“เพื่อนของเธอเนี่ยนะจะรู้จักจงเหลียง นี่เธอล้อฉันเล่นหรือไง?” ฮวงถิงถิงพูดพร้อมกับหัวเราะลั่นเจ้านายเองก็ส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าฉีหลานกำลังพูดโกหก ถ้าเธอมีเส้นสายแบบนั้นจริง จะมาทำงานที่บริษะทของเขาทำไมกันล่ะ ไปทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวไม่ดีกว่าเหรอ "ฉีหลาน นึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอที่ไม่รู้อะไรเลย แต่กลับอวดเก่งจริง ๆ" ฮวงถิงถิงพูดต่อพลางกุมท้องตัวเองฉีหลานก้มศีรษะลง เธอก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คน ๆ นั้นพูดไว้เมื่อตอนเช้าเป็นความจริงหรือเปล่า แต่เมื่อครู่จู่ ๆ เธอก็หุนหันพลันแล่นพูดออกไปแบบนั้น ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่นี้แล้ว หากคน ๆ นั้นแค่พูดเล่น เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องตลกของเธอแน่เจ้านายถอนหายใจและพูดว่า "ฉีหลาน เธอไม่จำเป็นต้องพูดโกหกหรอก สำหรับฉันมันไม่สำคัญว่าเพื่อนของเธอจะรู้จักจงเหลียงจริงไหมแต่เธอต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองกับฉันต่างหาก เข้าใจไหม?""ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันจะทำอย่างแน่นอน" ฉีหลานกล่าว แม้ว่าสิ่งที่คน ๆ นั้นพูดไว้ในตอนเช้าจะเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่เธอก็จะคิดหาวิธีอื่นเพื่อให้งานนี้สำเร็จให้ได้“ได้
เหตุผลที่ฮวงถิงถิงเสนอให้ฉีหลานทำงานนี้ เพราะเรู้ว่าหล่อนไม่มีทางทำสำเร็จได้ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะมั่นใจในตัวเองมากขนาดนี้ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเสียจริง เธอไม่รู้จักอันตรายของสังคมอะไรเลย นับประสาอะไรกับการรู้จักตัวเอง"ฉีหลานเอ๋ยฉีหลาน เธอนี่ชั่งไร้เดียงสาซะจริง ดูเหมือนว่าเธอจะเหมาะกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เธอรู้หรือเปล่าว่าสังคมที่แท้จริงคืออะไร?" ฮวงถิงถิงกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยามฉีหลานเพิ่งจะเข้าสู่สังคมเป็นครั้งแรก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ตัวอย่างเช่น ทำไมฮวงถิงถิงถึงได้กลั่นแกล้งเธออย่างไม่มีเหตุผล เธอเพิ่งจะมาทำงานที่บริษัทไม่นาน และไม่เคยไปยั่วยุฮวงถิงถิงเลยด้วยซ้ำ"หากฉันเจรจาได้สำเร็จ ฉันจะทำให้หัวหน้ารับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคุณในบริษัท และฉันจะบอกเขาว่า คุณมีแต่จะทำให้การพัฒนาของบริษัทล่าช้าลงเท่านั้น" ในเมื่อฉีหลานกับฮวงถิงถิงมองหน้ากันไม่ติดแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องระวังคำพูดของตัวเองแล้ว เพราะสุดท้ายถ้าไม่ใช่ถูกไล่ออกก็ต้องถูกเจ้านายเห็นค่า เพื่อนร่วมงานหลายคนในบริษัทที่ไม่ชอบใจฮวงถิงถิง พวกเขาหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถจัดการและควบคุมพฤติกรร
เมื่อฉีหลานนั่งแท็กซี่มาถึงหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ความมั่นใจของเธอก็ลดลงกว่าครึ่ง ที่เธอแสดงความมั่นใจต่อหน้าฮวงถิงถิงเพียงเพราะตอนนั้นเธอโกรธจนทนไม่ได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องนี้ได้จริง แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อมาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว และกำลังจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ฉีหลานก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ในการเจรจาครั้งนี้นั้นริบหรี่เหลือเกิน หรือแม้แต่การที่เธอจะได้เข้าพบจงเหลียงนั้นก็ไม่มีความเป็นไปได้เลย และฉีหลานก็แทบไม่เชื่อกับสิ่งที่หานซานเฉียนพูดไว้เมื่อเช้านี้ นี่ไม่ใช่ละครทีวีที่แค่ซื้ออาหารเช้าก็ได้พบกับคนที่เปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของเธอได้ เรื่องดี ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?ขณะที่ฉีหลานกำลังลังเลอยู่ที่หน้าประตูอยู่นั้น จู่ ๆ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นเลขาก็เดินมาข้าง ๆ เธอ และถามอย่างสุภาพว่า "ไม่ทราบว่าคุณคือคุณฉีหรือเปล่าคะ?"เมื่อถูกถามอย่างสุภาพ ฉีหลานก็ตกตะลึง เธอรู้นามสกุลของเธอได้อย่างไร?หลังจากที่อึ้งอยู่เป็นเวลานาน ฉีหลานก็รู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาท จึงรีบตอบกลับไปว่า "ใช่ค่ะ ฉันนามสกุลฉี แต่... แต่ฉันไม่น่าจะใช่คนที่คุณกำลังมองหาหรอกค่ะ"
ฉีหลานออกมาจากห้องทำงานของจงเหลียง และเดินออกมาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว เธอรู้สึกราวกับฝัน ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้พบจงเหลียงจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอดทนฟังเนื้อหาที่เธอเตรียมมาทั้งหมด แถมพรุ่งนี้เขายังจะไปที่บริษัทเธออีกด้วย นี่ถือว่าให้เกียรติเธอมากแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะตกลงร่วมมือหรือไม่ก็ตาม แต่นี่ก็ถือว่าเธอทำภารกิจสำเร็จแล้ว"พี่หาน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหรือเปล่า?" ฉีหลานพึมพำกับตัวเอง ที่เรื่องมันราบรื่นแบบนี้ต้องมีเหตุผลแน่ ๆ และสิ่งเดียวที่ฉีหลานคิดออกนั่นก็คือพี่หานที่ร้านน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋คนนั้น"นายน้อย บริษัทนี้เป็นเพียงบริษัทออกแบบเล็ก ๆ คุณแน่ใจเหรอครับว่าต้องการร่วมมือกับพวกเขา" ในห้องทำงาน หลังจากที่ฉีหลานออกไปแล้ว จงเหลียงก็ถามหานซานเฉียน ตั้งแต่ที่ฉีหลานปรากฏตัว หานซานเฉียนก็จงใจหันหน้าไปทางประตูเฉลียง และหันหลังให้กับพวกเขา ดังนั้นฉีหลานจึงไม่รู้ว่าเขาคือใคร การช่วยเหลือฉีหลานเป็นเพียงการพายเรือตามน้ำเท่านั้น หรือจะเรียกว่าโชคชะตาก็ได้ เขาไม่ต้องการให้ฉีหลานรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เปิดเผยตัวตนต่อหน้าเธอ"คุณประเมินเอาเองก็แล้วกัน
หลังจากที่เจ้านายตื่นจากความตกใจ เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและถามฉีหลานว่า "เธอไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม จงเหลียงจะมาที่บริษัทของเราจริง ๆ เหรอ?"“หัวหน้าคะ เขาเป็นคนบอกกับฉันเอง เขาจะมาแน่นอนค่ะ” ฉีหลานกล่าวเจ้านายเดินไปหาฉีหลานและจับมือเธอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น "ฉีหลาน ถ้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวตกลงร่วมมือกับบริษัทเราขึ้นมาจริง ๆ เธอจะเป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ของบริษัทเรา และในอนาคตเราจะตอบแทนเธออย่างดีเลย"เมื่อเห็นท่าทีของเจ้านายที่มีต่อฉีหลานแล้ว ฮวงถิงถิงก็กัดฟัน เธอเตรียมเรื่องนี้โดยหวังว่าฉีหลานจะลาออกโดยสมัครใจ เพราะเธอทำงานไม่สำเร็จ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะได้รับคุณค่าจากเจ้านายมากขึ้นจากเรื่องนี้ฮวงถิงถิงรู้จักข้อบกพร่องของตัวเองดี เธอรู้ว่าในสายตาของเจ้านาย เธอไม่สามารถเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ได้เลย นับประสาอะไรกับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้"หัวหน้า คุณเชื่อในสิ่งที่เธอพูดจริงเหรอ?จงเหลียงจะมาที่บริษัทของเราได้ยังไงกันคะ" ฮวงถิงถิงพูดกับเจ้านาย เธอยังคงคิดว่าฉีหลานพูดโกหก แม้ว่าเธอจะคิดหาเหตุผลที่ฉีหลานต้องโกหกไม่ได้ แต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อว่าฉีหลานสามา
มิตรภาพระหว่างมี่เฟยเอ๋อร์กับฮวงถิงถิงไม่ดีขนาดที่เธอจะต้องทำสิ่งนี้ให้ และถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอจะดี เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนตารางงานของจงเหลียงได้ตามอำเภอใจ "ฮวงถิงถิง เธอมองฉันสูงไปแล้ว ฉันเป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ คนนึงในบริษัท ฉันจะเปลี่ยนตารางงานของพี่จงตามอำเภอใจได้ยังไง ขอโทษด้วยนะ ฉันทำไม่ได้จริง ๆ" มี่เฟยเอ๋อร์กล่าวฮวงถิงถิงกัดฟัน แม้ว่ามันก็สมเหตุสมผลแล้วที่มี่เฟยเอ๋อร์จะไม่ช่วย แต่เธอก็ยังรู้สึกเกลียดมี่เฟยเอ๋อร์เพราะเรื่องนี้อยู่ดี"พูดตามตรงเลยแล้วกัน ต้องทำยังไงเธอถึงจะยอมช่วยฉัน" ฮวงถิงถิงกล่าวมี่เฟยเอ๋อร์ยิ้มอย่างเหยียดหยาม ฮวงถิงถิงมีสิทธิ์อะไรมาทำท่าทางหยิ่งยโส ราวกับว่าเธอคือคนรับใช้ของเธอแบบนี้“ที่ฉันรับสายเธอ ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพเมื่อก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็อย่าโทรหาฉันอีก” หลังจากมี่เฟยเอ๋อร์พูดจบเธอก็กดวางสายทันทีฮวงถิงถิงเกือบจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง แต่คิดได้ว่าเธอเพิ่งซื้อมาใหม่ได้ไม่นาน สุดท้ายจึงไม่กล้าที่จะโยนมันก่อนหน้านี้ฮวงถิงถิงแทบจะไม่เชื่อว่าจงเหลียงจะมาที่บริษัทของเธอ แต่ตอนนี้ได้รับการยืนยันจากมี่เฟยเอ๋อร์แล้ว เธอรู้ได้ทันทีว่าเมื่อพร
สำหรับฉีหลาน เหตุการณ์นี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอก็ว่าได้ แต่สำหรับหานซานเฉียน มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยอย่างการยกมือและพยักหน้าเท่านั้น เพราะเดี๋ยวเขาก็จะลืมไปในไม่ช้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าพอที่เค้าจะเก็บมาใส่ใจ ในเวลานี้หานซานเฉียนและม่อหยางนั่งอยู่ในรถคันเดียวกันอย่างเงียบ ๆ ที่ประตูเมือง"เขาคือหลิวต้า คนเดียวที่ติดต่อกับหานกรุ๊ป เขาเข้ามาจัดการเรื่องนี้และทำเงินมากมายใน ฉันตรวจสอบญาติและคนรักของเขาดูแล้วมีเงินก้อนโตโอนเข้าไปในบัญชีธนาคารของพวกเขา ฉันว่าเงินพวกนี้ต้องมาจากหานกรุ๊ปแน่” ม่อหยางพูดกับหานซานเฉียน"นายตรวจสอบได้ละเอียดมาก แต่เราไม่ได้ต้องการเพียงแค่กุมจุดอ่อนของเขา แต่ต้องทำให้เขาทำอะไรให้เราสักหน่อย" หานซานเฉียนกล่าว ในเมื่อหานเหยียนเข้าทางหลิวต้า แสดงว่าว่าเขามีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องหมู่บ้านเฉิงจง ดังนั้นหานซานเฉียนจึงไม่สามารถอยู่เหนือเขาได้ แต่ต้องหลอกให้เขาทำอะไรช่วยตนแทน“จุดอ่อนพวกนี้น่าจะเพียงพอที่จะขู่เขาได้” ม่อหยางกล่าวหานซานเฉียนส่ายหัว บ่งบอกว่าเขามีความเห็นที่ต่างออกไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ในเมื่อหลิวต้ากล้าที่จะรับเงินจำนวนมากขนาน
หานซานเฉียนเคาะประตูอย่างระมัดระวัง มันเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนที่ประตูจะเปิดออก เห็นได้ว่ามันไม่ได้ถูกล็อกเบื้องหน้าหานซานเฉียนมีสะพานเล็ก ๆ และสายน้ำไหล โรงน้ำชาที่ทรุดโทรมแห่งนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งหานซานเฉียนไม่เคยคาดคิดมาก่อนลานด้านในไม่ใหญ่นัก แต่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีคนสองคนนั่งอยู่ใต้ศาลา คนหนึ่งคือหลิวต้า และอีกคนคือชายชราที่อาจเป็นเจ้าของโรงน้ำชาที่โม่หยางกล่าวถึงเมื่อหานซานเฉียนเห็นพวกเขา พวกเขาก็สังเกตเห็นหานซานเฉียนเช่นกันหลิวต้าขมวดคิ้ว ในขณะที่ชายชราทักทายหานซานเฉียนด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน "มีแขกมาเยือนสินะ ในเมื่อมาแล้วก็เข้ามานั่งลงก่อนสิ"หานซานเฉียนไม่อืดอาด รีบเดินตรงไปใต้ศาลาทันทีชุดน้ำชาที่เรียบง่ายและถ้วยที่เต็มไปด้วยคราบชาที่เกราะอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของกาลเวลามีคราบชาหนาในถ้วยของชายชรา แต่คราบชาในถ้วยของหลิวต้านั้นบางกว่ามาก ซึ่งนี่เป็นการเปรียบเทียบเวลา บ่งบอกว่าเขามาที่โรงชาแห่งนี้ไม่นานนัก ตอนนั้นเอง ชายชราก็ยื่นถ้วยชาให้หานซานเฉียน ซึ่งไม่ใช่ถ้วยใหม่แต่เป็นถ้วยที่มีคราบชาหนาเป็นชั้น ๆสิ่งนี้ยิ่งทำให้หลิวต้าขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น เพราะตอนที่เขา