เกาอี้กลับเข้ามาพร้อมด้วยกล่องไม้ฉลุบุด้วยผ้าไหม“เดิมทีฉันตั้งใจว่า หากได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จะมอบภาพที่ประมูลมาได้จากซานตงเป็นของขวัญคารวะ”พูดพลางพร้อมแสร้งถอนหายใจอย่างสุดแสนเสียดาย มือเรียวเลื่อนไปยกกล่องมาจากมือเกาอี้“ต้องขอโทษคุณหนูหลี่ด้วยจริง ๆ พบพานเป็นวาสนา แต่ศิษย์อาจารย์ต้องมีชะตาต้อง...พรูดดดด!”ท่านผู้เฒ่าที่กำลังจับฝาถ้วยชาก้ายหว่าน ยกชาขึ้นจิบพ่นน้ำชาพุ่งตรงมาด้านหน้า เกาอี้รีบยืนขึ้นบังหลี่เหม่ยถิงที่ปลดริบบิ้นออกจากม้วนภาพ จนภาพด้านในกางปรากฏสู่สายตา นายบ่าวบ้านติง“นายท่านครับ นี่...”พ่อบ้านตระกูลติงหันมองหลี่เหม่ยถิงที่ยืนยิ้มเหมือนแมวอิ่มครีมถือภาพวาด วาดมือไปซ้ายป่ายมาขวา กับนายท่านของตนที่ดวงตาถลนมองตามภาพวาดจนคอหัน“โอ้ ศิษย์รัก มายกน้ำชาเถอะ”“พ่อบ้านไปเอาน้ำชาคารวะมาเร็วเข้า”“ท่านผู้เฒ่าจะดีหรือคะ ศิษย์อาจารย์วันเดียวก็ผูกสัมพันธ์ตลอดไป ควรต้องมีชะตาต้องกัน เกรงว่าผู้เยาว์จะไร้วาสนา” พรึ่บ! ภาพวาดถูกม้วนเก็บพันริบบิ้น ใส่ลงกล่องแล้วยกให้เกาอี้ถือไว้ หลี่เหม่ยถิงเดินย่างเท้าหย่อนตัวลงนั่ง ทำหน้าเสียใจที่ไร้วาสนา‘จิ้งจอกน้อยนี่ ไร้ยางอ
เช้าวันถัดมา“อาจารย์คะ อีก 2 วัน ถิงเออร์ต้องกลับแล้วค่ะ” ดวงตาระยิบระยับ ริมฝีปากหยักโค้ง คำเรียกสนิทสนม ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นแผ่นป้ายแปะหน้าหลี่เหม่ยถิงการลาจาก ต้องมีของติดไม้ติดมือ!อย่ามาล้อเล่น เธอโดนท่านอาจารย์โขกสับจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว ของขวัญพบหน้าก็ยังไม่ได้ ของขวัญลาจากจึงต้องมีติงมู่หยางมองเมินงิ้วหลงโรงนี่ ทำทีเดินย่างอย่างสุขุมเข้าไปด้านใน แล้วสาวเท้าเร็วปรี่กลับเข้าเรือนหลัง‘เขารับศิษย์หรือเจ้ากรรมนายเวร ตามติดทวงของยิ่งกว่าเขาไปติดหนี้มาสัก 10 ชาติ’“คุณหนูหลี่ ท่านผู้เฒ่าบอกให้คุณหนูกลับไปก่อน ท่านไม่สบายต้องการพักผ่อนครับ ท่านผู้เฒ่ายังบอกอีกว่าเดินทางปลอดภัยล่ะ”หลี่เหม่ยถิงที่นั่งยิ้มกริ่มเพราะกลั่นแกล้งท่านผู้เฒ่าได้ กลับโดนไล่กลับทั้งแบบนั้น ได้แต่ทำตาโตตกตะลึง อ้าปากหวอปึง!“เดี๋ยว! ท่านอาจารย์ศิษย์ล้อเล่น ไม่ทวงของแล้วก็ได้ กลับมาสอนก่อนนนนน....อาจารย์!”บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าติดเล่นซุกซนเกินไป หลี่เหม่ยถิงและเกาอี้โดนพ่อบ้านตระกูลติงต้อนออกไปข้างนอกแล้วปิดประตูใส่หน้า“เอายังไงต่อครับคุณหนู” “คุณการ์ดเกา นั่งรอก่อนดีกว่าค่ะ เผื่ออาจารย์จะ
“ศิษย์น้อย มานั่งนี่เถอะ” “งิ้วน่ะเล่นให้มันน้อยหน่อย ไม่ก็แสดงให้มันดีกว่านี้”ผู้เฒ่าติงบ่นให้อย่างปลงตก ใครใช้ให้เขาได้ศิษย์มาด้วยวิธีประหลาด ศิษย์เขาธรรมดาเสียที่ไหน ดูภายนอกอาจทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนสงบนิ่งเรียบร้อยเนื้อแท้หลี่เหม่ยถิง มีความขบถอยู่ในตัวสูง“ไม่เล่นแล้วค่ะอาจารย์” หลี่เหม่ยถิงเองก็หยุดเล่น หันกลับมาจริงจัง วันนี้เธอตั้งใจมาเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด“วันนี้ไม่ได้ให้มาเรียนหรอก กลับไปแล้วก็ทบทวนสิ่งที่อาจารย์สอนให้ขึ้นใจล่ะ”อ้าว?“วันนี้ไม่เรียนจริงเหรอคะ” ความรู้นี่เธอจะเอาไว้หากินในอนาคต ยิ่งมีมากความผิดพลาดยิ่งน้อย แต่ถ้าพูดไปตอนนี้โดนตีมือบวมแน่หน้ามุ่ยตาละห้อยของหลี่เหม่ยถิง เล่นเอาผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลติงใจอ่อนยวบ‘เป็นเด็กสาวที่มีความตั้งใจเรียนรู้มากเสียจริง’นี่เป็นข้อดีของศิษย์คนนี้ล่ะนะ “อาจารย์เรียกมาสอบถามเรื่องเรียนต่อ ศิษย์น้อยคิดเห็นไว้ยังไงบ้าง” ท่านผู้เฒ่ามีสีหน้าดีขึ้น เอ่ยถามจุดประสงค์ที่เรียกมาวันนี้“มีคิดไว้นิดหน่อยแล้วค่ะ” เสียงตอบค่อยไม่หนักแน่นนัก ผู้เฒ่าติงจึงคิดว่าลูกศิษย์เพียงตอบไปอย่างนั้นเอง“ถ้ายังไม
เย็นวันเดียวกันหลี่เหม่ยถิงใส่ชุดออกกำลังกายสีดำ เอาฮู้ดคลุมหัวเตรียมวิ่งออกกำลังกายเหมือนทุกวัน เธอวิ่งมาตามทางเดินป่าด้านหลังโรงเรียน เจอกองหินก้อนเดิมก็เลี้ยวไปทางน้ำตก“คุณหนูหลี่ สวัสดีครับ”“คุณหวาง”เธอนัดหวางอู๋ซวนออกมาเจอกันที่นี่ จะได้คุยกันได้สะดวก บางครั้งในเมืองก็มีหูตาผู้คนมากเกินไป“คุณหนูจะถามเรื่องเถี่ยต้านใช่ไหมครับ”“คุณหวางคิดว่าไง ฉันต้องการให้คุณทำยังไงก็ได้ที่ทำให้เถี่ยต้านยอมออกมาคุยกับเรา” หลี่เหม่ยถิงมีประกายตาเย็นชาวาบผ่าน“ใช้ได้ทุกวิธีเหรอครับคุณหนู” หวางอู๋ซวนถามเพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่ไม่มีวิธีแต่เขาไม่นึกว่าเด็กสาวแบบหลี่เหม่ยถิงจะอนุมัติ“ไม่ต้องถึงตาย แค่ข่มขู่กับเจ็บตัวเล็กน้อยก็พอรับได้ค่ะ” “ฮ่า ฮ่า ผมน่าจะมาถามคุณหนูตั้งแต่แรก เข้าใจแล้วครับ ต่อไปทุกอย่างจะราบรื่นขึ้นแน่นอน”2 วันให้หลังเรือนจำกลางซานตง“นักโทษหมายเลข C20xxxxx มีคนมาเยี่ยม” เสียงผู้คุมเข้ามาเรียกหานักโทษช่วงพัก”คนถูกเรียกแปลกใจ ตัวเขาบอกลูกเมียล่วงหน้าว่าไม่มีธุระสำคัญไม่ต้องมา ให้เก็บตัวเงียบเข้าไว้สัก 2-3 ปี‘หรือที่บ้านจะเกิดเรื่อง’เถี่ยต้านรีบเดินตามผู้คุมออกมา
“สรุปคือ นายไม่ได้รู้จักกับคนจ้างวานมาก่อน” คำถามนี้เป็นหวางอู๋ซานที่ถามออกมาก่อน ถ้าตามที่เถี่ยต้านบอก การจะตามหาผู้จ้างวานที่ไม่รู้จักต้องอาศัยเวลา“ตอนแรกก็ไม่รู้จักครับ มารู้เอาวันขึ้นศาลนั่นล่ะ คนจ้างก็อยู่ที่นั่น ผมตกใจเกือบตาย ดีที่ตั้งสติทันไม่เผยพิรุธ”‘วันขึ้นศาล?’ทั้งหลี่เหม่ยถิงและหวางอู๋ซวนหันมองหน้ากันทันที ความเป็นไปได้ที่คิดออกสว่างวาบขึ้น“คนขับรถแท็กซี่!”หลี่เหม่ยถิงเป็นคนพูดออกมาด้วยความมั่นใจ ส่วนหวางอู๋ซวนท่าทางตื่นเต้นเหมือนหมาล่าเนื้อที่มองเห็นเหยื่อ“ใช่ครับ” คนเล่าเรื่องพยักหน้ายืนยันตามนั้น“ไอ้เวรเอ๊ย ไม่คิดว่าจะเป็นมัน หนึ่งในผู้เสียหาย ไอ้ลูกหมานี่ฉลาดฉิบหาย โอ๊ะขอโทษครับคุณหนู” นึกได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว จึงหันไปขอโทษเด็กสาวที่ได้พ่นคำหยาบออกไปให้ได้ยิน“ไม่เป็นไรค่ะ เราคิดไว้แค่ว่าคนขับแท็กซี่ก็อาจจะถูกเตี๊ยมไว้ก่อน แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนวางแผนและจ้างวานเถี่ยต้านอีกที”“เอ้า หมดเวลา พานักโทษกลับเข้าแดนคุมขังได้”ยังไม่ทันได้ถามต่อ ผู้คุมก็เดินเข้ามาประกบจะพาเถี่ยต้านกลับไป“เดี๋ยว ๆ พวกคุณยังไม่รับปากเลย ว่าจะไม่ทำอะไรครอบครัว
ร้านอาหารจีน เหยียนหวงตี้“เลือกอาหารที่ชอบมาสักอย่างสองอย่างเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจไป” เฉินเฉวียนฟานพูดจบก็ยื่นแผ่นเมนูให้หลี่เหม่ยถิง หลังจากรับมาดูคร่าว ๆ รอบหนึ่ง หันไปสั่งอาหารโปรดของน้องสาวและตัวเองคนละ 2-3 อย่าง“เอ…เหม่ยถิงเธอชอบกินรสจัดแบบเสฉวนค่ะ แต่จริง ๆ ก็กินได้ทุกอย่างนะ งั้นเอาม๋าผัวโต้วฝู ละกันเนอะ”ชายหนุ่มลอบพิจารณาเด็กสาวที่นั่งข้างน้องสาวอีกฝั่งบนโต๊ะกลมของเฟอร์นิเจอร์ไม้ฝังมุก เขาได้ยินคำกล่าวชื่นชมถึงเพื่อนรักจากหยานหยานบ่อยครั้ง มีโอกาสได้พบกันครั้งแรกกลับมองลักษณะนิสัยไม่ออก‘เด็กสาววัยนี้แต่ท่าทางเรียบเฉยเฉียบขาด’จากพื้นเพที่หยานหยานเล่าให้ที่บ้านฟัง การให้ซินหยานคบก็ไม่ได้แย่อะไร คงต้องเฝ้าดูสักระยะแววตาใคร่ครวญของเฉินเฉวียนฟานเองก็ถูกหลี่เหม่ยถิงจดจ้องอยู่ก่อน ก็ไม่แปลกลูกสาวคนเดียวของตระกูล การจะมีเพื่อนสนิทสักคนไม่ใช่เรื่องเล็ก คงต้องมีการเฝ้าระวังตรวจสอบภูมิหลังให้ดีพวกตระกูลใหญ่ที่จะขยับทำอะไรทีก็คิดถึงแต่ผลประโยชน์ ทำเธอเอียนจะแย่ละ ความอยากอาหารลดลงทันที“ไม่ถูกปากเหรอเหม่ยถิง” ซินหยานที่เห็นหลี่เหม่ยถิงวางตะเกียบก็ถามอย่างใส่ใจ
“คุณหนูใหญ่ ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ”ปึง!“ขอบคุณค่ะลุงหย่งอัน สบายดีกันใช่ไหมคะ” หลี่เหม่ยถิงอมยิ้มพร้อมถามไถ่ ขณะที่พากันเดินขึ้นบันไดเข้าไปในตัวบ้าน เห็นร่างอวบของป้าหนิวอี ยืนยิ้มรับอยู่ข้างบานประตูใหญ่“คุณหนูของนม ดูสิไปแค่ไม่กี่เดือน ทำไมผอมแบบนี้” ในสายตาคนที่ห่วงใย ห่างสายตาไปนิดเดียวคิดเสมอว่าเราอยู่ไม่สุขสบาย“อะไรกันคะ หนูกินเยอะจนพุงจะป่องอยู่แล้วนะยังจะบอกว่าผอมอีก”“พาคุณหนูเข้าไปก่อนเถอะ คุณท่านนั่งรอนานแล้ว เดี๋ยวคุณค่อยทำของบำรุงระหว่างที่คุณหนูกลับมาบ้านให้มากหน่อยก็พอ”“ตาเฒ่า! ความคิดดีมาก ฉันรีบเข้าครัวไปดูสิว่าพวกเด็ก ๆ ทำอะไรเตรียมไว้บ้าง” เด็กสาวหันไปยิ้มคาดโทษพร้อมค้อนวงใหญ่ให้ลุงหย่งอัน มาอีหรอบนี้เธอได้จมน้ำแกงบำรุงสารพัดอย่างอีกตามเคย จะไม่กินเดี๋ยวป้าหนิวอีก็บ่นน้อยใจอีก“ถิงเออร์ มาแล้วเหรอลูก มา ๆ ให้พ่อดูหน้าค่าตาหน่อย” เสียงแหบบ่งบอกว่าคนพูดสุขภาพไม่ดีนัก แต่ความสดใสในน้ำเสียงกลับเต็มร้อย“สวัสดีค่ะคุณพ่อ กลับมาแล้วค่ะ” เด็กสาวรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปประคองมือผู้สูงวัยให้นั่งลง จากนั้นตัวคนก็นั่งลงตามสายตาหลังกรอบแว่นพิจารณาใบหน้าและออร่ารอบต
เวลาเที่ยงวันต่อมาสามสาวจากตระกูลหลี่พากันเดินทางไปยังถนนหลงหูเทียน ถนนการค้าที่มีร้านของแบรนด์ระดับไฮเอนด์ทั้งแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ เปิดสาขาเป็นแนวยาวตลอดเส้น มีลูกค้าที่เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคมเชิงตูเดินกันขวักไขว่‘เป่ยชุนฮัว’ เป็นร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ต้องจองคิวล่วงหน้านานหลายเดือน เจ้าของร้านเรียนจบแฟชั่นดีไซน์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศ แล้วไปเรียนต่อพร้อมสร้างชื่อจากงานประกวดในต่างประเทศ พอกลับมาเปิดร้านที่เฉิงตูจึงเป็นที่ยอมรับกันในวงสัมคมชั้นสูงของเฉิงตูแทบจะทันที‘ต้องยอมรับว่า ติงหรูอี้สร้างภาพได้ดี ลงทุนจองคิวร้านนี้ให้เธอหรือจะเรียกว่าพวกเธอทั้งสามดีล่ะ เธอคงเป็นแค่ผลพลอยได้มากกว่า’ หลี่เหม่ยถิงปราดมองป้ายชื่อร้านด้วยความแปลกใจ แล้วเดินตามเข้าไปในร้านเสื้อผ้าที่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ด้วยโทนสีขาว แดงและดำ “ยินดีต้อนรับค่ะ คุณผู้หญิงมีนัดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ” ติงหรูอี้แจ้งหมายเลขลำดับการจองออกไปพนักงานจึงเชื้อเชิญให้นั่งรอก่อนถงไฉ่หงดีไซเนอร์เจ้าของร้าน ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง“คุณนายหลี่ สวัสดีค่ะคิวที่นัดหมายไว้ 2 ท่านนะคะ” หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงต
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ