรู้สึกหนาวพอดีได้ไออุ่นจากร่างกำยำก็ค่อยคลายความหนาวลงหน่อย"งั้นขออนุญาตนะครับ" อลันหยอกล้อกลับด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพลางกระชับกอดร่างบอบบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป ริมฝีปากหนากดจูบขมับอย่างรักใคร่ ก่อนผละกอดออกจับไหล่มนหมุนให้ร่างบางหันมาสบสายตาสื่อความในใจสองสายตามองสบประสานอย่างลึกซึ้งเนิ่นนานหลายนาทีเหมือนมีแรงดึงดูดมิอาจละสายตาจากกันได้ ก
วันนี้เป็นวันหยุดของอลันเขาจึงพาลูกเมียไปหาพ่อแม่ที่บ้านนั่งคุยกับพวกท่านจนเริ่มบ่ายคล้อยจึงพาลูกน้อยมานั่งเล่นที่สวนสาธรณะต่อเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เมื่อมาถึงสวนสาธรณะเขาก็เดินหาทำเลเหมาะ ๆ สำหรับปูเสื่อนั่งชมบรรยากาศโดยมีพระพายอุ้มลูกน้อยเดินเคียงข้างไป"ตรงนี้แหละ" เขามองหาบริเวณที่คนไม่พลุกพล่านและมีต้นไม้ให้ความร่มรื่นพอได้ดั่งต้องการก็หันไปบอกกล่าวกับร่างบอบบางข้าง ๆ พร้อมกับวางตระกร้าใส่สัมภาระลูกลง แล้วเอาเสื่อที่เตรียมมาปูบนพื้นหญ้าสีเขียวชะอุ่มที่ถูกตัดจนเรียบไปกับผืนดินจากนั้นก็พากันนั่งลง"มาหาพ่อครับน้องพีร์" เขาเอี้ยวตัวไปยกลูกน้อยจากตักของคนเป็นแม่มายืนบนตักเพราะอยากให้เธอได้นั่งสบาย ๆ ซึ่งพระพายก็ไม่ได้ขัดอะไรจ้องมองเขาก้มหน้าพูดคุยกันลูกบนตักพลางระบายยิ้มออกมาบาง ๆ พ่อก็ชวนลูกคุยเก่งส่วนลูกก็คุยเก่งไม่แพ้กันส่งเสียงอ้อแอ้ตลอดเวลา พอโดนคนเป็นพ่อหยอกเย้าหน่อยก็หัวเราะออกมาจนเธอเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย"ผมพาลูกเดินเล่นหน่อยดีกว่า" ผ่านไปสักพักอลันก็ลุกพาลูกเดินชมนกชมไม้รับลมเย็นโดยมีพระพายมองตามไม่คาดสายตาใบหน้าของเธอเคลือบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลากระทั่งสองคนพ่อลูกเดินกลับ
จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปยังโต๊ะอาหาร"กินเยอะ ๆ ครับคุณแม่" ระหว่างทานอาหารอลันก็คอยตักนู่นตักนี้ใส่จานให้หญิงสาวตลอด อีกคนเพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนยกกับข้าวที่เขาตักให้ใส่ปากอย่างไม่รังเกียจ ทุกครั้งที่ทานข้าวด้วยกันเขามักทำแบบนี้เสมอจนมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว"เริ่มหลงรักผมขึ้นบ้างหรือยัง" แค่ก ๆ! ทว่าเธอก็ต้องสำลักข้าวในวินาทีต่อมาเมื่อเจอกับประโยคจากริมฝีปากหนาทำเอาเจ้าของคำถามต้องรีบลุกจากเก้าอี้วิ่งมาลูบหลังแผ่นหลังบางด้วยความเป็นห่วง "มันใช่เวลาพูดไหมเนี่ยคุณอลัน" เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นพระพายก็หันมองร่างสูงที่ยืนข้าง ๆ เขม็งพร้อมกับใช้มือหยิกหน้าท้องแกร่งเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ เขาพูดตอนทานข้าวไม่พอยังพูดต่อหน้าแม่บ้านสองคนที่ยืนอยู่ด้วยมันใช่เวลาพูดเสียที่ไหนเธอทั้งอายทั้งนึกโมโหเขาจริง ๆ "ผมเจ็บนะ" คนถูกหยิกร้องโอยพลางกลั้วหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ พวงแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั้นไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเขินกันแน่ มือหนาอดไม่ได้จะยื่นไปบีบด้วยความรู้สึกมันเขี้ยว "เอามือออกไปเลยนะ" ยิ่งทำให้คุณแม่ลูกหนึ่งรู้สึกอายและนึกโกรธเข้าไปอีกแหวใส่คนตัวโตเสียงดังลั่นพร้อมกับยื่
หลายเดือนต่อมา..อลันที่เพิ่งกลับมาจากทำงานระบายยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วเห็นพระพายกำลังนั่งชมลูกน้อยอยู่ในห้องโถง จากที่รู้สึกเหนื่อยล้ามาจากการทำงานก็หายเป็นปลิดทิ้ง นี่ก็เข้าสามเดือนแล้วที่เขา เธอและลูกกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันนับตั้งแต่วันออกจากโรงพยาบาล ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเริ่มดีขึ้นตามลำดับเพราะมีลูกน้อยเป็นตัวเชื่อม "กลับมาแล้วครับ" เขาเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างร่างบอบบาง ก่อนจะโน้มใบหน้าลงหอมแก้มลูกน้อยที่นอนอยู่บนตักเธอฟอดใหญ่จากนั้นก็ผงกหน้าขึ้นเอื้อนเอ่ยกับลูกน้อยที่นอนตาใสแป๋วส่งเสียงอ้อแอ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "วันนี้น้องพีร์กวนคุณแม่รึเปล่าครับ" พระพายก้มมองคนที่กำลังหยอกล้อบุตรชายอยู่บนตักด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วเพราะทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะหอมแก้มซ้ายแก้มขวาบุตรชายก่อนเสมอ พอกลับมาตอนเย็นสิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือเข้ามาหอมมาเล่นกับลูกเช่นกัน "เหนื่อยไหม" เมื่อหยอกล้อบุตรชายจนพอใจอลันก็ถามไถ่คนเป็นแม่ต่อพร้อมวางมือลงบนไหล่มนด้วยความเอ็นดู เขารู้ว่าการเลี้ยงลูกมันเหนื่อยแค่ไหน "ไม่เลยค่ะ" ใบหน้าเรียวยิ้มตอบเธอจะเ
อลันรับซองสีน้ำตาลจากมือผู้เป็นพ่อมาเปิดด้วยความสงสัย ก่อนจะต้องรีบช้อนสายตาขึ้นมองหน้าพ่อแม่ด้วยความตกใจเมื่อเห็นเอกสารด้านในไม่คิดว่าท่านจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ภาคินกับเอวาเพียงระบายยิ้มให้บุตรชายบาง ๆ ก่อนจะก้มหน้าชื่นชมหลานต่อสองชั่วโมงต่อมาพระพายที่ผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ของยาแก้ปวดก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของลูกน้อย "โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ไม่ร้องนะครับ โอ๋ ๆ" ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเธอก็ต้องอมยิ้มกับภาพที่อลันกำลังอุ้มลูกพร้อมทั้งโอ๋ทั้งกล่อมด้วยสีหน้าแตกตื่น ในขณะเดียวกันก็อดแปลกใจไม่ได้เขาไปเรียนรู้วิธีการอุ้มลูกมาจากไหนกันดูท่าทางคล่องปรือเชียว "ลูกคงหิวนม" เธอได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเปล่งเสียงพูดไปเพราะไม่อยากปล่อยให้ลูกร้องนาน ๆ "คุณตื่นแล้วเหรอ" อลันที่กำลังยืนโยกบุตรชายหยุดชะงักการกระทำ แล้วรีบพาลูกไปวางลงบนเตียงทันที"คุณเอาลูกมาวางฝั่งนี้ดีกว่า" พระพายรีบบอกกล่าวก่อนที่ชายหนุ่มจะได้วางลูกลงบนเตียงข้างขวาทำให้อลันถึงกับชะงัก แต่ก็ยอมอุ้มลูกไปวางบนเตียงอีกฝั่งในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอต้องให้เขาวางลูกฝั่งซ้ายทั้งที่ใั่งขวาน่าจะถนัดกว่าเมื่อวางลูกลงบนเตียงแล
หลังจากผ่าคลอดเสร็จพระพายก็ถูกนำตัวกลับมายังห้องพัก ส่วนลูกน้อยยังคงอยู่กับพยาบาลตลอดการคลอดพระพายรับรู้และมีสติดีทุกอย่างเพราะหมอใช้วิธีฉีดยาชาเข้าสู่บริเวณไขสันหลังไม่ได้วางยาสลบตอนผ่าคลอดเธอทั้งรู้สึกกลัวและตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นไปหมด แต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงลูกร้องอาการเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้นกลายเป็นน้ำตาแห่งความสุขที่เอ่อล้น และรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีมาแทนที่ ยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าของลูกน้อยที่รอคอยมันตื้นตันจนยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ มันเป็นความเจ็บปวดที่งดงามมาก ๆ"เอ๊ะ!" เธอขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความแปลกใจในตอนที่เข้ามายังห้องพักแล้วพบว่าห้องถูกตกแต่งด้วยลูกโป่งมากมาย บนผนังหัวเตียงมีลูกโป่งตัวอักษรสีฟ้าขาวเรียงกันเป็นคำว่า 'Welcome Baby boy peerawit'และยังมีลูกโป่งรูปหน้าเด็กประดับอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังข้อความ ข้าง ๆ หัวเตียงก็มีลูกโป่งน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่ทำให้เธออดยิ้มไม่ได้ทั้งที่กำลัวรู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของทุกคนในห้องนี้แน่นอนเพราะแต่ละคนออกอาการเห่อหลานเอามาก ๆ คนเป็นแม่อย่างเธอก็พลอยปลื้มใจแทนลูกไปด้วยที่มีคนรักเขามากมายเ
และแล้วเวลาก็ดำเนินมาถึงวันที่พระพายถึงกำหนดคลอด เธอมานอนเตรียมตัวผ่าคลอดที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานโดยมีอลันเป็นคนเฝ้า และเขาก็ดูจะตื่นเต้นกว่าคนคลอดอย่างเธอเสียอีก หลังจากลองเปิดใจตามคำพูดของแม่บุญธรรมที่ท่านพูดให้เธอฟังในคืนวันแรกที่กลับมาจากเชียงคานก็ทำให้เธอได้เห็นด้านดี ๆ ของเขามากขึ้นแม่บุญธรรมเล่าให้เธอฟังว่าเมื่อก่อนท่านกับพ่อบุญธรรมก็มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับเธอ คือถูกเข้าใจผิดจนนำมาสู่เรื่องราวอันเลวร้ายต่าง ๆ ตอนนั้นท่านก็เกลียดพ่อบุญธรรมมาก แต่พอเวลาผ่านไปท่านก็ได้เรียนรู้ว่าการอาฆาตแค้น และเกลียดชังมีแต่บั่นทอนจิตใจ และทำลายความสุขของตัวเองท่านจึงยอมปล่อยวาง ตอนนั้นพ่อบุญธรรมก็เหมือนอลัน ถูกความโกรธแค้นเข้าครอบงำจนหูตาพร่าเบลอไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อรู้ความจริงพ่อบุญธรรมก็ยอมหยุดการแก้แค้น แล้วตามง้อและพิสูจน์ตัวเองกับท่านนานอยู่เหมือนกันกว่าท่านจะยอมให้อภัยและได้รักกันจวบจนทุกวันนี้และอย่างที่เห็นหลังจากท่านให้โอกาสและเริ่มต้นใหม่พ่อบุญธรรมก็ไม่เคยทำท่านเสียใจอีกเลย รักและดูแลท่านเสมอต้นเสมอปลายวันแรกเป็นยังไงวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเธอเก็บคำพูดของแม่บุญธรรมมาคิ