ยวี่จี๋สบตากับจางอวิ๋น ยวี่จี๋ถามอย่างระมัดระวัง "คุณหนู หากมีผู้ใดทรมานพวกเรา บังคับให้พวกเราเปิดเผยความลับ จะทำอย่างไร?" ยวี่จี๋สมกับเป็นผู้ดูแลจวน คิดรอบคอบกว่าผู้อื่น เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างไม่แสดงอาการใดๆ "ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามบอกออกไป หากมีผู้ใดทรมานบังคับพวกเจ้า ข้าจะรับผิดชอบรักษาพยาบาลและชดเชยให้ แต่มีข้อแม้ว่าพวกเจ้าต้องไม่เปิดเผยความลับ" "ข้าพูดถึงเพียงเท่านี้ พวกเจ้าเลือกได้ว่าจะประทับลายนิ้วมือหรือไม่ หากไม่ประทับ ก็เก็บข้าวของออกไปได้เลย ก่อนจากไปข้าจะจ่ายค่าจ้างเดือนนี้ให้" นิ้วชี้ของเจียงซุ่ยฮวนเคาะโต๊ะเบาๆ "ไม่ต้องรีบ ข้าให้เวลาพวกเจ้าคิดหนึ่งธูป" หยิ่งเถาและหงหลัวเลือกประทับลายนิ้วมือโดยไม่ลังเล "คุณหนู พวกเราจะรักษาความลับอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!" ชุนเถาก็ประทับลายนิ้วมือตาม "อาจารย์ ข้าก็จะรักษาความลับเช่นกันเจ้าค่ะ" เหลือเพียงยวี่จี๋และจางอวิ๋นที่ยังลังเล มิใช่ไม่อยากรักษาความลับ แต่กังวลว่าภายภาคหน้าอาจเผชิญอันตรายถึงชีวิต แต่ทั้งสองคิดอีกที พวกเขารับใช้ผู้คนมามาก เจียงซุ่ยฮวนปฏิบัติต่อพวกเขาดีที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเขาทำงานที่จวนอัครเสนาบดี ถูกเมิ่งเซียวขายไป
"ในช่วงที่ท่านไม่อยู่บ้าน บางครั้งก็มีลุงแก่มาขายสมุนไพร ลุงยวี่ซื้อไว้ทั้งหมด รอท่านกลับมาใช้เจ้าค่ะ" "เก็บไว้ก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมารักษา ส่วนสมุนไพรพวกนั้น หากเก็บถูกวิธีก็จะไม่เสีย" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ ก่อนหน้านี้ฮูหยินอ๋องให้คนแพร่ข่าวลือว่านางเป็นหมอปลอม ทำให้ไม่มีใครกล้ามารักษา แต่นางไม่ใส่ใจ นางมีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้คน แต่พวกเขากลับไม่เชื่อใจนาง แล้วนางจะไปวิ่งตามเอาใจพวกเขาทำไม มีเสียงดังจากนอกประตู หยิ่งเถาพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามว่า "คุณหนู จะให้ขังสี่จือไว้ก่อนไหมเจ้าคะ เกรงว่ามันจะพุ่งชนท่านโดยไม่ตั้งใจ" เจียงซุ่ยฮวนคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า "ไม่เป็นไร สี่จือรู้กาลเทศะ เมื่อวานเห็นข้าก็ไม่ได้วิ่งเข้ามา ปล่อยให้มันอยู่ในลานเถอะ จะได้เฝ้าบ้านด้วย" สี่จือฉลาดมาก สามารถแยกแยะคนดีคนเลวได้ เจียงซุ่ยฮวนไว้ใจมัน สายตาของหยิ่งเถามักจ้องที่ท้องของเจียงซุ่ยฮวนโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็นึกถึงปัญหาสำคัญ "คุณหนู เมื่อเด็กคลอดแล้วต้องเตรียมอะไรบ้างเจ้าคะ?" เจียงซุ่ยฮวนเขียนสิ่งที่ต้องใช้ทั้งหมดลงบนกระดาษ มอบให้หยิ่งเถาไปจัดเตรียม หลังหยิ่งเถาออกไป ในห้องเหลือเพียงชุนเ
เจียงซุ่ยฮวนไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเงียบไม่พูดจา ว่านเมิ่งเยียนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา นางดึงแขนเสื้อเจียงซุ่ยฮวน เสียงแฝงความสะอื้น "อาฮวน เจ้าพูดสิ เกิดเรื่องกับเสวียหลิงใช่หรือไม่?" "สัตว์ป่าในภูเขาดุร้าย เขาถูกกินไปแล้วหรือ?" เห็นว่านเมิ่งเยียนคาดเดาเกินจริง เจียงซุ่ยฮวนจำต้องกล่าว "เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เสวียหลิงยังมีชีวิตอยู่ดี มิได้ถูกสัตว์ป่ากินไป" เสียงร้องไห้ของว่านเมิ่งเยียนหยุดกะทันหัน "แล้วเหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเช่นนี้?" เจียงซุ่ยฮวนเห็นสีหน้ากังวลของนาง พูดไม่ออก นางรักเสวียหลิงมากเพียงนั้น หากรู้ว่าเสวียหลิงถูกวางยากู่โลหิต คงรับไม่ได้แน่ นางกำแขนเสื้อเจียงซุ่ยฮวนแน่น "หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสวียหลิง ขอร้องละ บอกข้าด้วย ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใคร!" "เรื่องนี้..." เจียงซุ่ยฮวนลำบากใจยิ่ง เรื่องที่เสวียหลิงถูกกู่โลหิต คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ นางเองก็ไม่กล้าบอกใครง่ายๆ คิดอยู่หลายตลบ เจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าว "ข้าบอกได้เพียงว่าเสวียหลิงยังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นข้าไม่อาจพูดมาก" "พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปจวนสกุลเสวีย ส่วนจะได้พบเสวียหลิงหรือไม่ ต้องดูความเห็นของท่านพ่อท่านแม่เขา"
หลังดูการตกแต่งชั้นหนึ่งทั้งหมด เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกขาอ่อน ถึงขั้นไม่กล้าถามว่าใช้เงินไปเท่าไหร่การตกแต่งหรูหราขนาดนี้ อย่าว่าแต่เปิดร้านเสริมสวยเลย แม้แต่ใช้เป็นโรงแรมก็ต้องห้าดาวเป็นอย่างต่ำว่านเมิ่งเยียนถามอย่างตื่นเต้น "ทั้งหมดนี้ข้าเลือกเอง เจ้าคิดว่าอย่างไร? ถ้าไม่พอใจข้าจะแก้ไขใหม่""พอใจมาก" เจียงซุ่ยฮวนชื่นชม แล้วถามอย่างลังเล "เตียง ผ้าม่าน และพื้นพวกนี้ ล้วนใช้วัสดุชั้นดี คงใช้เงินไปไม่น้อยสินะ?"ว่านเมิ่งเยียนตอบ "ก็พอไหว"พอนางบอกว่าพอไหว เจียงซุ่ยฮวนก็รู้ว่าแย่แล้วจริงดังคาด นางเอ่ยว่า "รวมเสาหน้าประตูสองต้นนั่น ทั้งหมดก็แค่สามหมื่นกว่าตำลึง""พื้นและผ้าม่านข้าสั่งทำกับคนรู้จัก ราคาลดให้มาก แค่แจกันเซรามิกนี่แพงหน่อย เป็นฝีมือช่างสมัยราชวงศ์ก่อน นับเป็นของโบราณแล้ว"เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือเกาะกรอบประตู พยายามยืนให้มั่นสามหมื่นกว่าตำลึง แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาในเมืองหลวง ก็ต้องอดข้าวอดน้ำเก็บกันหลายชั่วคนซื้อร้านนี้ใช้เงินสี่หมื่นเจ็ดพันตำลึง นางยังขาดอีกสองหมื่นกว่าตำลึงต้องผ่อนจ่าย แต่ว่านเมิ่งเยียนใช้เงินแค่ซ่อมแซมก็สามหมื่นกว่าตำลึง นางต้องทำงานนานแค่ไหนถึงจะหาเงิ
ที่ลานหน้าจวน กงซุนซวีถือดาบยาวที่แกะจากไม้ กำลังฝึกฟันดาบอยู่ในลาน แม้ท่าทางของเขาจะยังใช้แรงไม่เต็มที่ แต่ดูจากการร่ายรำทีละท่าแล้ว เห็นได้ว่ามีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่เขายังเด็ก รากฐานไม่แน่นพอ หลายวันที่ไม่ได้ฝึก พื้นฐานที่ดีก็เริ่มเสื่อมถอย เจียงซุ่ยฮวนดูอยู่ครู่ใหญ่ ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้น "ท่าทางเจ้าลอยเกินไป อันดับแรกต้องยืนให้มั่น อันดับสองต้องฟันดาบให้เร็ว จิตใจต้องไม่วอกแวก จึงจะเป็นหนึ่งเดียวกับดาบได้" แม้กงซุนซวีจะไม่หยุดเคลื่อนไหว แต่เห็นได้ชัดว่ารับฟังคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน ฝีเท้าที่เดิมไม่มั่นคงก็มั่นคงขึ้นมาก เจียงซุ่ยฮวนพูดต่อ "ดาบเป็นอาวุธร้ายแรง เวลาใช้ดาบต้องเร็ว แม่น และโหด ไม่อาจเฉื่อยชาอืดอาด ขณะออกท่าต้องมองท่าของคู่ต่อสู้ให้ชัด คิดว่าท่าต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่สนใจแต่ฟันดาบของตน เช่นนั้นจะบาดเจ็บได้ง่าย" ภายใต้การชี้แนะของนาง ท่าฟันดาบของกงซุนซวีก็เด็ดขาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนดูราวกับเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นทันที เจียงซุ่ยฮวนมองด้วยความพอใจ ชี้แนะเป็นระยะ ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่างดงามขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งชั่วยามผ่านไป กงซุนซวีวางดาบในมือ ใบหน้าเต็มไปด้
เจียงซุ่ยฮวนพูดเบาๆ ว่า "คงไม่ใช่หรอก ถ้าบิดามารดาของเจ้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ คงบุกเข้ามาทางประตูหน้าแล้ว ไม่มาแอบย่องเข้าทางสวนหลังหรอก" พูดจบ ก็มีเสียงหอนเหมือนผีร้องหมาหอนดังมาจากสวนหลัง คนผู้หนึ่งเดินโซเซจากสวนหลังมาสวนหน้า ด้านหลังมีสี่จือไล่ตามติดๆ คนผู้นั้นสวมชุดกระบี่ยุทธ์ หลังแบกห่อใหญ่ เพื่อไม่ให้ถูกสี่จือกัด จึงต้องกระโดดไปมา ถึงขั้นหยิบกิ่งไม้จากพื้น "ฟึ่บ ๆ ๆ " ใช้กระบวนท่ากระบี่หลายท่า วรยุทธ์กระบี่ของเขาแม่นยำร้ายกาจ น่าเสียดายที่กิ่งไม้ใช้ไม่ได้ผล ไม่กี่ท่าก็ถูกสี่จือกัดขาด เขาร้องดังลั่นแล้ววิ่งต่อไป เจียงซุ่ยฮวนหรี่ตา ทำไมรู้สึกว่าร่างนั้นคุ้นตานัก? วรยุทธ์กระบี่ก็คุ้นเคย นางเรียกสี่จือ "ไม่ต้องไล่แล้ว กลับมา" สี่จือเชื่อฟัง วิ่งกลับมา คนผู้นั้นเห็นสี่จือไม่ไล่แล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก "สวรรค์! เพิ่งพ้นปากเสือก็เข้าถ้ำหมาป่า น่ากลัวๆ!" เจียงซุ่ยฮวนลองถาม "อาจารย์?" "เจ้าเก้า? นี่เป็นบ้านเจ้าหรือ?" คนผู้นั้นหันกลับมา ที่แท้คือฉู่เฉิน "เจ้าเลี้ยงหมาป่าอะไรไว้ในบ้าน? เกือบทำให้ข้าหัวใจวายแล้ว!" เจียงซุ่ยฮวนได้แต่ส่ายหน้า "ข้าเก็บมันมาตอนขึ้นเขาเก็บสมุน
ฉู่เฉินชะงัก มองกงซุนซวีขึ้นลง "เจ้าจะรับข้าเป็นอาจารย์?" "ได้หรือไม่ขอรับ?" กงซุนซวียังอยู่ในวัยเจริญเติบโต สูงเท่าไหล่ของฉู่เฉิน เขาเงยหน้ามองฉู่เฉิน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก่อนเขาเคยได้ยินผู้คนพูดว่าฉู่เฉินนิสัยโหดร้าย ชอบทรมานผู้อื่น แต่วันนี้เห็นฉู่เฉินสนทนากับเจียงซุ่ยฮวน เขารู้สึกว่าฉู่เฉินต่างจากคำเล่าลือ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเสี่ยง ดูว่าฉู่เฉินจะรับเขาเป็นศิษย์หรือไม่ วรยุทธ์ของฉู่เฉินเก่งกาจนัก แม้สอนเพียงสิบวัน วรยุทธ์ของเขาก็คงก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น ฉู่เฉินลูบคาง ครุ่นคิด "แม้ข้าไม่ได้รับศิษย์มาหลายปีแล้ว แต่หากเจ้าอยากรับข้าเป็นอาจารย์ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้" "แต่ข้ามีข้อหนึ่ง เมืองหลวงข้าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เจ้าต้องไปเจียงหนานกับข้า" แววตาของกงซุนซวีหม่นลง ดูผิดหวังอยู่บ้าง เจียงซุ่ยฮวนกอดแขนพิงหน้าต่าง "ไม่ได้ อีกสิบวันเขาต้องไปเข้ากองทัพ ไปเจียงหนานกับท่านไม่ได้" ฉู่เฉินดูสนใจมาก "เจ้าจะไปเข้ากองทัพที่ใด? หากเป็นที่ดี ข้าอาจพิจารณาไปกับเจ้า" "..." เจียงซุ่ยฮวนพูดไม่ออก เมื่อครู่ฉู่เฉินยังยืนกรานจะไปเจียงหนาน ตอนนี้กลับบอกว่าที่อื่นก็ได้ นางเตือน "อาจารย
กู้จิ่นไม่อยากล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเจียงซุ่ยฮวน แต่เขาก็พูดคำว่า "ไม่ได้" ไม่ออก เขาหลับตาลงแล้วกล่าวว่า "ได้" เมื่อสายลมหยุด เงาร่างบนหลังคาก็หายไป ครึ่งชั่วยามต่อมา กู้จิ่นปรากฏตัวในคุกใต้ดินของจวน คุกใต้ดินเย็นชื้น บนผนังแขวนตะเกียงทองเหลืองเรียงราย ลมเย็นพัดผ่าน เปลวไฟในตะเกียงสั่นไหวสองสามที แล้วค่อยๆ นิ่งสงบ กู้จิ่นเดินอย่างไร้อารมณ์ในคุกใต้ดิน นักโทษในห้องขังสองข้างเมื่อเห็นเขา ต่างหดตัวสั่นเทาอยู่ในมุม นักโทษเหล่านี้ผมเผ้ารุงรัง สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวหนังเต็มไปด้วยแผลเป็นเป็นทาง กู้จิ่นไม่รู้สึกสงสารนักโทษพวกนี้เลย เพราะส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแก๊งแมงป่องพิษ ส่วนที่เหลือก็ล้วนไม่ใช่คนดี รองเท้าบู๊ตของเขาเหยียบบนแผ่นหิน เงียบไร้เสียง สาวใช้ถือตะเกียงทองเหลือง ตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ เมื่อเดินผ่านห้องขังหนึ่ง ชายชราขาเป๋พุ่งเข้าใส่เขาฉับพลัน มือจับลูกกรงแน่น พยายามจะตะโกน แต่ทำได้เพียงส่งเสียงแผ่วเบา "ปล่อยข้าออกไป! ข้าไม่มีความผิด รีบปล่อยข้าออกไป!" กู้จิ่นชายตามองเขาอย่างเฉยเมย ไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย เขาคือพ่อม่ายที่ขายเจียงเม่ยเอ๋อร์ให้แ
จางรั่วรั่วเพิ่งสังเกตเห็นกู้จิ่น นางยืดตัวตรงทันที ค้อมกายคำนับเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยความประหม่าว่า "หม่อมฉันเรียนวิชายุทธ์จากสำนักในเมืองหลวงเพคะ" "เจ้าไม่ต้องไปอีกแล้ว" "เหตุใดเล่าเพคะ?" "สิ้นเปลืองเงินทองเปล่า ๆ" จางรั่วรั่วยักไหล่ ก่อนเอ่ยเสียงเบา "เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนกลั้นยิ้มที่มุมปาก กล่าวว่า "รั่วรั่ว ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีเรื่องจะถาม มารดาของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ?" "มารดาของหม่อมฉันกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเพคะ" จางรั่วรั่วเก็บดาบในมือ เดินมาใกล้เจียงซุ่ยฮวนแล้วกระซิบว่า "ตำรับยาที่ท่านจัดให้บิดามารดาของหม่อมฉันได้ผลยิ่งนัก บิดาของหม่อมฉันเพิ่งรับประทานได้ไม่กี่วัน มารดาก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะ "ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก" "มารดาของหม่อมฉันพูดเสมอว่าอีกไม่กี่วันจะไปเยี่ยมท่าน แต่ไม่คิดว่าท่านจะมาก่อน" จางรั่วรั่วนำทาง พลางหันมาถามด้วยความอยากรู้ "ท่านมาหามารดาของหม่อมฉันเพื่อถามเรื่องใดหรือเพคะ?" "เจ้าเคยบอกข้าว่า เมื่อแรกเกิดของเจ้า มีนักพรตผู้หนึ่งนามว่าเหยียนซวีมาที่จวนของเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่?" เจียงซุ่ยฮวนถาม "แน่นอนว่าจำได้เพคะ" "ข้ามีภาพ
ผ่านไปราวหนึ่งกาน้ำชา ฮั่วเซิงวาดภาพเสร็จหนึ่งภาพ เจียงซุ่ยฮวนยกกระดาษขึ้นดู ในภาพเป็นชายวัยกลางคน ดูมีเมตตาและใจดี นางส่งภาพวาดให้กู้จิ่น "ฮั่วเซิงเคยบอกว่านักพรตเหยียนซวีดูมีอายุเจ็ดสิบกว่าปี คนในภาพวาดนี้หนุ่มเช่นนี้ น่าจะเป็นอาจารย์ของเขา" เพื่อไม่ให้ผิดพลาด นางก็ถามฮั่วเซิงอีกหนึ่งประโยค "คนในภาพวาดนี้คือใคร?" "อาจารย์ของข้า" "อืม วาดต่อไปเถิด" เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า ภาพวาดนี้แม้จะไม่ถึงขั้นเหมือนจริง แต่ก็ถือว่าใช้ได้ น่าจะตามหาคนจากภาพวาดได้ เมื่อวาดนักพรตเหยียนซวี การเคลื่อนไหวของฮั่วเซิงช้าลงมาก คงจำใบหน้าของนักพรตเหยียนซวีไม่ชัด จึงวาดได้ช้า เจียงซุ่ยฮวนหาวข้าง ๆ กู้จิ่นเห็นแล้วกล่าว "อาฮวน ข้าส่งคนไปส่งเจ้ากลับก่อนดีหรือไม่?" "ไม่รีบเพคะ" เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ ชี้ไปที่ฮั่วเซิงบนพื้น "หม่อมฉันอยากดูว่านักพรตเหยียนซวีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่" "รอเขาวาดเสร็จหม่อมฉันค่อยกลับ" "ได้" ผ่านไปอีกหนึ่งกาน้ำชา ในที่สุดฮั่วเซิงก็วางพู่กันยืดตัวขึ้น คราวนี้กู้จิ่นเป็นคนเก็บภาพจากพื้น แล้วดูพร้อมกับเจียงซุ่ยฮวน ในภาพเป็นชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีจริง ๆ ชายชราผู้นี้มีตาเล็กเ
ในคุกใต้ดินที่มืดสลัว ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเป็นประกายวาววับ ราวกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับในท้องฟ้ายามค่ำคืน กู้จิ่นถาม "วิธีอะไรหรือ?" "หม่อมฉันมีน้ำยาชนิดหนึ่ง ที่จะทำให้ฮั่วเซิงพูดความจริงออกมาได้" เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง หยิบขวดน้ำยาบังคับให้พูดความจริงออกมา "มีของเช่นนี้ด้วยหรือ" กู้จิ่นดูประหลาดใจ มองนางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ "อาฮวนของข้าช่างเก่งจริง ๆ" นางรู้สึกเขินเล็กน้อย ลูบจมูก "ก็พอได้" นางรู้สึกสงสัย หากกู้จิ่นรู้ว่านางมีห้องทดลอง เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? แต่เรื่องเช่นนี้ ยังไม่อาจพูดออกมาก่อน ในระหว่างรอฮั่วเซิงฟื้น กู้จิ่นและเจียงซุ่ยฮวนสนทนากันเสียงเบา ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกัน รอบข้างแผ่ซ่านไออุ่นบาง ๆ ผู้คุมมองดูทั้งสอง คิดว่าตัวเองคงง่วง ถึงได้รู้สึกอบอุ่นในคุกใต้ดินที่เย็นยะเยือกและมืดมิดเช่นนี้ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ร่างของฮั่วเซิงสะดุ้งอย่างแรง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เจียงซุ่ยฮวนกำลังคุยกับกู้จิ่น หางตาสังเกตเห็นฮั่วเซิงฟื้นแล้ว นางจึงก้มลงมอง ฮั่วเซิงจำพวกเขาได้ในทันที ดิ้นรนถอยหลังไป ปากส่งเสียง "อ่า ๆ" แว
"ฮั่วเซิง! ฮั่วเซิง!" ผู้คุมตะโกนเรียกสองครั้งผ่านซี่กรง ฮั่วเซิงที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีการตอบสนองใด ๆ ผู้คุมกล่าว "ครึ่งชั่วยามก่อน จู่ ๆ เขาก็อาเจียนเป็นฟองขาวออกมา ชักกระตุกไปทั้งตัว ตอนแรกบ่าวคิดว่าเขาแกล้ง พอผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือด" "บ่าวไม่รู้วิชาการแพทย์ จึงรีบไปแจ้งชางอี้ เมื่อบ่าวกลับมา ฮั่วเซิงก็เป็นเช่นนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นให้เจียงซุ่ยฮวนยืนอยู่ด้านหลัง แล้วสั่งผู้คุม "เปิดประตูคุก ลากฮั่วเซิงออกมา" ฮั่วเซิงอาจจะแกล้ง กู้จิ่นต้องตรวจสอบก่อน จึงจะให้เจียงซุ่ยฮวนลงมือได้ ผู้คุมลากฮั่วเซิงมาตรงหน้ากู้จิ่น ซึ่งไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ก้มลงจับคอฮั่วเซิงพลิกตัว แล้ววางมือไว้ใต้จมูกเขา ลมหายใจที่เขาหายใจออกมาอ่อนมาก แทบจะหายใจออกแต่หายใจเข้าไม่ได้ ร่างกายก็เย็นเฉียบ "ใกล้ตายจริง ๆ" กู้จิ่นลุกขึ้น พูดกับเจียงซุ่ยฮวน "เจ้าลองดู ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็แล้วไป" "ได้" เจียงซุ่ยฮวนเดินเข้าไปใกล้ เริ่มตรวจร่างกายฮั่วเซิงอย่างละเอียด เพื่อให้เจียงซุ่ยฮวนเห็นชัดขึ้น กู้จิ่นนำตะเกียงน้ำมันมาวางใกล้เท้านาง ได้ยินนางพึมพำ "ตับถูกทำลาย คล้ายเป็นพิษจากยา"
"เข้ามาพูด" ชางอี้ผลักประตูเข้ามา "ฮั่วเซิงที่ถูกขังในคุกใต้ดินเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฮั่วเซิง? เจียงซุ่ยฮวนได้ยินชื่อนี้ก็โกรธจนฟันคัน ฮั่วเซิงผู้นี้ไม่เพียงขโมยเสี่ยวถังหยวนที่เพิ่งเกิด ยังจะเอาเสี่ยวถังหยวนไปเป็นเครื่องสังเวย คนเช่นนี้ตายก็ยังไม่พอ! กู้จิ่นกล่าวเสียงเย็น "เกิดอะไรขึ้น?" ชางอี้พูดเสียงเบา "ได้ยินว่าเป็นโรคร้ายกำเริบ บ่าวยังไม่ทันไปตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นนวดขมับ พูดกับเจียงซุ่ยฮวน "อาฮวน เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าทีหลัง ตอนนี้ข้าต้องไปที่คุกใต้ดินก่อน" เจียงซุ่ยฮวนรั้งเขาไว้ "ฮั่วเซิงผู้นั้นยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่?" "อืม" กู้จิ่นพยักหน้า "ยังมีความลับที่เขาไม่ได้บอก ยังตายไม่ได้" "เช่นนั้นหม่อมฉันไปกับท่านด้วย" เจียงซุ่ยฮวนสวมรองเท้ายืนขึ้น "ไปกันเถิด" กู้จิ่นกล่าวเสียงทุ้ม "อาฮวน เจ้าควรพักผ่อนให้ดี" "วันนี้หลังจากกลับจากวังแล้ว หม่อมฉันพักผ่อนมานานแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว นางคลอดบุตรมาหลายวันแล้ว อีกทั้งของบำรุงที่กู้จิ่นส่งมาล้วนเข้าท้องนางไปหมด ร่างกายของนางฟื้นฟูเกือบเป็นปกติแล้ว กู้จิ่นก้าวไปกอดนาง พูดเสียงเบา "อาฮว
เจ้าถังหยวนกู้จิ่นกล่าวเสียงต่ำ "ข้าก็คิดไม่ออก ดังนั้นช่วงนี้ข้าจึงสืบเรื่อยมา แต่กลับพบความลับเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน" "เปรี๊ยะ" ขณะที่กู้จิ่นกำลังจะพูดต่อ จู่ ๆ นอกหน้าต่างก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น คล้ายเสียงกิ่งไม้หัก กู้จิ่นเงยหน้าขึ้นทันที สายตาคมกริบราวกับมีดมองไปที่หน้าต่าง เอ่ยเสียงกร้าว "ใคร?" เจียงซุ่ยฮวนวางมือไว้ข้างหลัง หยิบกริชออกมาจากห้องทดลอง กำไว้แน่น "ฮิ ๆ ข้าเอง" หน้าต่างถูกเปิดออก ฉู่เฉินโผล่หัวเข้ามากล่าว "ข้าเดินผ่านมาทางนี้พอดี ไม่ระวังเหยียบกิ่งไม้เข้า" "ขออภัยจริง ๆ ข้าจะไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว" ฉู่เฉินพูดพลางจะปิดหน้าต่าง "อาจารย์รอก่อน" เจียงซุ่ยฮวนเรียกเขาไว้ ถามว่า "กลางวันท่านไปไหนมา?" ฉู่เฉินหยุดการเคลื่อนไหว กล่าวว่า "ข้าแค่ไปเดินเล่นแถวนี้ นอกจากนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเลย" "เช่นนั้นหรือ?" กู้จิ่นเอ่ยเสียงเย็น "ท่านไม่ได้ไปบ่อนพนันหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนได้ยินคำว่าบ่อนพนัน ก็ขมวดคิ้วทันที "เอ๋? บ่อนพนันอะไร?" ฉู่เฉินดูกระวนกระวายใจ สายตาไม่อยู่นิ่ง "ข้าจะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร?" กู้จิ่นกล่าว "ที่ข้อมือของท่านผูกเชือกแดงสามเส้น หากข้าจำไม่ผิด เ
กู้จิ่นนั่งข้างเจียงซุ่ยฮวน ถามว่า "อาฮวน เจ้าจะบอกอะไรข้า?" เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องที่นางเห็นที่หน้าประตูวังในตอนกลางวัน รวมทั้งเรื่องที่จีกุ้ยเฟยปลอมตัวเป็นเมิ่งเซียวเขียนจดหมายถึงเมิ่งชิงให้กู้จิ่นฟังด้วย หลังจากเล่าทั้งหมดแล้ว เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย "จีกุ้ยเฟยช่างมีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำ หากท่านไม่เปิดโปงนาง สุดท้ายคนที่จะสืบราชบัลลังก์อาจเป็นฉู่อี้" ตอนแรกที่กู้จิ่นรู้ว่าจีกุ้ยเฟยนอกใจฮ่องเต้ เขาโกรธมาก แต่บัดนี้กลับดูสงบมาก เขาถามเสียงเรียบ ๆ "อาฮวน เจ้ายังต้องการใช้มือของจีกุ้ยเฟยจัดการเจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ?" "อีกอย่าง จีกุ้ยเฟยยังติดค้างเจ้าสองบุญคุณ หากเปิดโปงนางตอนนี้ เจ้าก็จะเสียเปรียบไม่ใช่หรือ?" เจียงซุ่ยฮวนลูบคาง กล่าวว่า "ท่านพูดมีเหตุผล" "แต่เมื่อเทียบกับเรื่องของหม่อมฉัน เรื่องราชบัลลังก์สำคัญกว่า" นางจ้องกู้จิ่นอย่างจริงจัง พูดอย่างมีนัยสำคัญ "ท่านสนิทกับฮ่องเต้มาก คงไม่อยากเห็นพระองค์ถูกหลอกอยู่ตลอดไป" กู้จิ่นมองเข้าไปในดวงตานาง จู่ ๆ ก็หัวเราะขื่น ๆ "อาฮวน เจ้าทายใจข้าได้แล้วใช่หรือไม่?" "ท่านบอกมาได้ หม่อมฉันจะได้รู้ว่าตนเองทายถูกหร
แม่ทัพเจิ้นหยวนคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับสงบยิ่ง ราวกับผิดหวังในตัวฮ่องเต้อย่างถึงที่สุด "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา กระหม่อมขอมอบป้ายอาญาสิทธิ์ในวันนี้ นับจากนี้ไปไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนักอีก" เขาค่อย ๆ ล้วงป้ายอาญาสิทธิ์ออกจากอกเสื้อ ประคองด้วยสองมือส่งไปยังพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงรับอาญาสิทธิ์โดยไม่ลังเล "สมกับเป็นแม่ทัพเจิ้นหยวน เด็ดขาดทีเดียว" แม่ทัพเจิ้นหยวนโขกศีรษะแรงลงกับพื้น "กระหม่อมขอทูลลา!" พูดจบ เขาลุกขึ้นเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง งานมงคลกลายเป็นเช่นนี้ คนรับใช้ที่หามเกี้ยวและสินสอดข้าง ๆ มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ฉู่เลี่ยนเดิมก็ไม่อยากแต่งงานกับเมิ่งชิง เห็นเหตุการณ์พัฒนามาถึงขั้นนี้ เขาซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากไม่อยู่ ดึงดอกไม้สีแดงใหญ่ที่หน้าอกออก กล่าวว่า "เสด็จพ่อ วันนี้งานแต่งนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ลูกขอทูลลา" "เจ้าจะลาอะไร ใครบอกว่างานแต่งนี้เป็นไปไม่ได้?" ฮ่องเต้ขมวดพระขนง"เอ๋?" ฉู่เลี่ยนตกตะลึง "เสด็จพ่อ จวนแม่ทัพเจิ้นหยวนก็ไม่มีแล้ว จะแต่งงานกันได้อย่างไร? ไม่ทราบว่าพระองค์จะให้ลูกแต่งกับสามัญชนหรือ
ความหมายของจีกุ้ยเฟยชัดเจน แม้เมิ่งชิงจะทำผิด แต่หากสั่งประหารนางตอนนี้ ฉู่เลี่ยนก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นพ่อคนอีกตลอดชีวิต ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แม้ฉู่เลี่ยนจะไม่มีความสามารถอะไร ปกติชอบใช้เล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยังดีที่เขาเชื่อฟัง หากเขาไม่มีทายาท ก็จะน่าเสียดายเกินไป "พระสนม ท่านคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?" ฮ่องเต้ทรงโยนปัญหาให้จีกุ้ยเฟย จีกุ้ยเฟยทูลตอบ "หม่อมฉันเห็นว่า เมิ่งชิงก่อเรื่องอุกอาจเช่นนี้ แม่ทัพเจิ้นหยวนย่อมหนีความผิดไม่พ้น ไม่สู้ลงโทษแม่ทัพเจิ้นหยวนก่อน ส่วนเมิ่งชิงนั้น รอให้นางคลอดบุตรแล้วค่อยจัดการก็ไม่สายเพคะ" "วิธีนี้ดี" ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า สั่งหลิวกงกงที่อยู่ข้างกาย "ไปเรียกแม่ทัพเจิ้นหยวนมา เราต้องถามเขาดูว่า เขาเลี้ยงดูหลานสาวเช่นนี้มาได้อย่างไร!" แม่ทัพเจิ้นหยวนนั่งอยู่ในรถม้าหน้าประตูวัง หลิวกงกงนำตัวเขามาอย่างรวดเร็ว เขาเดินอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามีแววโกรธ เมื่อเดินมาถึงข้างกายเมิ่งชิง เขาตบหน้านางเต็มแรงหนึ่งที "นางชั่ว!" "ข้าใช้ชีวิตในสนามรบมาทั้งชีวิต กลับเลี้ยงหลานสาวเช่นเจ้าที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ช่างเป็นความอัปยศของข้า