หลังจากต่อคิวเกือบสิบนาที เมื่อใกล้จะถึงคิวของหานซานเฉียน ก็มีชายร่างใหญ่ที่สักลายที่แขนแทรกคิว และผลักเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าหานซานเฉียนออกไปเด็กหญิงผมหางม้าดูเหมือนว่าเธอคือนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบ เอกสารในมือของเธอก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้นชายร่างใหญ่ที่สักลายที่แขนกล่าวกับเด็กหญิงตัวน้อยด้วยใบหน้าล้อเลียน "ของแค่นี้ยังถือไม่ดี คนหนุ่มสาวสมัยนี้ร่างกายอ่อนแอกันจริง ๆ" ชายร่างใหญ่พูดพร้อมกับจงใจโชว์กล้ามใหญ่ ๆ ของตนเด็กหญิงนั่งยอง ๆ บนพื้นและหยิบเอกสารอย่างลนลาน ชายร่างใหญ่คนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด กลับยิ้มราวกับว่าเขามีความสุขที่ได้เห็นฉากนี้“มองอะไร ฉันแทรกคิวแล้วไง พวกแกจะทำอะไรฉันได้?” เมื่อชายร่างใหญ่เห็นว่ามีคนจ้องมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจ เขาจึงตวาดคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่การแทรกคิวเป็นสิ่งที่คนดี ๆ เขาไม่ทำกัน แต่ชายร่างใหญ่ไม่ได้ดูเป็นคนดีตั้งแต่แรก แม้ว่าคนเหล่านั้นอยากจะด่าเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร หลังจากได้ยินคำขู่ของชายร่างใหญ่ ทุกคนต่างก็ก้มหัวลงหานซานเฉียนคุกเข่าลง และช่วยเด็กหญิงเก็บเอกสารก่อนจะพูดขึ้นว่า "เป็นอะไรไหม?"เด็กหญิงส่า
"นี่... นี่มันสุดยอดมากเลย!""ไม่คิดเลยว่าชายกล้ามโตแท้จริงแล้วเป็นแค่ที่คนท่าดีทีเหลว"“แค่ที่คนท่าดีทีเหลวอะไร เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นั้นมีพลังมากกว่า ถ้าเขาเป็นที่ท่าดีทีเหลว คุณกล้าเข้าไปจัดการเองไหมล่ะ?”“ไม่กล้า ไม่กล้า คนตัวโตขนาดนี้สามารถส่งฉันเข้าโรงพยาบาลได้ด้วยหมัดเดียว ฉันจะกล้าได้ยังไงล่ะ”ท่ามกลางความประหลาดใจของฝูงชน หานซานเฉียนดูนิ่งสงบ และเดินไปหาชายร่างใหญ่ที่สักลายที่แขนชายร่างใหญ่เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกเตะกระเด็นมาบนแผ่นเหล็ก และเห็นว่าหานซานเฉียนกำลังเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงด้วยความตกใจ พลางพูดอย่างตะกุกตะกัก "นะ...นายอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา”“ฉันยังไม่ได้เรียนสะกดคำว่าตายเลย จะไม่สอนฉันแล้วเหรอ?” หานซานเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม“มะ ไม่สอนแล้ว เพื่อน ฉันผิดไปแล้ว” ชายร่างใหญ่ยอมรับความขี้ขลาด เพราะเขารู้ดีว่าขนาดแค่กระบวนท่าเดียวเขาก็น่วมขนาดนี้ หากสู้กันต่อไปคนที่บาดเจ็บก็เป็นตัวเขาเองอยู่ดี พอได้ยินแบบนั้น คนที่มุงดูอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อครู่ยังจะสอนหานซานเฉียนสะกดคำว่าตายอยู่เลย ตอนนี้กลับยอมแพ้แล้วซะงั้น ความหยิ่งผยองเมื่อครู่นี้หายไปหมดแล้ว
มีร่างหนึ่งที่แอบมองอยู่ในระยะไกลด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ตั้งแต่หานซานเฉียนมีเรื่องกับชายร่างใหญ่ที่สักลายที่แขน เธอก็ยืนดูอยู่ตรงนี้ และเฝ้ามองว่าหานซานเฉียนเอาชนะชายร่างใหญ่คนนั้นได้อย่างไรอย่างเงียบ ๆเขาเป็นเพียงไอ้กระจอกไม่ใช่เหรอ แต่ทั้งชั้นล่างในยูนิต หรือที่ไนท์คลับเมจิกซิตี้ ทำไมเขาถึงไม่เคยออกหน้าล่ะ? หรือว่าเขาแค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นกัน? เหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนั้นก็ด้วย เขาพูดเองว่าถ้าไม่ใช่เพราะหยางเหมิง เขาก็ไม่มีทางปรากฏตัวมี่เฟยเอ๋อร์กัดฟันกรอด ภาพลักษณ์ของหานซานเฉียนที่เป็นเพียงไอ้คนกระจอกฝังแน่นในใจจิตเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับต้องผลักภาพลักษณ์นั้นออกไปด้วยตัวเธอเอง เพราะท่าทีของหานซานเฉียนไม่น่าจะใช่แค่คนกระจอกอย่างเป็นแน่ มีคนยืนต่อคิวตั้งมากมาย แต่มีเพียงหานซานเฉียนคนเดียวเท่านั้นที่ออกหน้าและจัดการชายร่างใหญ่จนหนีไป นี่เป็นสิ่งที่คนกระจอกทำได้งั้นเหรอ?เหตุผลที่เขาทำตัวเป็นคนกระจอกต่อหน้ามี่เฟยเอ๋อร์ อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องการทำอะไรเพื่อเธอเท่านั้นเอง มี่เฟยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก มีคนจำนวนมากที่ตามจีบเธอ และบางคนถึงกับจงใจจัดฉากเป็นฮีโร่ต่อหน้าเธอ แต
ท่าทางของฉี๋อีหยุนที่ขดตัวอยู่บนโซฟานั้นดูตลกมาก ตอนนี้เธอค่อนข้างกลัวการพบหน้าหานซานเฉียน เพราะเธอกังวลว่าเขาจะไล่เธอออกไปอีก ดังนั้นวิธีเดียวที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปได้นั่นก็คือการหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องนี้กับหานซานเฉียน หากไม่มีความจำเป็นต้องเจอก็อย่าเจอหน้ากันจะดีกว่าแต่หานซานเฉียนมีกุญแจ ถ้าเขากลับมา เขาก็เปิดประตูเองได้นี่นา จะเคาะประตูทำไม?ฉี๋อีหยุนก้าวไปที่ประตูเบา ๆ และเมื่อมองผ่านช่องตาแมวเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที“นายมาทำอะไรที่นี่?” ฉี๋อีหยุนเปิดประตูออกไปพร้อมกับถามตงฮ้าวเสียงเย็น “คุณหนูครับ ผมแค่อยากจะมาหาคุณหนู” ตงฮ้าวพูดฉี๋อีหยุนพูดอย่างเย็นชา "ถ้าฉันไม่ได้สั่งนายไม่จำเป็นต้องมาหาฉัน ถ้ามีอะไรฉันจะโทรไปเอง"ตงฮ้าวมาที่นี่เพียงเพราะเขาคิดถึงฉี๋อีหยุน เขารู้ดีว่าความรู้สึกของฉี๋อีหยุนที่มีต่อหานซานเฉียนนั้นไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว เขาหวังเพียงว่าการปรากฏตัวของเขาจะทำให้ฉี๋อีหยุนสงบลงได้บ้างตงฮ้าวคิดเสมอว่าหานซานเฉียนไม่คู่ควรกับการทุ่มเทของฉี๋อีหยุน และฉี๋อีหยุนก็เพียงแค่ต้องการใช้หานซานเฉียนแก้ปัญหาของตระกูลฉี๋เท
ขณะนั้นเอง เจ้านายก็มาถึงบริษัท ฮวงถิงถิงรีบเข้าไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ และทั้งสองก็ตรงไปที่ห้องทำงาน ฉีหลานถอนหายใจและจัดการไฟล์งานต่อเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบฮวงถิงถิงเดินมาหาฉีหลาน และพูดเบา ๆ ว่า "ฉีหลาน ฉันว่าฮวงถิงถิงจงใจเล่นงานเธอแน่ ๆ ไม่อย่างงั้นทำไมถึงได้มอบหมายงานที่สำคัญแบบนี้ให้เธอทำกันล่ะ อีกอย่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จะมาร่วมมือกับบริษัทเล็ก ๆ ของเราได้ยังไง”ฉีหลานรู้ว่าฮวงถิงถิงกำลังกลั่นแกล้งเธอ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้เธอยิ่งต้องการพิสูจน์ตัวเองแม้ว่าโอกาสจะริบหรี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเป็นไปได้เลย สำหรับเธอแล้วนี่เป็นการท้าทายตัวเองเช่นกัน“เมื่อกี้เธอบอกให้ฉันแต่งตัวเซ็กซี่ มันหมายความว่าอะไรเหรอคะ?” ฉีหลานถามอย่างงงงวยเพื่อนร่วมงานถอนหายใจ อิจฉาในความใสซื่อของเธอ นึกถึงตัวเองตอนพึ่งจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เธอก็ไม่เข้าใจอะไรเลยเช่นกัน แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในถังสีขนาดใหญ่ของสังคม เธอก็ถูกย้อมสีจนความใสหายไปนานแล้ว“ต้องการให้เธอไปยั่วยวนจงเหลียงด้วยความสวยของเธอน่ะสิ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เธอยังไม่รู้เลยงั้นเหรอ?” เ
“เพื่อนของเธอเนี่ยนะจะรู้จักจงเหลียง นี่เธอล้อฉันเล่นหรือไง?” ฮวงถิงถิงพูดพร้อมกับหัวเราะลั่นเจ้านายเองก็ส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าฉีหลานกำลังพูดโกหก ถ้าเธอมีเส้นสายแบบนั้นจริง จะมาทำงานที่บริษะทของเขาทำไมกันล่ะ ไปทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวไม่ดีกว่าเหรอ "ฉีหลาน นึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอที่ไม่รู้อะไรเลย แต่กลับอวดเก่งจริง ๆ" ฮวงถิงถิงพูดต่อพลางกุมท้องตัวเองฉีหลานก้มศีรษะลง เธอก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คน ๆ นั้นพูดไว้เมื่อตอนเช้าเป็นความจริงหรือเปล่า แต่เมื่อครู่จู่ ๆ เธอก็หุนหันพลันแล่นพูดออกไปแบบนั้น ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่นี้แล้ว หากคน ๆ นั้นแค่พูดเล่น เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องตลกของเธอแน่เจ้านายถอนหายใจและพูดว่า "ฉีหลาน เธอไม่จำเป็นต้องพูดโกหกหรอก สำหรับฉันมันไม่สำคัญว่าเพื่อนของเธอจะรู้จักจงเหลียงจริงไหมแต่เธอต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองกับฉันต่างหาก เข้าใจไหม?""ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันจะทำอย่างแน่นอน" ฉีหลานกล่าว แม้ว่าสิ่งที่คน ๆ นั้นพูดไว้ในตอนเช้าจะเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่เธอก็จะคิดหาวิธีอื่นเพื่อให้งานนี้สำเร็จให้ได้“ได้
เหตุผลที่ฮวงถิงถิงเสนอให้ฉีหลานทำงานนี้ เพราะเรู้ว่าหล่อนไม่มีทางทำสำเร็จได้ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะมั่นใจในตัวเองมากขนาดนี้ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเสียจริง เธอไม่รู้จักอันตรายของสังคมอะไรเลย นับประสาอะไรกับการรู้จักตัวเอง"ฉีหลานเอ๋ยฉีหลาน เธอนี่ชั่งไร้เดียงสาซะจริง ดูเหมือนว่าเธอจะเหมาะกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เธอรู้หรือเปล่าว่าสังคมที่แท้จริงคืออะไร?" ฮวงถิงถิงกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยามฉีหลานเพิ่งจะเข้าสู่สังคมเป็นครั้งแรก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ตัวอย่างเช่น ทำไมฮวงถิงถิงถึงได้กลั่นแกล้งเธออย่างไม่มีเหตุผล เธอเพิ่งจะมาทำงานที่บริษัทไม่นาน และไม่เคยไปยั่วยุฮวงถิงถิงเลยด้วยซ้ำ"หากฉันเจรจาได้สำเร็จ ฉันจะทำให้หัวหน้ารับรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคุณในบริษัท และฉันจะบอกเขาว่า คุณมีแต่จะทำให้การพัฒนาของบริษัทล่าช้าลงเท่านั้น" ในเมื่อฉีหลานกับฮวงถิงถิงมองหน้ากันไม่ติดแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องระวังคำพูดของตัวเองแล้ว เพราะสุดท้ายถ้าไม่ใช่ถูกไล่ออกก็ต้องถูกเจ้านายเห็นค่า เพื่อนร่วมงานหลายคนในบริษัทที่ไม่ชอบใจฮวงถิงถิง พวกเขาหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถจัดการและควบคุมพฤติกรร
เมื่อฉีหลานนั่งแท็กซี่มาถึงหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ความมั่นใจของเธอก็ลดลงกว่าครึ่ง ที่เธอแสดงความมั่นใจต่อหน้าฮวงถิงถิงเพียงเพราะตอนนั้นเธอโกรธจนทนไม่ได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องนี้ได้จริง แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อมาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว และกำลังจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ฉีหลานก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ในการเจรจาครั้งนี้นั้นริบหรี่เหลือเกิน หรือแม้แต่การที่เธอจะได้เข้าพบจงเหลียงนั้นก็ไม่มีความเป็นไปได้เลย และฉีหลานก็แทบไม่เชื่อกับสิ่งที่หานซานเฉียนพูดไว้เมื่อเช้านี้ นี่ไม่ใช่ละครทีวีที่แค่ซื้ออาหารเช้าก็ได้พบกับคนที่เปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของเธอได้ เรื่องดี ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?ขณะที่ฉีหลานกำลังลังเลอยู่ที่หน้าประตูอยู่นั้น จู่ ๆ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นเลขาก็เดินมาข้าง ๆ เธอ และถามอย่างสุภาพว่า "ไม่ทราบว่าคุณคือคุณฉีหรือเปล่าคะ?"เมื่อถูกถามอย่างสุภาพ ฉีหลานก็ตกตะลึง เธอรู้นามสกุลของเธอได้อย่างไร?หลังจากที่อึ้งอยู่เป็นเวลานาน ฉีหลานก็รู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาท จึงรีบตอบกลับไปว่า "ใช่ค่ะ ฉันนามสกุลฉี แต่... แต่ฉันไม่น่าจะใช่คนที่คุณกำลังมองหาหรอกค่ะ"