“ข้าปลาบปลื้มใจที่เจ้าปกป้องข้าเช่นนี้” หานหงปิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน แต่แววตาคมวาวจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม เป็นฝ่ายกระชับมือของเหมยซิงไว้ในอุ้งมือ “จำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเจ้าเป็นนักแสดง เช่นนั้นช่วยเล่นละครสนุก ๆ กับข้าสักเรื่องเถิดเหมยซิงจ้องมองชายหนุ่มด้วยความงุนงง ยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร ชายชุดดำที่เดิมทีเข้ามาหลายทำร้ายนาง และเขากลับถูกผู้ติดตามสังหารจนสิ้น ไม่ทันได้ยินเสียงร้องขอชีวิต“เจ้า!” เหมยซิงพูดไม่ออก คนตาย! คนตายจริง ๆ! กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้งในอากาศ และซึมลงพื้นดินไปช้า ๆหานหิงปิงทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาว เขาเดินเข้ามาใกล้คนสุดท้ายที่ถูกจับให้นั่งลง คนของเขาใช้มือบีบกรามให้ค้างไว้ป้องกันมิให้อีกฝ่ายชิงฆ่าตัวตายไปก่อน บุรุษในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ก้าวเดินผ่านคราบเลือดที่นองพื้น“ครั้งนั้นทำไม่สำเร็จ แล้วคิดว่าจะได้โอกาสครั้งที่สองหรือ? ช่างโง่เขลานัก!”มือผอมเรียวยื่นไปกำรอบคอของชายชุดดำ ใบหน้ายังคงประดับยิ้มอ่อนโยนแต่ในขณะที่อีกฝ่ายตาเหลือกเพราะขาดอากาศหายใจ เหมยซิงสะดุ้งเฮือกรีบก้าวเข้าไปแตะท่อนแขนของชายหนุ่ม แม้เพียงแผ่วเบาแต่ทำให้หานหงปิงย้ายสายตามาที่นาง
“ทำไม? เจ้ายังห่วงซากมันอยู่อีกเรอะ! ได้! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้อยู่กับร่างไร้วิญญาณของมันไปแล้วกัน!” “ไม่เจ้าค่ะ! ไม่” หงหนิงเป็นคนขี้ขลาด แค่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงศพก็ยังหวาดกลัว นางเกาะแขนของหานเหวินซิ่งแน่นไม่กล้ามองไปยังร่างนั้น มือใหญ่บีบคางของนางให้เชิดขึ้นพร้อมกับกดริมฝีปากทาบทับลงมา บดขยี้อย่างไม่สงสารเมตตาว่านางจะเจ็บปวดเพียงใด และมีผู้ใดยืนมองอยู่รอบห้อง “เป็นยังไงเล่า หงปิง นับจากนี้ไปของ ๆ เจ้าก็ต้องกลายเป็นของ ๆข้าทั้งหมด เมียของเจ้า ทรัพย์สมบัติของเจ้า แม่ของเจ้าข้าก็จะกำจัดออกไปเสีย รวมทั้งหญิงประหลาดคนนั้น! อย่าโทษข้าเลยนะหงปิง เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมตายไปดี ๆ ข้าจึงจำใจต้องร้ายกาจกับเจ้าถึงเพียงนี้” หานเหวิ่นซิงแหงนหน้าหัวเราะ ทันใดนั้นเขาเห็นร่างที่แน่นิ่งไปค่อย ๆ ขยับตัวที่ละน้อย ดวงตาของเขาเบิกโพลงอย่างตกใจ ใจหนึ่งอยากก้าวเท้าเข้าไปดูให้แน่ชัด อีกใจก็ยังหวาดกลัวอยู่ ร่างที่แน่นิ่งเมื่อครู่ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ศีรษะขยับตั้งตรงเผยให้เห็นดวงตาเป็นประกาย และมุมปากยกยิ้ม การขยับตัวของเขาทำให้ชายโฉดหญิงชั่วตัวแข็งทื่อไปทันที
เหมยซิงยื่นมือไปกระชากร่างของหานหงปิงหวังจะให้เขาหลบให้พ้นมีดสั้นเล่มนั้น ภาพในความทรงจำย้อนคืนกลับมาอีกคราว ครั้งนั้นนางพลิกตัวใช้ร่างตนเองกำบังเขาไว้ ทว่าครั้งนี้เหรียญอันหนึ่งปลิวมากระทบมีดสั้นเบี่ยงวิถีให้พุ่งไปทางอื่น ปักที่ผนังห้องอีกด้านโดยไม่ถูกร่างกายของผู้ใด ผู้อารักขาของหานหงปิงรีบลงมือ หานเหวินซิ่งถูกเตะปลายคางจนร่างลอยละลิ่วก่อนกระแทกพื้นสลบแน่นิ่งไป“วัวดื้อ! นี่เจ้าคิดจะเอาตัวเองบังผู้อื่นทุกครั้งไปหรือไร! ร่างกายเจ้าเป็นเหล็กกล้ารึ!”เสียงตะคอกหัวเสียดังขึ้นก่อนที่บุรุษในเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่งกายแบบชาวบ้าน แต่กระนั้นก็ไม่อาจกลบรัศมีน่าเกรงขามของชายผู้นี้ได้เลย“ซุนเว่ยหมิน!” เหมยซิงเรียกชื่อชายผู้นั้น แม้ตนเองจะถูกเขาขึงตาใส่ด้วยท่าทีดุดันแต่นางกลับหัวเราะร่าออกมาหานหงปิงสูดลมหายใจลึก แม้ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มแต่แววตานั้นเยียบเย็นนัก ซุนเว่ยหมินยักไหล่ทำเป็นไม่เห็น เขาแอบซุ่มมองอยู่นานแล้ว และรอคอยว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวซีดนี่จะจัดการอย่างไร“ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่” เหมยซิงถามทั้งรอยยิ้มทะเล้น ทำให้ซุนเว่ยหมินยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากนางเบา ๆ“พวกเจ้าต่างหาก ไม่มีที
“ของเล่นของพ่อบ้านหวางมู่เหมาะมือดีจริง” ทีแรกนางก็ไม่คิดว่าหน้าไม้ขนาดเล็กนี้จะพุ่งไปได้ไกลนัก แต่อาศัยจังหวะแรงลมช่วยส่งทำให้ลูกเกาทัณฑ์พุ่งไปปักอกคนที่ตามมาได้อย่างแม่นยำ “เจ้าควรเตือนข้า” ซุนเว่ยหมินโน้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว “เรื่องอันใด” “อย่าได้ยั่วโทสะเจ้าอย่างไรเล่า” เขาแอบขบติ่งหูของนางไปหนึ่งคำ รับรู้ถึงอาการเกร็งตัวของนางแล้วก็หัวเราะอย่างผ่อนคลาย รับรู้ว่าม้าของตนมาไกลมากแล้ว และเหล่าองครักษ์จัดการผู้ที่ไล่ตามเขามาให้แล้ว เหมยซิงเริ่มผ่อนคลายลงเช่นกัน หากไม่เห็นการนองเลือด วันนี้คงเป็นการเดินทางที่แสนเพลิดเพลิน “ต้องพักเปลี่ยนม้าที่หมู่บ้านข้างหน้า” ซุนเว่ยหมินรู้ว่านางพยักหน้ารับรู้ นางจะรู้หรือไม่ว่าหัวใจของเขาพองโตคับอกเมื่อรู้ว่านางเลือกที่จะมากับเขา โดยไม่สนใจว่าจะมีอันตรายใดรออยู่ เมื่อในยอมอยู่ในวงแขนของเขาเช่นนี้ เขายินดีและเต็มใจปกป้องนางไปชั่วชีวิต ฝีเท้าม้าผ่อนลงเมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เหมยซิงสังเกตว่าบุรุษที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนั้นคงคุ้นเคยกับพื้นที่
เด็กสาวที่เมื่อครู่ยังหน้าแดงอยู่เปลี่ยนเป็นหน้าซีดแล้วรีบก้าวเร็ว ๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งออกไปทันที เหมยซิงมองร่างเล็กจนสุดสายตา มุมปากจึงยกยิ้ม ท่าทีอ่อนแอเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลงกลายเป็นเหมยซิงคนเดิม ‘โธ่! เป็นสตั๊นต์เกิร์ลก็ต้องเรียนการแสดงด้วยนะยะ เรื่องแค่นี้ยากตรงไหน!’ นางยกนิ้วโป้งปัดปลายจมูกตัวเอง ชื่นชมผลงานที่ทำไปเมื่อครู่แต่พอหันกลับมาเจอสายตาขบขันของเขาแล้ว นางพลันหุบยิ้มในทันที “มีอะไร!” ซุนเว่ยหมินโน้มหน้าลง แววตายั่วล้อยื่นจมูกของตนไล่ดมใบหน้าซอกคออีกฝ่าย เหมยซิงรีบยกมือปัดเขาไปมาด้วยกลบความเขินอายที่ทำใบหน้าแดงระเรื่อ “เจ้าอาบน้ำ?” “อืม” นางพยักหน้ารับ นึกได้ว่าเขาเตือนไม่ให้นางอาบน้ำ “อาบน้ำแล้ว ไยข้าได้กลิ่นน้ำส้มเหม็นทั่วตัวเช่นนี้” “น้ำส้ม?” ดวงตาหญิงสาวเต็มไปด้วยความฉงน แต่ชายหนุ่มเงยหน้าหัวเราะอารมณ์ดียิ่ง ไม่ยอมอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม เขาฉวยเสื้อผ้าชุดเดิมของนางมาถือไว้อย่างไม่รังเกียจ พานางเข้าไปในบ้านของหูพาน เจ้าของบ้านเตรียมอาหารให้แล้ว ทั้งสี่คนกินอาหารร่
เหมยซิงไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด ไม่ใช่แค่คล้ายแต่ควรเรียกว่า ‘เหมือน’ จนน่าตกใจ ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ร่างที่คร่อมนางอยู่ก็ขยับตัวถอยห่าง นางได้ยินเสียงสบถพึมพำแล้วสายตาของเขามองไปยังมีดสั้นที่นางฉวยจากหานหงปิงมา นางวางมันไว้บนโต๊ะและลืมเก็บ มือใหญ่เอื้อมมือไปคว้ามันไว้ในมือ เหมยซิงลุกพรวดจากเตียง เร็วเท่าความคิด นางโผเข้ากอดท่อนแขนข้างที่ถือมีดของเขาไว้แน่น“เจ้าจะทำอะไร!”“ใบหน้าที่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด ข้าไม่ต้องการ!” เขาเป็นบุรุษเติบโตในตระกูลนักรบ ใบหน้าจะมีแผลเป็นก็หาใช่เรื่องใหญ่อะไร“เป็นความผิดของเจ้าเสียทีไหนกันเล่า” นางตวาดอย่างหัวเสีย “เจ้าก็คือเจ้า ไม่ใช่คนผู้นั้น”ซุนเว่ยหมินยอมผ่อนแขนที่เกร็งอยู่นั้นลง ทำให้เหมยซิงถอนหายใจเบา ๆ นางเงยหน้ามองเขา เป็นฝ่ายจ้องมองแววตาของเขา“ครั้งแรกที่เจ้าตื่นฟื้นในร่างของหานหงปิง เจ้าขยับตัวได้แค่ปลายนิ้ว ส่งเสียงได้แค่ครางในคอ มีแต่ดวงตาของเจ้าที่สื่อความรู้สึกกับข้า และเมื่อดวงจิตของเจ้าจากร่างของหานหงปิงไปแล้ว ข้าก็รู้ว่าเขาไม่ใช่เจ้า แววตาของเขาไม่เหมือนที่เจ้ามองข้า เช่นกัน...แม้ใบหน้านี้จะเหมือนคนรักเก่าของข้ามากเพียงใด แต่แ
นางประท้วงแล้วหวีดร้องออกมาเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมาคลึงเนื้อนุ่มที่กึ่งกลางอิสตรี นางก้มมองมือใหญ่ที่สอดเข้าไปในกางกางชั้นในตัวน้อย นิ้วเรียวยาวแทรกเข้าไปเบิกช่องทางกลีบบุปผา คราวนี้นางไม่อาจอยู่นิ่งได้ ร่างเล็กดิ้นเร่าด้วยความทรมาน กลีบบุปผาของนางเปียกชุ่ม นิ้วแกร่งยังขยับเข้าออกเรียกร้องให้นางพร้อมรับสิ่งที่ใหญ่โตกว่านี้ “ทรมาน” นางสารภาพอย่างสิ้นอาย เอี้ยวมองใบหน้าของชายที่อยู่ด้านหลัง ยามนี้เสื้อผ้าของนางหลุดรุยแต่ของเขายังอยู่ครบ ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยไฟราคะแผดเผา เหมยซิงรู้สึกถึงร่างกายที่เกร็งกระตุก และน้ำหวานหลั่งออกมาจนเปียกชุ่ม เขาถอนปลายนิ้วออก พลิกร่างที่อ่อนระทวยลงนอนอีกครั้ง และขยับตัวลุกขึ้นถอดเสื้อของตนออกอย่างรวดเร็ว แสงเทียนทำให้นางเห็นเรือนร่างกำยำ หญิงสาวหลุบตาลง ประคองลมหายใจของตนให้เป็นปกติ “ดับเทียนได้ไหม” “แต่ข้าอยากเห็นเจ้า” เขาปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง เตียงเล็กและแข็ง แต่ยามนี้ความสนใจอยู่ที่ร่างขาวผ่องเบื้องหน้า “หรือเจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้า” เหมยซิงรีบส่ายหน้าไปมา นางสบตาเขาเห็นแววตากึ่งขบขันของเข
“ควรพูดให้ถูกว่าข้าเป็นฝ่ายกินเจ้าต่างหาก” “นางมารน้อย” เขาขบฟัน เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ เขากลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมา เพราะคู่ประมือครั้งนี้คือภรรยาตัวน้อยของเขาเอง “ข้าดูแลปรนนิบัติเจ้าได้” หญิงสาวหัวเราะ ลากปลายนิ้วกับแผ่นอกของชายหนุ่มที่ขยับขึ้นลงเพราะหอบหายใจแรง “หากเจ้าต้องการ...” “แน่นอนว่าข้าต้องการเจ้า!” ร่างกายของเขาเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ ยังต้องถามสิ่งใดอีกเหมยซิงโน้มตัวลง เลียนแบบที่ชายหนุ่มเคยทำ เส้นผมของนางคลอเคลียร่างกายที่อยู่เบื้องล่าง มือใหญ่ประคองสะโพกของนางวาดหวังให้นางสอดสวมแก่นกายเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าอันเปียกชุ่ม แต่นางยื่นปลายลิ้นไล้เลียใบหูของเขา เย้ายวนจนอีกฝ่ายเกือบลืมหายใจ “ผ่อนคลายหน่อยซิ สามี” เหมยซิงไม่คิดว่าตัวเองจะใจกล้าได้เพียงนี้ อาจเพราะอายุสมองของนางคือยี่สิบหกไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาอายุสิบหก ซ้ำยังมาจากโลกที่...ที่นางเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้จากหนังสือนิยาย หรืออินเทอร์เน็ต แม้จะยังไม่มีประสบการณ์จริงมาก่อน แต่เมื่อได้เรียนรู้จากชายที่นางรัก นางก็ยินดีที่จะสร้างคว
“คุณชายหานหายไปไหนแล้ว” “เราไปดักที่หอเทียนหลงก็แล้วกัน” “ดี” ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว หานหงปิงรู้ดีแต่ขยับตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มที่ตนเองเบียดชิดไม่ได้ ซ้ำยังไม่อาจถอนสายตาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นได้ “เอ่อ..” เหมยลี่ตั้งใจส่งเสียงเพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง นางใกล้ชิดเขามาสิบปีแต่ไม่เคยเลย ไม่เคยมีครั้งใดใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วดวงตากลมก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากบางทาบทับลงมา ริมฝีปากของเขามีรสขมปร่าจากยาที่ดื่มเป็นประจำ ทว่าเมื่อนางยินยอมให้เรียวลิ้นของเขาเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อย ๆ ของนาง ความหวานก็แผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขากดจูบอย่างดูดดื่ม และหิวกระหายทว่าเหมยลี่ผู้ไม่เคยถูกจุมพิตเหมือนจะขาดใจเสียตรงนั้น แข็งขาอ่อนแรงจนร่างแทบทรุดฮวบลงไป ได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาเพื่อพยุงตัวเอง หานหงปิงถอนริมฝีปากให้หญิงสาวได้หายใจ เห็นนางหอบหายใจฮักก็อดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาเรียกสติของนาง หญิงสาวหน้าแดงจัด กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ทุบที่แผ่นอกของเขา
ซุนเว่ยหมินพยายามไม่คิดถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เคยกล่าวกับเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาไม่ชอบเด็กคนนี้นัก ชอบทำตัวเหลวไหล ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ทรงนึกคิดสิ่งใดให้เขาเป็นผู้สอนวรยุทธ เขาจึงเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่เจ้าเด็กนั้นก็ยังยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือเขาจะแก่ไปแล้วนะ ไม่ ๆ เขาแค่สามสิบ จะแก่ได้อย่างไรเล่า! “ท่านพ่อกินข้าว” ลูก ๆ แย่งกันคีบกับข้าวใส่ชามให้บิดา แล้วแย่งกันคีบอาหารให้มารดา ซุนเว่ยหมินไม่ถือธรรมเนียมอะไรนัก เขาและเหมยซิงพอใจให้ลูก ๆ นั่งกินข้าวร่วมกับบิดามารดาเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็เติบโตแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขความทรงจำนี้ ยิ่งต้องถนอมไว้ให้เนิ่นนาน สำนักศึกษาที่ติงเชาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธนั้น เน้นสอนเด็กยากจนให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยความสามารถของติงเชา และอาจารย์ท่านอื่น สำนักศึกษาแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกเศรษฐีมีเงินต้องการให้ลูกได้เล่าเรียนดี ๆ ยอมพาบุตรหลานมาเรียนแม้ต้องเรียนรวมกับเด็กยากจนก็ตาม แต่เพราะมีเด็กกำพร้าที่ติงเชารับมาอุปการะเพิ่มเกือบยี่สิบคน พวกเขาแม้จะเป็นเด็ก แต่ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง ก็วางกฎระเบียงให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีหน
หานฮูหยินเห็นเขาก็กลั้นหัวเราะ มองเด็กหญิงอย่างประเมินก่อนเอ่ยถาม “เหมยลี่ ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ”“เจ็ดขวบแล้วเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่ นางแค่หกขวบ” เป็นเสียงพี่ชายทั้งสามของนางแย่งตอบพวกเขาตื่นเต้นกับงานแต่งงานของเหมยซิงไม่น้อย“ข้าเจ็บขวบแล้ว” เหมยลี่เถียง นางอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ จะได้ดูแลพ่อบุญธรรมได้ ทุกคนมักพูดว่า ‘เด็ก’ ไม่ให้นางทำอะไร แม้ว่านางจะอยากช่วยแบ่งเบาภาระทุกคนก็เถิด“เหมยลี่เด็กดี ปีนี้เจ็ดขวบแล้วอีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้วซินะ” หานฮูหยินหยอกล้อ จับแก้มของเด็กสาวเล่น นางรู้มาบ้างว่าน้อง ๆ ของเหมยซิงล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมของนางช่วยเหลือจากสิ้นสุดสงครามในครั้งนั้น แม้ยามนี้เหมยลี่ไม่ได้มีหน้าตางดงามผุดผาด แต่รอยยิ้มของนางทำให้คนเห็นก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ดวงตาสุกใส โครงสร้างทางร่างกายก็ดี ตอนนี้มิได้อดยากเช่นที่ผ่านมา คาดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงตัวน้อยต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ“เจ้าค่ะ” เหมยลี่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วส่งยิ้มให้หานหงปิงที่นางเรียกอาหมานจนติดปาก “อาหมานไม่ต้องห่วงนะ ถึงพี่เหมยซิงจะแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว ข้าก็จะดูแลเจ้าเอง”คำพูดจริ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าพ่อบุญธรรมเก่งเพียงนี้” เหมยซิงทำตาโต “สอนวรยุทธข้าบ้างซิ” ติงเชาส่ายหน้าไปมา จะพูดอย่างไรดีว่าแต่เดิมเขาเคยสอนนางแล้ว แต่นางไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย จวบจนนางได้ฟื้นจากป่าช้าเป็นเหมยซิงคนใหม่ เขาถึงได้สอนนางใช้ธนู แต่ช่วงนั้นเขายังเจ็บป่วยอยู่จึงสอนนางได้ไม่มาก “เด็ก ๆ พวกนี้” เยี่ยนฉือถามด้วยความประหลาดใจ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูก ๆ ก็คงจะเกินไปสักนิดเพราะแต่ละคนหน้าตาไม่คล้ายกันเลย “เป็นเด็กที่ข้าช่วยไว้” “ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้านับถือ นับถือ” เหมยซิงชวนทุกคนเข้าไปดูเรือนหลังน้อยที่จะเปิดเป็นร้านขายสุรา ฝีมือการหมักสุราของเหมยซิงนับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยไม่เสียชื่อพ่อบ้านหวางมู่ที่อุตส่าห์เพียรสอน และมอบสูตรหมักสุราชั้นเลิศให้นาง แต่กระนั้น หน้าตาพ่อบ้านหวางมู่ก็ไม่เคยแย้มยิ้มให้นางสักครั้ง ทั้งสองยังปะทะฝีปากกันไม่ต่างจากที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลหาน เดิมทีซุนเว่ยหมินคิดว่าการสมรสระหว่างเขากับเหมยซิงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเหมยซิงเป็นเพียงสามัญชน
ราวสี่เดือนที่เหมยซิงเดินทางจากไป ชายคนคนนี้ก็มาปรากฏเบื้องหน้าพร้อมคำเชิญให้ไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน “ข้ารักมั่นใจตัวเหมยซิง ตั้งใจแต่งนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว แม้นางเป็นกำพร้าแต่พวกท่านเสมือนเป็นคนในครอบครัวของนาง ข้ายินดีดูแลท่านและน้อง ๆ ของนาง ให้พวกท่านได้อยู่ใกล้ ๆ เหมยซิงและให้น้อง ๆ ได้ศึกษาร่ำเรียน ท่านอย่าได้กังวลไป เหมยซิงเองก็ยังพยายามทำการค้าเพื่อปูเส้นทางให้น้อง ๆ หากท่านได้ไปอยู่ในเมืองหลวงก็จะได้ช่วยเหลือนางและเด็ก ๆ ที่เหลือ ตลอดจนรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอีกด้วย” ติงเชานั้นไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด แต่เมื่อคิดถึงถึงติงหยี่ ติงเกา ติงปิง และเด็กหญิงตัวน้อยวัยหกขวบ เหมยลี่ เด็กพวกนี้ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ และดูท่าทางเหมยซิงก็รักเด็ก ๆ มากไม่เห็นพวกเขาเป็นภาระ ไม่ว่าจะเป็นเหมยซิงคนใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนดีที่รัก และห่วงใยคนรอบกายเสมอ “เช่นนั้นข้าก็จะไป” “ขอบคุณท่านมาก” ติงเชาและเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าพักในจวนจวิ้นอ๋อง เรื่องนี้เพราะติงเชาเองก็ไม่อยากวุ่นวายกับคนในราชสำนัก และไม่ต้องการให้ลูกบุญธรร
นางยิ้มโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไร พลันรู้สึกตัวว่าตนเองเปลื้องเสื้อผ้าบุรุษอยู่ นางรีบชักมือกลับ ใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมาทันที “เสียเอี๋ยนบอกข้าแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ ใช้คางสากของตนคลอเคลียแก้มแดงระเรื่อของนาง “เขาบอกว่าเจ้าจะหลับไปเจ็ดวัน เขาส่งภูตผีเสื้อไปรับเจ้าแต่วันนี้ครบวันที่เจ็ด เจ้ายังไม่ฟื้นเสียที ข้าแทบคลั่งแล้ว” “ข้ากลับไปร่ำลาลุงกับแม่แล้วก็...คนรักเก่า” นางเอียงหน้าหลบ รู้สึกอบอุ่น และอ่อนไหวกับการคลอเคลียของเขาเช่นนี้ “แต่เจ้าก็กลับมาหาข้า” “อืม...ก็ข้าเป็นวัวดื้อก็ต้องกลับมาหาหนุ่มทอผ้าซิ” ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้ว มิใช่หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ารึ นางนี่ช่าง! เอาเถิด! ตอนนี้นางกลับมาแล้ว เขายอมเป็นทุกอย่างให้นาง ขอเพียงมีนางอยู่ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว “เว่ยหมิน” “หือ” “ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุด ข้าได้ยินเสียงเจ้าเรียกข้า...” นางเอนตัวเข้าหาอกอุ่นของเขา “บอกข้าได้ไหม ว่านั้นใช้เสียงของเจ้าจริงหรือเปล่า” ซุนเว่ยหมินวาดวงแขนโอบร่างนางไว้แนบอก กดปลายคางกับศีรษะของนางอ
“ดาว...” “ขอบใจนะศรัณย์” เธอยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับหน้าผากของชายหนุ่ม “ปล่อยดาวไปเถิดนะ” พันดาวสบตาศรัณย์พลันนึกถึงชายอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่แววตาที่จ้องมองเธอนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว แววตาของคนที่เธอรัก เธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนี้ แต่เพราะเจ้าของดวงตาคู่นั้นต่างหากที่ทำให้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ “เหมยซิง!” หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เหลียวมองรอบตัว ใครกันนะ ใครกันที่เรียกชื่อเธอ ในห้องเต็มไปด้วยพยาบาลและคุณหมอ มารดาของพันดาวเดินตามนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามา เท้าของหญิงวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเห็นร่างของลูกสาวเป็นเงาจาง ๆ อยู่เหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียง “ยัยดาว!” “แม่” พันดาวหันกลับมาแล้วส่งยิ้มกว้าง “ดาวรักแม่นะคะ” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าลูกสาวคนนี้ต้องการอะไร เพียงแค่นี้พันดาวก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว “เหมยซิง!” หญิงสาวหันไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน พยายามนึกว่าเป็นเสียงของใคร
เสียงระเบิดทำให้เหมยซิงหูอื้อ นางพยายามเบิกตากว้าง ภาพที่เห็นยามนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้น ขาดก็เพียงไม่มีสุนัขจิ้งจอกยืนจ้องหน้านาง ดวงตาคู่นั้น... ไฉนเหมือนดวงตาของเด็กชายอายุสิบสองที่ทุกคนก้มศีรษะให้ในฐานะองค์รัชทายาทนักนะ! ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในศีรษะทำให้ดวงตาสุกใสต้องปิดเปลือกตาแน่น ความมืดเข้าครอบงำ สติสัมปชัญญะ ไม่อาจฟื้นรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างอีกแล้ว!. เสียงร้องไห้เรียกสติของหญิงสาวที่ลืมตาอยู่ในความมืดให้เดินตามเสียงที่ได้ยิน หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้ชัดขึ้นทำให้ต้องลืมตาอีกครั้งแล้วพบชายใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในชุดสีฟ้ากระจ่าง ใช่แล้ว เธอเคยบอกเขาว่าเขาดูเป็นผู้ชายโรแมนติกในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าละมุนตาอย่างนี้ ความดำมืดค่อย ๆ จางหาย ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง เท้าเล็ก ๆ พาร่างของตนเองไปหยุดยืนข้างเตียง หญิงสาวสีหน้าซีดเซียว ผอมบางจนแทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เมื่อพิจารณาดี ๆ นี่คือร่างของหญิงสาวที่ชื่อ...“พันดาว” น่าประหลาดใจที่ไม่รู้สึกตื
“หัวเราะอะไร” “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าข้าจะไปไหน” “ก็เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ปิดบังข้า ข้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก” ซุนเว่ยหมินยิ้มที่มุมปาก เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป “มันไม่ใช่หินถล่มธรรมดา” “เจ้าถูกลอบทำร้าย?” “ย่อมเป็นเช่นนั้น” เขาถอนหายใจกระตุ้น ม้าไปยังจุดหมายที่นัดไว้ “การเป็นคนซื่อตรงเช่นข้าย่อมขัดแข้งขัดขาผู้อื่น” จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกถึงเด็กชายวัยสิบสองขวบที่นางเคยช่วยไว้ผู้นั้น “องค์รัชทายาท...” “ทำไมรึ?” ซุนเว่ยหมินก้มหน้าลง ความสนใจของเขาอยู่ที่กำไลหยกเรียบง่ายทว่าเขามั่นใจว่าเมื่อคืนมันเปล่งแสงได้ “เรื่องของเจ้าเกี่ยวกับองค์รัชทายาทหรือไม่” นางถามตรงไปตรงมา “ที่ถามนี่เพราะเจ้าเป็นห่วงข้าหรือเจ้าเด็กนั่น!” ในสายตาเขา ไม่เห็นเป็นองค์รัชทายาท มองอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่พี่สาวของเขาเป็นเต๋อเฟยแต่อย่างใด เหมยซิงหัวเราะเสียงใส “แบบนี้เรียกว่าเหม็นน้ำส้มได้หรือไม่” ซุนเว่ยหมินเลิกคิ้ว นางย้อนเขาด้วยเรื่องที่เขาเคยล้