“ข้าถอดไม่ออกจริง ๆ” นางเข้าใจสายตาของเขา ตั้งแต่กลับมาจากจวนของซุนเว่ยหมิน นางพยายามถอดกำไลวงนี้ออก ทั้งใช้สบู่ ทั้งใช้น้ำมันหมู ทำอย่างไรก็ถอดไม่ออกเสียที“บางทีกำไลอาจเลือกเจ้าของด้วยตัวของมันเองก็เป็นได้” เขาถือโอกาสคลึงกำไลในข้อมือนาง เท่าที่ลูบไล้สัมผัสเนื้อหยกดูหลายครั้ง เขาไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด จึงไม่ได้เป็นกังวลนัก“กลัวถูกทวงคืนแล้วข้าถอดออกไม่ได้จะโดนตัดข้อมือทิ้งนะซิ” นางเบ้ปาก “องค์รัชทายาทมอบให้เจ้าเอง คงไม่เอาคืนหรอก” เขายิ้มให้นาง“ยังไงก็แค่เด็กชายอายุสิบขวบ” “ข้าเข้าใจว่าอายุสิบสองแล้วนะ” เหมยซิงเบิกตาจ้องมองอีกฝ่าย “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็อยู่แต่ในห้องหับ ไยเรื่องภายนอกกลับรู้ดียิ่ง” “ข้าก็กระหายใคร่รู้เช่นเดียวกับเจ้านั้นแหละ” หานหงปิงหัวเราะน้อย ๆ เอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า เขาเลื่อนมือจากกำไลหยก ใช้ปลายนิ้วแตะที่กึ่งกลางทรวงอกของนางเบา ๆ “เมื่อครู่เจ้าล้มทับข้า แผลปริมีเลือดซึมหรือไม่”เหมยซิงก้มมองปลายนิ้วของเขาที่ไม่ได้มีท่าทีล่วงเกินนาง แม้จะไม่เหมาะสมแต่นางรู้ว่าเขาแค่เป็นกังวล นางส่ายหน้าไปมา หลายวันมานี่ หานหงปิงให้หมอประจำตระกูลมาตรวจนางทุกวัน แม้
“ข้าก็อยากทำทุกอย่างที่ได้เงินนั้นแหละ” นางแลบลิ้นใส่ แอบดีใจที่เขาจดจำเรื่องของนางได้ พ่อบ้านหวางมู่รออยู่ด้านนอกอย่างรู้ความต้องการของคุณชายใหญ่ ไม่นานอาหารหลายรายการก็ถูกยกมาตั้งโต๊ะ หญิงสาวทำตาโต“ลองชิมดูซิ พ่อครัวที่นี่เคยทำงานในวังมาก่อน” เขาแนะนำอาหารบนโต๊ะให้นางได้ลองชิม เหมยซิงเองบังคับให้เขากินด้วยการคีบอาหารวางใส่จานของเขา “หากเจ้าต้องการมาฝึกทำอาหารกับพ่อครัวที่นี่ ก็ได้”“ข้าแค่ฝึกทำอาหารให้พอเลี้ยงพ่อและน้อง ๆ กลืนลง ไม่กล้าทำขายหรอก” นางหัวเราะเสียงใสไม่สนใจมารยาท “ว่าแต่เจ้าสั่งคนยกสุราให้ข้าชิมดีกว่า”พ่อบ้านหวางมู่ที่เดินเข้ามาดูแลความเรียบร้อยได้ยินพอดีถึงกับถลึงตาใส่ แต่เหมยซิงแอบส่งยิ้มให้ หานหงปิงส่ายหน้าไปมา แล้วเอ่ยปากสั่งกับพ่อบ้านหวางมู่“อากาศร้อนซ้ำยังกลางวันแสก ๆ ใครเขาดื่มสุรากัน”“ก็ข้าเห็นดื่มกันทั้งโรงเตี๊ยม” นางเถียงเสียงอ่อน “ข้าล้อเล่น อากาศร้อนเช่นนี้ไม่เหมาะกับการดื่มสุราจริง ๆ ข้าขอเอากลับไปชิมที่บ้านก็แล้วกัน”“เจ้า!”หญิงสาวทำเป็นเอียงคอมองอย่างใสซื่อ พ่อบ้านหวางมู่ไม่กล้าทำอะไรมากต่อหน้าคุณชายใหญ่จึงได้แต่ฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ แต่เพ
“เจ้าเพิ่งหัดเขียนได้ไม่นาน ทำได้ขนาดนี้นับว่าเก่งแล้ว” “เจ้าก็ชมข้าอยู่เรื่อย” เหมยซิงหัวเราะแล้วยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ลงมาเคลียแก้ม นางอาบน้ำสระผม แต่ผมยังไม่แห้งมากนัก นางก็วิ่งมาหาหานหงปิงแล้ว นอกจากสอนอ่านเขียน เขายังสอนนางเรื่องทำการค้า เรื่องบวกเลขนางทำได้สบาย ๆ เพียงแต่ต้องแอบทดเลขในใจเพราะนางยังใช้ตัวเลขอารบิกตามที่เคยเรียนมาจากโลกหนึ่ง “ข้าพูดเรื่องจริงนี่ผิดรึ”ชายหนุ่มพลอยหัวเราะตามนางไปด้วย เห็นเส้นผมของนางยังเปียกชื้นก็ลุกขึ้นเดินหายไปครู่หนึ่ง เหมยซิ่งกำลังจดจ่อกับการฝึกคัดอักษรจึงไม่ได้สนใจว่าเขาเดินไปไหน จนกระทั้งผ้าผืนหนึ่งวางบนเส้นผมของนาง และมือผอมเรียวเกี่ยวเส้นผมของนางมาเช็ดให้ “ข้าทำเองได้” นางรีบร้องออกไป แต่ไม่คิดว่าจะถูกกดไหล่ให้นั่งลง ส่วนชายหนุ่มยืนด้านหลังตั้งใจเช็ดผมให้นาง “ข้าอยากทำแบบนี้ให้เจ้านานแล้ว” เหมยซิงอยากถามนักว่าทำให้นานเพียงใด ตั้งแต่ตอนที่นางเป็นสาวใช้ประจำ หรือตอนที่เขาฟื้นได้สติเต็มร้อยแล้ว แต่ถ้าพลั้งปากพูดออกไป นางก็รู้สึกริษยา ‘เหมยซิง’ เจ้าของร่างนี้
สายลมพัดผ่านวูบไหว เสียงใบไม้ขยับเสียดสี หญิงสาวรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งลมพัด เพียงเอี้ยวตัวไปได้เล็กน้อย ร่างของนางก็ถูกรวบกอดจากด้านหลัง หญิงสาวตื่นตระหนกยกเท้าหมายเหยียบเท้าอีกฝ่ายแต่บุรุษด้านหลังชักเท้าหลบได้ทัน นางยกศอกกระทุ้งไปด้านหลังแต่อีกฝ่ายก็ตั้งรับได้อย่างรู้จังหวะ เหมยซิงรู้สึกหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็หมุนตัวออกมาได้ทว่าข้อมือยังถูกยึดไว้ นางจึงหมุนข้อมือหงายขึ้นเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุม ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง นางเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแม้เขาจะสวมชุดดำ และมีผ้าปิดครึ่งใบหน้า แต่นางกลับคุ้นเคย ทว่ายังไม่ทันส่งเสียงเรียกชื่อชายเบื้องหน้า ทั้งสองรับรู้การเคลื่อนไหวไม่ไกลนัก ชายในชุดดำรวบร่างนางเข้ามาในวงแขน ดึงนางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ อาศัยเงามืดบดบังร่างของคนทั้งสอง “ท่านอา ข้าควรทำอย่างไร คุณชายใหญ่ต้องการหย่ากับข้า” “เขาไม่บังคับเจ้ามิใช่หรือ หากเจ้ายืนกร้านจะเป็นฮูหยินของเขาต่อไป เขาก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้” “แต่ข้ากลัวอย่างไรไม่รู้ รู้สึกเหมือน...เขารู้เรื่องของเราแล้ว” “เรื่องของเรา? เจ้าพูดเร
หานฮูหยินมองเด็กสาวที่ร่าเริงสลับกับบุตรชายของตน แม้เขาจะไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาชัดเจน แต่คนเป็นแม่ย่อมเห็นแววตาเศร้าหมองของลูกชายได้ ก่อนหน้านี้นางเคยคุยกับลูกชายตามลำพัง หากหานหงปิงต้องการเหมยซิงจริง ก็ตบแต่งเข้าตระกูลหาน ยกเป็นภรรยาออกหน้าออกตาเสีย แต่ลูกชายกลับส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มเศร้า ‘หัวใจนางมิได้อยู่ที่ลูก’ ‘แล้วอย่างไร ตอนที่แม่แต่งเข้าสกุลหานก็ใช่ว่าจะรักบิดาเจ้าเสียทีไหน’ คนเป็นแม่ส่ายหน้าไปมา ‘อยู่กันไปก็รักกันได้ ตอนนี้นางไม่มีผู้ใดมิใช่รึ’ ‘ท่านแม่...’ ‘ถ้าเจ้าไม่กล้า แม่ลองทาบทามให้เอง’ มารดายกมือลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดู ไม่ว่าอย่างไรในสายตานางเขาคือเด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งเติบโตเท่านั้น เพราะคิดเช่นนี้หานฮูหยินจึงคิดแผนการให้สองหนุ่มสาวได้อยู่ใกล้ชิดกัน “ไปวัด? วัดระฆังทอง?” เหมยซิงทำตาโตเป็นประกายหลังจากที่หานฮูหยินเสนอความคิดในนางไปไหว้พระขอพร เป็นวัดที่นางเคยเดินทางผ่าน และตั้งใจจะไปไหว้แต่กลับมีเรื่องเสียก่อน นางจึงไม่ได้พาอาหมานของนางแวะไหว้พระตามที่ตั้งใจ หานฮูหยินรู้ดีว่
“ข้าก็พึ่งพาเจ้าอยู่นี่ไง ที่นาที่ให้เช่าเพาะปลูก เมล็ดพันธุ์ ซ้ำยังมีสัญญาซื้อขายทั้งที่ข้ายังผลิตสุราไม่สำเร็จอีก”“มากกว่านี้ข้าก็ให้เจ้าได้”“ข้ารู้ เจ้าตามใจข้า ข้ามิได้อยากได้เงินทองจากเจ้าข้าอยากยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เจ้าก็ช่วยเหลือ ข้าซาบซึ้งใจนัก ไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี” “เจ้าอยากตอบแทนข้า?”หญิงสาวลืมตาจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม หลังจากได้รับการบำรุงอย่างดี ยามนี้ใบหน้าของหานหงปิงไม่ได้ซูบตอบเช่นแต่ก่อน สองแก้มเต็มอิ่ม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ ดึงดูดคนมองที่ให้หลงใหล หญิงสาวคิดถึง ‘เหมยซิง’ เจ้าของร่างที่ให้ดวงจิตของนางสิงสถิต นางคงเฝ้าดูแลชายผู้นี้ด้วยความจริงใจ และเขารับรู้ได้จึงได้ฝั่งลึกความผูกพันดี ๆ ที่มีต่อนาง ...ส่วนนางก็ฉกฉวยผลประโยชน์นั้นมาหน้าตาเฉยดวงตาที่เป็นประกายวูบหม่นลงไป แม้เพียงแวบเดียว หานหงปิงก็เห็นได้ชัดเจน ในขณะที่หญิงสาวเบือนหน้าหลบ เขายื่นหน้าไปประกบริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนเหยมซิงไม่ทันตกใจ ผงะตัวไปด้านหลังแต่มือของอีกฝ่ายรวดเร็วพอจะรั้งโอบจากด้านหลังใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าของนางให้แหงนหงายรับจุมพิตของเขา นางจ้อง
“ข้าปลาบปลื้มใจที่เจ้าปกป้องข้าเช่นนี้” หานหงปิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน แต่แววตาคมวาวจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม เป็นฝ่ายกระชับมือของเหมยซิงไว้ในอุ้งมือ “จำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเจ้าเป็นนักแสดง เช่นนั้นช่วยเล่นละครสนุก ๆ กับข้าสักเรื่องเถิดเหมยซิงจ้องมองชายหนุ่มด้วยความงุนงง ยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร ชายชุดดำที่เดิมทีเข้ามาหลายทำร้ายนาง และเขากลับถูกผู้ติดตามสังหารจนสิ้น ไม่ทันได้ยินเสียงร้องขอชีวิต“เจ้า!” เหมยซิงพูดไม่ออก คนตาย! คนตายจริง ๆ! กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้งในอากาศ และซึมลงพื้นดินไปช้า ๆหานหิงปิงทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาว เขาเดินเข้ามาใกล้คนสุดท้ายที่ถูกจับให้นั่งลง คนของเขาใช้มือบีบกรามให้ค้างไว้ป้องกันมิให้อีกฝ่ายชิงฆ่าตัวตายไปก่อน บุรุษในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ก้าวเดินผ่านคราบเลือดที่นองพื้น“ครั้งนั้นทำไม่สำเร็จ แล้วคิดว่าจะได้โอกาสครั้งที่สองหรือ? ช่างโง่เขลานัก!”มือผอมเรียวยื่นไปกำรอบคอของชายชุดดำ ใบหน้ายังคงประดับยิ้มอ่อนโยนแต่ในขณะที่อีกฝ่ายตาเหลือกเพราะขาดอากาศหายใจ เหมยซิงสะดุ้งเฮือกรีบก้าวเข้าไปแตะท่อนแขนของชายหนุ่ม แม้เพียงแผ่วเบาแต่ทำให้หานหงปิงย้ายสายตามาที่นาง
“ทำไม? เจ้ายังห่วงซากมันอยู่อีกเรอะ! ได้! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้อยู่กับร่างไร้วิญญาณของมันไปแล้วกัน!” “ไม่เจ้าค่ะ! ไม่” หงหนิงเป็นคนขี้ขลาด แค่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงศพก็ยังหวาดกลัว นางเกาะแขนของหานเหวินซิ่งแน่นไม่กล้ามองไปยังร่างนั้น มือใหญ่บีบคางของนางให้เชิดขึ้นพร้อมกับกดริมฝีปากทาบทับลงมา บดขยี้อย่างไม่สงสารเมตตาว่านางจะเจ็บปวดเพียงใด และมีผู้ใดยืนมองอยู่รอบห้อง “เป็นยังไงเล่า หงปิง นับจากนี้ไปของ ๆ เจ้าก็ต้องกลายเป็นของ ๆข้าทั้งหมด เมียของเจ้า ทรัพย์สมบัติของเจ้า แม่ของเจ้าข้าก็จะกำจัดออกไปเสีย รวมทั้งหญิงประหลาดคนนั้น! อย่าโทษข้าเลยนะหงปิง เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมตายไปดี ๆ ข้าจึงจำใจต้องร้ายกาจกับเจ้าถึงเพียงนี้” หานเหวิ่นซิงแหงนหน้าหัวเราะ ทันใดนั้นเขาเห็นร่างที่แน่นิ่งไปค่อย ๆ ขยับตัวที่ละน้อย ดวงตาของเขาเบิกโพลงอย่างตกใจ ใจหนึ่งอยากก้าวเท้าเข้าไปดูให้แน่ชัด อีกใจก็ยังหวาดกลัวอยู่ ร่างที่แน่นิ่งเมื่อครู่ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ศีรษะขยับตั้งตรงเผยให้เห็นดวงตาเป็นประกาย และมุมปากยกยิ้ม การขยับตัวของเขาทำให้ชายโฉดหญิงชั่วตัวแข็งทื่อไปทันที
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้