หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนในแคว้นต่าง ๆ เริ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทีละคนสองคน หลายหมู่บ้านอยู่กันอย่างหวาดกลัวคิดว่ามีปีศาจออกอาละวาดจนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างประสบปัญหาเดียวกัน แม้จะมีการสืบหาที่มาแต่ทำอย่างไรก็ไม่พบ คนที่ส่งออกตามหาข่าวย่อมสูญหายเช่นเดียวกัน
เซียวอวี้เทียนได้รับรายงานจากหลายตำหนักว่าเซียนน้อยที่ลงมาทำภารกิจบนดินแดนมนุษย์ไม่กลับขึ้นสวรรค์ตามกำหนด เทียนจวินจึงสั่งให้เขาลงมาสืบหาสาเหตุ เขาตัดสินใจเริ่มต้นหาข่าวในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนเกิดพลังเวทขุมใหญ่คอยดูดกลืนพลังชีวิตผู้คน เมื่อได้เห็นว่าเป็นหมู่บ้านจิ้งจอกแดงจึงคอยดูความเคลื่อนไหวอยู่รอบนอก
ครั้นได้เห็นว่าเจียลี่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จึงปลอมตัวปะปนเข้าไปในหมู่บ้านด้วย
“แม่นาง ให้ข้าช่วยถือหรือไม่” เขาเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่รบกวนท่านดีกว่า เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว” นางตอบปฏิเสธ แล้วหันหลังจะเดินต่อแต่สะดุดบางอย่าง เซียวอวี้เทียนรีบคว้าเอวของนางไว้ไม่ให้ล้มคะมำแล้วรับตะ
ในเวลานั้น ซ่งอี้แอบตามเซียวอวี้เทียนลงมายังดินแดนมนุษย์เช่นเดียวกัน นางมองเขาอยู่ห่าง ๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนักที่เห็นเขาคอยวนเวียนอยู่กับเจียลี่ผู้เป็นศัตรูหัวใจของนาง ครั้นพอตกกลางคืนซ่งอี้ได้เข้าไปในความฝันของเซียวอวี้เทียนโดยไม่รู้ตัว นางเห็นภาพในอดีตทุกอย่างของเขา โดยเฉพาะยามที่เซียวอวี้เทียนอยู่กับหยางซือซือที่ตำหนักโคมดวงจิต พลันในใจเกิดความอิจฉาเข้าครอบงำอยากได้รอยยิ้ม ความรัก ความห่วงใยเช่นนั้นจากเขาบ้าง“บอกข้ามาเถิด ความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด” เสียงลึกลับพูดกับนางในความฝัน พยายามหลอกล่อให้นางติดกับดัก“เจ้าเป็นใคร” นางยืนอยู่ในความมืด หันซ้ายแลขวาถามคนที่แอบซ่อนอยู่ในเงา“ความปรารถนาของเจ้า ข้าช่วยได้” เงามืดขยับไหวรอบตัวนางพลางพูดถึงสิ่งที่นางเห็นในความฝันซ้ำ ๆ จนนางไม่อาจต้านทานความรู้สึกของตนเองได้ คนที่มีด้ายแดงผูกกับเขาคือนางแต่ทำไมแม้แต่หน้าของนางเขากลับไม่อยากมอง นางคนนั้นแม้จะมีคนรักในชาตินี้ เขาก็ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างนางโดยไม่หวังสิ่งใด ซ่งอี้ผู้นี้มีทุกสิ่งดังใจแต่ไม่อาจครอบค
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
ในเวลานั้น ซ่งอี้แอบตามเซียวอวี้เทียนลงมายังดินแดนมนุษย์เช่นเดียวกัน นางมองเขาอยู่ห่าง ๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนักที่เห็นเขาคอยวนเวียนอยู่กับเจียลี่ผู้เป็นศัตรูหัวใจของนาง ครั้นพอตกกลางคืนซ่งอี้ได้เข้าไปในความฝันของเซียวอวี้เทียนโดยไม่รู้ตัว นางเห็นภาพในอดีตทุกอย่างของเขา โดยเฉพาะยามที่เซียวอวี้เทียนอยู่กับหยางซือซือที่ตำหนักโคมดวงจิต พลันในใจเกิดความอิจฉาเข้าครอบงำอยากได้รอยยิ้ม ความรัก ความห่วงใยเช่นนั้นจากเขาบ้าง“บอกข้ามาเถิด ความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด” เสียงลึกลับพูดกับนางในความฝัน พยายามหลอกล่อให้นางติดกับดัก“เจ้าเป็นใคร” นางยืนอยู่ในความมืด หันซ้ายแลขวาถามคนที่แอบซ่อนอยู่ในเงา“ความปรารถนาของเจ้า ข้าช่วยได้” เงามืดขยับไหวรอบตัวนางพลางพูดถึงสิ่งที่นางเห็นในความฝันซ้ำ ๆ จนนางไม่อาจต้านทานความรู้สึกของตนเองได้ คนที่มีด้ายแดงผูกกับเขาคือนางแต่ทำไมแม้แต่หน้าของนางเขากลับไม่อยากมอง นางคนนั้นแม้จะมีคนรักในชาตินี้ เขาก็ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างนางโดยไม่หวังสิ่งใด ซ่งอี้ผู้นี้มีทุกสิ่งดังใจแต่ไม่อาจครอบค
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนในแคว้นต่าง ๆ เริ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทีละคนสองคน หลายหมู่บ้านอยู่กันอย่างหวาดกลัวคิดว่ามีปีศาจออกอาละวาดจนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างประสบปัญหาเดียวกัน แม้จะมีการสืบหาที่มาแต่ทำอย่างไรก็ไม่พบ คนที่ส่งออกตามหาข่าวย่อมสูญหายเช่นเดียวกันเซียวอวี้เทียนได้รับรายงานจากหลายตำหนักว่าเซียนน้อยที่ลงมาทำภารกิจบนดินแดนมนุษย์ไม่กลับขึ้นสวรรค์ตามกำหนด เทียนจวินจึงสั่งให้เขาลงมาสืบหาสาเหตุ เขาตัดสินใจเริ่มต้นหาข่าวในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนเกิดพลังเวทขุมใหญ่คอยดูดกลืนพลังชีวิตผู้คน เมื่อได้เห็นว่าเป็นหมู่บ้านจิ้งจอกแดงจึงคอยดูความเคลื่อนไหวอยู่รอบนอกครั้นได้เห็นว่าเจียลี่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จึงปลอมตัวปะปนเข้าไปในหมู่บ้านด้วย“แม่นาง ให้ข้าช่วยถือหรือไม่” เขาเอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพ“ไม่รบกวนท่านดีกว่า เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว” นางตอบปฏิเสธ แล้วหันหลังจะเดินต่อแต่สะดุดบางอย่าง เซียวอวี้เทียนรีบคว้าเอวของนางไว้ไม่ให้ล้มคะมำแล้วรับตะ
เช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพของผู้วายชนม์ได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ผู้คนพยายามตั้งสติของตนเพื่อรับมือกับการสูญเสียคนรัก บรรยากาศรอบตัวอึมครึม เสียงร้องไห้คร่ำครวญสลับกับเสียงปลอบใจดังมาเป็นระยะ แม้กระทั่งท้องฟ้ายังมืดมัวมีเมฆครึ้มส่อเค้าฝนหมิงเฟยมองดูร่างของถังลี่ฮวาบนแท่นไม้ที่ก่อเอาไว้ด้วยใจที่แตกสลาย คนที่เขาเพิ่งจะจูงมือเข้าพิธีแต่งงาน ก้มลงคำนับฟ้าดินเพื่ออยู่ด้วยกันจนแก่ชราจากเขาไปแล้ว น้ำตาเอ่อคลอนึกถึงวันวานที่เคยหัวเราะด้วยกันยามที่ได้ฟังนางบรรเลงเพลงพิณ รอยยิ้มสดใสของนางยังคงชัดเจนในใจของเขาเสมอ บัดนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ เขาบอกลานางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางของแทนใจไว้ข้าง ๆ หวังว่าเกิดชาติหน้าจะมีวาสนาได้พบกันอีกครั้นเสร็จสิ้นพิธีส่งดวงวิญญาณ คนที่เหลืออยู่ก็เริ่มหันมารักษาบาดแผลของตนเองที่ยังไม่หายดี ต่างคนต่างคอยให้กำลังใจกันเพื่อที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสูญเสียไปให้ได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังคงหนักใจ การกลับมาของจักรพรรดิจิ้งจอกทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญหนีต้องรีบฟื้นพลังของตนเตรียมรับมือหากต้องเผ
ในช่วงเวลาที่ทุกคนไม่คาดคิด หลินเซินพาตัวเจียลี่และเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หนีมาจากที่ตรงนั้นได้ทันท่วงทีจึงไม่ได้รับอันตราย จากนั้นจึงรีบกลับไปช่วยคนอื่นที่อยู่ในงาน เฉิงซานร่ายเวทป้องกันหยางมี่และหลิวอิง แขนของเขาบาดเจ็บจากคมฝนจนแทบจะยกไม่ขึ้น เฉิงเซียวจึงรับช่วงต่อพาทั้งหมดหนีออกจากใจกลางความวุ่นวายหลินเซินกลับเข้ามาในงาน เขาร่ายม่านเขตแดนปกป้องหมิงเฟยและร่างของถังลี่ฮวาเอาไว้ ทันทีที่หลินเซินปรากฏตัว ร่างดำทะมึนจึงค่อย ๆ เผยโฉมของตน“จักรพรรดิจิ้งจอก” เฉิงเซียวตะโกนเสียงดังจากด้านหลัง สิ้นเสียงของเขา คนผู้นั้นระเบิดเวทสายสีดำรัดตัวเฉิงเซียวแน่น ค่อย ๆ บีบที่ลำคอจนเส้นเลือดปูดโปน พลังของจักรพรรดิจิ้งจอกเปลี่ยนไปมาก ทั้งรุนแรงและชั่วร้ายบีบอัดคนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือจนร่างแทบจะแหลกเหลวไปตามแรง เยี่ยนฟางโผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัวเพื่อตามหาหมิงเฟยเห็นเฉิงเซียวไม่อาจหนีได้จึงร่ายเวทตัดพลังช่วยเฉิงเซียวได้อย่างหวุดหวิดทันใดนั้น ทหารจิ้งจอกหลายสิบคนโผล่ออกมาจากหลุมดำ รัศมีความชั่วร้ายปกคลุมร่างพวกเขา ดวงตาสีขาวโพลนสร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็น พวกมันเริ่ม
หมิงเฟยเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามไร้ก้อนเมฆบดบัง รอยยิ้มสดใสของเขาทำให้ถังลี่ฮวานึกสงสัยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เวลานี้ความรักของทั้งคู่ราวกับดอกไม้ผลิบานในหัวใจ แววตาแห่งความสุขเอ่อล้น หมิงเฟยหันมาหาถังลี่ฮวาแล้วกุมมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้“ถังลี่ฮวา เจ้ายินดีแต่งงานกับข้าหรือไม่” หมิงเฟยไม่อ้อมค้อม เขาคิดเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว“จู่ ๆ ก็ถามเช่นนี้เลยหรือ” ถังลี่ฮวาคาดไม่ถึง เช้าวันนี้เขาแค่ชวนนางออกมาเก็บผลไม้ป่าตามปกติ ก่อนกลับบ้านจึงแวะนั่งเล่นที่ประจำเท่านั้น“ข้าอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเจ้า” หมิงเฟยสบตานาง ท่าทางจริงจังรอฟังคำตอบ“อื้ม” ถังลี่ฮวาพยักหน้าตกลง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขายิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ“เช่นนั้น รีบไปบอกพวกเขาดีกว่าเนอะ เจ้าว่าเราจัดงานอาทิตย์หน้ากันเลยดีหรือไม่” หมิงเฟยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอดนึกไม่ออกว่าการจัดงานแต่งงานครั้งหนึ่งจะต้องทำอะไรบ้าง เขาขมวดคิ้วนึกถึงสิ่งที่ต้องทำ“หมิงเฟย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่หนีเจ้าไปท
หลินเซินร่ายเวททำลายร่างของจักรพรรดิจิ้งจอกและหยุดการดูดกลืนพลังชีวิตของชาวบ้านเอาไว้ได้ แต่ในม่านหมอกกลับไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ หมิงเฟยใจไม่ดีมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา จึงวิ่งเข้าไปหาใกล้ ๆ พลันได้เห็นร่างของคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น“ท่านพี่...” หมิงเฟยร้องเรียกเขาแล้วรีบเข้าไปประคอง เพียงแต่ว่าร่างนั้นกลับไม่ใช่หลินเซินที่เขารู้จัก “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไม...” แม้จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ สีผมเทาชมพู หน้าตาที่คลับคล้ายคลับคลาแต่มีบางอย่างเปลี่ยนไปเฉิงซานที่เดินตามเข้ามาพูดกับหมิงเฟยว่า “เมื่อครู่เขาใช้พลังไปมากนัก รีบพาเขาไปรักษาตัวดีกว่า” หลังจากพูดจบ หมิงเฟยช้อนมืออุ้มร่างของหลินเซินเดินข้ามผ่านประตูเวทด้านหน้าห้อง หยางมี่ยืนพูดคุยเรื่องอาการของหลินเซินกับทุกคนเพื่อให้คลายกังวลใจ“อีกนานแค่ไหนถึงจะหายหรือเจ้าคะ” เยี่ยนฟางถามนางด้วยความเป็นห่วง“อย่างที่เฉิงซานบอก เขาใช้พลังเซียนมากเกินไปเพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย ข้าบอกไม่ได้ว่าเขาจะกลับมาเป็นดังเดิมเมื่อใด แต่อาการตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงแค่ว่
ด้านเฉิงซานได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากวังหลวงเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องไม่เป็นไปตามคาด ทหารที่รักษาการณ์คุมค่ายถูกเรียกตัวให้ป้องกันเมืองหลวงและเชื้อพระวงศ์จากการลอบโจมตีจนรอบนอกค่ายเหลือทหารยามไม่กี่คน พรรคพวกของเขาที่หนีมาพร้อมกับหมิงเฟยเข้ามาเสริมกำลังกับพวกเขาที่ค่ายกักกัน“ข้าคิดว่า เราต้องเร่งอพยพกันให้เร็วที่สุด” เฉิงซานคิดฉวยโอกาสนี้ หากวังหลวงเกิดวิกฤต ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจค่ายเชลยแห่งนี้ “เร็วเข้า” ทุกคนช่วยกันทยอยพาคนในค่ายหนีเริ่มจากผู้อาวุโส ผู้หญิง ปิดท้ายด้วยพรรคพวกของเขาเวลานั้นที่หลินเซินหายตัวไป จักรพรรดิจิ้งจอกปรากฏตัวขึ้นที่ปีกตะวันตกด้วยความเดือดดาล “มันผู้ใดกล้าทำลายของของข้า” เสียงเกรี้ยวกราดของเขาทำให้ทหารรายงานเหตุการณ์เสียงตะกุกตะกัก“พรรคพวกของเฉิงซานพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบถอยหลังรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ในเวลานั้นแม่ทัพใหญ่ของดินแดนจิ้งจอกรอรับคำสั่งของเขาอยู่ ครั้นได้ยินว่าเป็นพรรคพวกของนักโทษจึงรีบบึ่งไปที่ค่ายกักกันในพริบตาทันทีที่มาถึงทหารในกองทัพต่างบุกประชิดตัวพรรคพวกเฉิงซานไม่ให้
ในขณะนั้น หลินเซินกำลังตรวจสอบหมู่บ้านที่สามกับหมิงเฟยได้รับสารด่วนจากเยี่ยนฟาง เขารีบร่ายเวทย่นระยะทางกลับมาที่เมืองหลวงแคว้นเป่ยในทันที เวลานั้นจึงได้พบกับเฉิงซานที่มาถึงก่อนหน้าไม่นานนัก“ไม่ทันเสียแล้ว พวกทหารบุกจับนางไป” เฉิงซานค้นหาพรรคพวกของเขาที่รอดชีวิตแต่พบเพียงแค่หลิวอิงที่บาดเจ็บสาหัส“ดินแดนจิ้งจอกใช่หรือไม่” หลินเซินถามเสียงเย็นชา เขากำลังสะกดอารมณ์เดือดพลุ่งพล่านของตนเอง สายตาจ้องมองไปยังหยดเลือดที่อยู่บนพื้นห้อง โดยเฉพาะรอยเลือดของเจียลี่และเยี่ยนฟาง“อื้ม” เฉิงเซียวพยักหน้า“ระบุเจาะจงได้หรือไม่” หลินเซินถามให้แน่ชัด ดินแดนจิ้งจอกกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เขาไม่อยากเสียเวลากับสิ่งไม่จำเป็น ในใจคิดว่าจะต้องไปช่วยพวกนางให้เร็วที่สุด“ข้าคิดว่าอยู่ทางปีกตะวันตกของวังหลวง คนที่สั่งการคือจักรพรรดิจิ้งจอก” เฉิงซานบอกเขา ไม่คิดว่าเขาจะใจร้อนถึงขนาดไม่วางแผน“เช่นนั้นรีบไปเถอะ” หลินเซินร่ายเวทย่นระยะเวลาเดินทางอีกรอบเตรียมจะพุ่งตัวผ่านเขตแดน แต่เฉิงซานห้ามเขาเอาไว้
หลินเซินและหมิงเฟยเลือกเดินทางไปยังสถานที่เมื่อตอนเป็นเด็กเพื่อจะเริ่มสืบหาเบาะแสตั้งแต่ต้น พวกเขาร่ายเวทเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางจนมาถึงหมู่บ้านแรกที่บิดาของหมิงเฟยลงหลักปักฐานสภาพบ้านหลังเล็กถูกปล่อยทิ้งร้างมามากกว่าสามร้อยปีแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เป็นของต่างหน้า หมิงเฟยเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปด้านใน ความทรงจำในวันที่แสนธรรมดาเริ่มปรากฏขึ้น หลินเซินเห็นเช่นนั้นจึงเดินมาแตะไหล่ ก่อนจะเริ่มค้นหาสิ่งที่หลงเหลืออยู่ทว่าบ้านนี้กลับเป็นแค่สถานที่ธรรมดา ไม่มีสิ่งที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวใด ๆ แม้แต่น้อย ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่สองที่มารดาของเขาพาไปหลบซ่อนตัวด้านเฉิงซานและน้องชายวางแผนปลอมตัวเป็นทหารแทรกซึมเข้าไปในค่าย ชีวิตของจิ้งจอกแดงในที่กักกันแห่งนี้ดูไม่เข้มงวดเท่ากับที่กักกันของเขา หากทำตามกฎแล้วก็จะไม่ถูกลงโทษ แต่การที่ต้องอยู่ในค่ายกักกันนี้หลายร้อยปีไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ พวกเขาไม่ได้ทำชั่วร้าย เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา ทำไมถึงไม่มีสิทธิ์เลือกจะใช้ชีวิตพวกเขาทำทีเดินสอดส่องตามกระโจมในค่ายเหมือนทหารคน