หญิงสาวมองสระน้ำเบื้องหน้า ช่างงดงามดั่งภาพวาด นางถลาวิ่งไปดูปลาที่แหวกว่ายในสระน้ำ ไม่ไกลนักมีเด็กชายตัวน้อยก้ม ๆ เงย ๆ ยื่นแขนไปในน้ำหมายจับปลาแสนสวยเหล่านี้‘เด็กน้อย นั่นปลา มิใช่หมาแมวที่จะลูบหัวเล่น’เหมยซิงส่ายหน้าไปมา นางไม่ได้ฟังสิ่งที่ผิงอันพูด แต่พอนางเงียบก็นึกขึ้นได้จึงสบตากับผิงอัน สาวงามตรงหน้าขึงตาใส่ นางพูดจาหวังดีกับหญิงคนนี้ไปตั้งเยอะไม่ให้นางปีนป่ายขึ้นที่สูงตกลงมามันเจ็บนัก ซ้ำบอกอีกว่านางคือคนที่คู่ควรกับท่านอ๋องเท่านั้นหญิงผู้นี้น่าตายนัก! นางพูดจนคอแห้งแต่กลับไม่ฟังเลยสักคำเหมยซิงยิ้มแหย แต่สายตานางมองไปด้านหลังของผิงอัน เด็กชายยื่นมือไปสุดแขน จนครึ่งร่างออกไปจากขอบตลิ่ง นางรีบวิ่งพรวดพลาดไปทันที แต่ไม่อาจคว้าร่างเด็กชายได้ทันตูม!!!ผิงอันตกใจหันไปมอง นางมิทันเห็นว่าสิ่งใดล่วงลงไปในน้ำ เห็นเพียงเหมยซิงกระชากเสื้อตัวนอกสีเขียวสดออกแล้วกระโจนลงน้ำไปทันทีอะไรกัน! นางพูดแค่นี้ถึงกับกระโดดน้ำตายแล้วหรือ!เหมยซิงแหวกสายน้ำพยายามคว้าร่างเล็กที่จมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าบ้า ๆ นี่รั้งนางให้เคลื่อนไหวได้ช้านัก นางว่ายน้ำไปถึงตัวเด็กน้อยที่ตกใจสุดขีดมือไม้เปะป
“ดีแล้ว ขุดรากต้องถอนโคน จัดการเสียให้สิ้นซากจะได้ไม่เป็นภาระในภายหลัง” นางพยักหน้ารับรู้ เป็นจังหวะเดียวกับที่นางกำนัล และหมอหญิงออกมาจากห้องด้านใน ซุนเว่ยหมินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองข้ามร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเบื้องหน้าไปหยุดที่ร่างของเหมยซิงที่สวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่นางสวมเข้ามาพร้อมเขาในวังหลวงแล้ว ใบหน้ายามนี้ไร้แป้งผัดหน้า และไม่ได้แต้มแต่งสีสันฉูดฉาด ผมเผ้านางกำนัลก็ช่วยเช็ดให้จนแห้งสนิทไม่ได้เกล้ามวยเป็นพิเศษ เพียงแค่ปักปิ่นมุกน่ารักรวบเส้นผมให้นางไม่ปรกลงมาปิดหน้าตา “เป็นอย่างไรบ้าง” ซุนเว่ยหมินเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มก็เบาใจ “แม่นางเหมยมีบาดแผลประหลาดนักเพคะ บาดแผลดูปิดสนิทดีแต่ยังมีเลือดไหลซึมออกมา” หมอหญิงรายงาน “ให้หมอหลวงมาตรวจดูอีกทีดีหรือไม่” เต๋อเฟยเห็นหญิงสาวที่สลัดคราบหญิงโง่ออกแล้วก็พึงพอใจอยู่หลายส่วน “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันมิได้เจ็บอะไรมากมาย ประเดี๋ยวก็หายเอง” เหมยซิงกล่าวอย่างสุภาพแล้วเดินช้า ๆ เข้ามาใกล้ ส่งยิ้มน้อย ๆ แล้วย่อตัวคารวะอย่างรู้มารยาท ผิดแผกกับก่อนหน้านี้ลิบลับ ด้วยคว
แต่ดูเหมือนจะช้าไป ร่างงามสง่าก้าวเข้ามาพร้อมจูงมือเด็กชายวัยสิบสองปีเข้ามาด้วย เหมยซิงขยับเท้าไปด้านหลังใช้แผ่นหลังของซุนเว่ยหมินบังตนเองไว้ นางจึงไม่ทันเห็นแววตาขบขันของชายหนุ่ม‘ทำไมไม่เก่งให้ตลอด ทีเมื่อครู่ยังกระโดดลงน้ำไปหน้าตาเฉย!’ หากไม่เพราะเขาเดินผ่านมาเส้นทางนี้เพื่อไปพบไทเฮาและฮองเฮาพอดี คงไม่เห็นว่านางสวมอาภรณ์สีสันแสบตา ไม่ใช่ชุดที่เขาให้นางใส่ แม้จะเห็นไกล ๆ รู้ว่านางถูกกลั่นแกล้ง แต่คนอย่างนางนะรึจะถูกแกล้งง่าย ๆ“จะกลับกันแล้วรึ”“พะย่ะค่ะ” ซุนเว่ยหมินกล่าว “แม่นางเหมยซิงไม่ค่อยสบายกระหม่อมขอพานางกลับไปพักผ่อนที่จวนพะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ชาชินกับกิริยาที่ไร้ความนอบน้อมของซุนเว่ยหมิน แต่กระนั้นเขาก็คือคนที่พระองค์ไว้ใจให้รับตำแหน่งจวิ้นอ๋องพร้อมกับกองทหารลับหนึ่งแสนนาย เพื่อเป็นกำลังให้องค์รัชทายาทที่ยังอายุน้อย“ได้ยินว่าแม่นางน้อยผู้นั้นช่วยชีวิตองค์รัชทายาท เขารบเร้าอยากมาขอบคุณด้วยตนเอง ข้าจึงพามาถึงตำหนักของเต๋อเฟย”‘แค่ช่วยเด็กตกน้ำ อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ นางยังวางแผนกลับไปทำกิจการเล็ก ๆ ดูแลพ่อบุญธรรมและน้อง ๆ อีกนะ’“นางเป็นสตรีของเว่ยหมินเพคะ” เต๋อเฟยแน
ริมฝีปากหนาขยับออกให้หญิงสาวได้สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ใบหน้าคมเข้มนั้นมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเขาจึงทำหน้าตึงตามเดิม“ปะ..ปล่อย...ปล่อยนะ” เหมยซิงไม่คิดว่าเสียงตัวเองจะแผ่วเบาถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่าชายที่นางแบกหามขึ้นบ่ามาสิบวันนั้นจะมีเรี่ยวแรงมากถึงเพียงนี้ เอ๊ะ! ไม่ถูกซิ นางไม่เคยแบกร่างซุนเว่ยหมินเสียหน่อย นางแบกร่างขอหานหงปิงต่างหากใช่แล้ว...นั่นมันร่างของหานหิงปิงต่างหากแต่นี่คือ...ซุนเว่ยหมินอาศัยช่วงจังหวะที่นางเหม่อลอย เขาขยับสาบเสื้อของนางให้เลื่อนลง ผิวกายเนียนละเอียดเผยเบื้องหน้า แม้จะมีเอี๊ยมสีขาวปกปิดทรวงอกคู่งามอยู่“นี่! เจ้าจะทำอะไร!” หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวรีบรวบสาบเสื้อมาปิดทับไว้“ข้าจะดูแผลของเจ้า”“ไม่เอา! ดูไม่ได้นะ” นางกระถดตัวหนีแต่ร่างสูงใหญ่ยังตามคร่อมร่างนางเสียงแค่นหัวเราะในลำคอของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา ใบหน้าหวานส่ายหน้าไปมาผลักมือที่ยื่นเกี่ยวสายเอี๊ยมให้หลุดออก ผ้าพันแผลที่พันรอบอกของนางทำให้หัวใจของเขาสะท้านยิ่งนัก ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้เห็นบาดแผลของนางก็ให้หมอหญิง และหญิงรับใช้ใส่ยาให้
เห็นแววตาวาวโรจน์ และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาแล้ว เหมยซิงรู้สึกแปลก ๆ พิกลอย่างไรไม่รู้ นางขยับตัวถอยห่างแต่ยังช้าไป อีกฝ่ายเพียงยื่นแขนมาคว้านางไว้ก่อนที่นางจะพลิกตัวหนี ใช้เพียงฝ่ามือเดียวดันแผ่นหลังของนางมาชิดแผ่นอกแกร่งของเขา นางกลัวเขาจะฉกจูบนางอีกรีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายไว้ก่อน จากประสบการณ์นางดันเขาไม่ออก ต้องปิดปากเขาไว้ก่อนจะจูโจมนาง “ห้ามจูบข้าอีก!” นางต่อว่าเขาขึงตาใส่แต่ใบหน้าแดงจัด “ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นอะไรกัน ห้ามทำรุ่มร่ามอีก” “ไม่-ได้-เป็น-อะไร-กัน!” ซุนเว่ยหมินพูดย้ำที่ละคำ หากผู้อื่นอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ คงได้เข่าอ่อนเป็นลมล้มพับไปแล้ว แต่เหมยซิงที่อยู่ในวงแขน และริมฝีปากหยักของเขาขยับอยู่ที่ฝ่ามือของนาง หญิงสาวชักมือกลับรู้สึกเขินอายมากกว่าขลาดกลัว “ระหว่างเดินทาง เจ้าเรียกข้า ‘สามี’ ทุกคำ” น้ำเสียงของเขาไม่พอใจจริง ๆ “เจ้าก็รู้ว่าข้าจำใจ” นางรีบพูดขึ้น แต่เหมยซิงเข้าใจไปว่าเขาโกรธเพราะนางเรียกเขาว่า ‘สามี’ ทั้งที่เขากับนางไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น “จำใจ!” เขาเกือ
“ข้าให้คนส่งข้าวสารอาหารแห้งไปที่บ้านของเจ้าแล้ว พ่อของเจ้าจึงได้ฝากจดหมายฉบับนี่มา” หานหงปิงเอ่ยสลับกับไอเป็นระยะ ๆ“ขอบคุณเจ้ามาก” จำได้ว่าก่อนมาอยู่กับซุนเว่ยหมิน เขาได้สั่งคนเป็นธุระจัดการเรื่องทางบ้านให้นาง “ทำไมเจ้ายังไอหนักเช่นนี้อีก ไม่ได้กินยาหรือ?”“ก็เพราะว่า...” พ่อบ้านหวางมู่อ้าปากพูดยังไม่ทันจบคำ หานหงปิงส่งสายตาคมปราบห้ามไว้ก่อน“อะไรรึ” นางหันไปทางพ่อบ้านแต่เขาไม่ยอมพูดอะไรต่อ นางจึงหันมามองหน้าขาวซีดของหานหงปิงแทน แต่เขาก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ เช่นเคย“อย่าคิดมาก ข้าแค่มาเยี่ยมเจ้าพร้อมส่งข่าวเรื่องบิดาของเจ้า เสร็จธุระก็จะกลับแล้ว” ประโยคหลังเหมือนพูดกับชายที่ยืนกอดอกอยู่เหมยซิงก้มมองจดหมายในมืออีกครั้ง นางสูดเอากลิ่นดิน และดอกไม้จาง ๆ แล้วคิดถึงเสียงหัวเราะของน้อง ๆ ยามนี้พวกเขาคงไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ แต่...นางไม่อาจทิ้งพวกเขาได้“ข้าจะกลับไปกับเจ้าด้วย”ชายหนุ่มทั้งสองประสานสายตากัน บรรยากาศรอบข้างราวกับมีพายุฤดูร้อนก่อตัวขึ้นฉับพลัน มีเพียงหญิงสาวที่ทำหน้าระรื่นไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ “ข้าขอกลับไปบ้านหานหงปิงนะ” เหมยซิงหันมาพูดกับซุนเว่ยหมิน “หากเส
“ข้ามิได้บังคับให้เขากินเสียหน่อย” นางทำเสียงอ่อนเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อบ้านหวางมู่ “เช่นนั้นเจ้าก็หัดทำให้มันอร่อยซิ!” พ่อบ้านตีหน้ายักษ์ใส่ แม้ฝีมือของนางจะไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่รสชาติยังห่างไกลความอร่อยนัก คุณชายก็ตามใจเหลือเกิน “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางเบ้ปากพลางบิขนมเปี๊ยะไส้ถั่วกวนที่เพิ่งทำเสร็จส่งเข้าปากตัวเอง ไม่รู้ละ! นางทำเองกินเองอร่อยที่สุด! “ไยไม่หัดทำอาหารคาวเล่า” “ก็หัดทำอยู่” นางเถียงแล้วยัดขนมเปี๊ยะที่เหลือเข้าปากคำเดียวหมด “แต่ข้าชอบกินขนมนี่ กลับบ้านไปแล้วคงไม่ได้กินขนมอร่อย ๆ อีกขอกินให้จุใจก่อนเถอะนะ” “เจ้าทำอาหารไม่เป็นเช่นนี้ คิดจะหาสามีได้อย่างไรกัน ไม่มีผู้ชายคนไหนเอาสตรีที่หุงหาอาหารไม่เป็นไปเป็นภรรยาหรอกนะ” พ่อบ้านหวางมู่ดุนาง ผู้หญิงคนนี้ก็ประหลาดนัก เขาดุว่าอย่างไรมีแต่ทำหน้าทะเล้นใส่มิเกรงกลัวเลยสักนิด ที่สำคัญมีแต่คนต้องการให้นางอยู่อย่างสุขสบาย แต่นางอยากกลับไปอยู่บ้านชนบทที่ลำบากยากจน จะเรียกว่านางโง่ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเป็นคนสอนนางเรื่องหมักสุราด้วยตนเอง นางอ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น แต่แอบเห็นนางจดอะไรขยุกขยิกที่ไม่ให้ผู้ใดเห็น
“ข้าถอดไม่ออกจริง ๆ” นางเข้าใจสายตาของเขา ตั้งแต่กลับมาจากจวนของซุนเว่ยหมิน นางพยายามถอดกำไลวงนี้ออก ทั้งใช้สบู่ ทั้งใช้น้ำมันหมู ทำอย่างไรก็ถอดไม่ออกเสียที“บางทีกำไลอาจเลือกเจ้าของด้วยตัวของมันเองก็เป็นได้” เขาถือโอกาสคลึงกำไลในข้อมือนาง เท่าที่ลูบไล้สัมผัสเนื้อหยกดูหลายครั้ง เขาไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด จึงไม่ได้เป็นกังวลนัก“กลัวถูกทวงคืนแล้วข้าถอดออกไม่ได้จะโดนตัดข้อมือทิ้งนะซิ” นางเบ้ปาก “องค์รัชทายาทมอบให้เจ้าเอง คงไม่เอาคืนหรอก” เขายิ้มให้นาง“ยังไงก็แค่เด็กชายอายุสิบขวบ” “ข้าเข้าใจว่าอายุสิบสองแล้วนะ” เหมยซิงเบิกตาจ้องมองอีกฝ่าย “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็อยู่แต่ในห้องหับ ไยเรื่องภายนอกกลับรู้ดียิ่ง” “ข้าก็กระหายใคร่รู้เช่นเดียวกับเจ้านั้นแหละ” หานหงปิงหัวเราะน้อย ๆ เอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า เขาเลื่อนมือจากกำไลหยก ใช้ปลายนิ้วแตะที่กึ่งกลางทรวงอกของนางเบา ๆ “เมื่อครู่เจ้าล้มทับข้า แผลปริมีเลือดซึมหรือไม่”เหมยซิงก้มมองปลายนิ้วของเขาที่ไม่ได้มีท่าทีล่วงเกินนาง แม้จะไม่เหมาะสมแต่นางรู้ว่าเขาแค่เป็นกังวล นางส่ายหน้าไปมา หลายวันมานี่ หานหงปิงให้หมอประจำตระกูลมาตรวจนางทุกวัน แม้
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้