เขาเป็นแค่พนักงานของบริษัทจัดงานแต่งงาน และเป็นสมาชิกในตระกูลเซี่ยและตระกูลเทียน ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตายอย่างไร เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงหลาน พิธีกรก็รีบเดินไปหาและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมนะ ผมแค่รับคำสั่งจากเซี่ยหยุนเผิง” “เขาสั่งให้คุณทำอะไร?” เจี่ยงหลานถามอย่างเย็นชา พิธีกรพูดเสียงสั่น “เขา เขาอยากยั่วยุหานซานเฉียน และทำให้หานซานเฉียนเสียหน้าในงานแต่งงาน” เจี่ยงหลานมองไปที่เซี่ยหยุนเผิง และถามต่อว่า “ใครเป็นคนสั่งให้เธอทำแบบนี้ และมีจุดประสงค์อะไร?” เซี่ยหยุนเผิงไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับหานซานเฉียน ในใจของเขา หานซานเฉียนมักจะเป็นตัวตลกเสมอ และมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกสองสามเรื่อง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจริงจังกับหานซานเฉียน แต่จีชุนเป็นแม่ของเขา ในเมื่อจีชุนต้องการแบบนี้ฟ เขาจึงต้องทำให้จีชุนพึงพอใจอยู่แล้ว “ไม่มีใครสั่งผม และผมก็ไม่มีจุดประสงค์อื่นด้วย” เซี่ยหยุนเผิงกล่าว เจี่ยงหลานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า “ไม่มีจุดประสงค์อื่น? ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเธอ เธอคงไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอกมั้ง?” หลังจากพูดจบ เจี่ยงหลานก็มองไปที่จีชุนอีกครั้
“หานเหยียน เธอมาทำอะไรที่นี่?” หานซานเฉียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อได้ยินชื่อนี้ เทียนหงฮุยใจวูบทันที นามสกุลหานเหมือนกัน และดูไม่แยแสหานซานเฉียน เป็นไปได้ไหมว่าเธอมาจากตระกูลหานด้วย? หากนี่คือการต่อสู้ภายในตระกูลหาน ตระกูลเทียนจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หานเหยียนมองไปที่เซี่ยฮ้าวหราน โดยไม่สนใจคำพูดของหานซานเฉียน และพูดต่อว่า “แกกลัวตระกูลเทียนไหม? ฉันสามารถให้ช่วยทำให้แกสู้กับตระกูลเทียนได้นะ และจะทำให้แกเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในหยุนเฉิง แกกล้าไหมล่ะ?” เซี่ยฮ้าวหรานไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเหนือกว่าตระกูลตระกูลเทียนได้ในวันหนึ่ง เพราะในหยุนเฉิง ตระกูลเทียนแทบจะครอบครองทั้งหมด แม้ว่าเจียงฟู่และพรรคพวกของเขาจะรวมกันต่อต้านตระกูลเทียน พวกเขาก็ยังไม่กล้า หากพวกเขาลงมือทำ พวกเขากลัวความล้มเหลว กลัวว่าจะไม่เหลืออะไรเลย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมีโอกาสแบบนั้น เซี่ยฮ้าวหรานจะไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหว อย่างไรก็ตาม บุคคลไม่รู้ที่มาที่ไปจู่ ๆ ปรากฏตัว แล้วมาบอกเขาว่าสามารถช่วยเขาสู้กับตระกูลเทียนได้นั้น ทำให้เซี่ยฮ้าวหรานไม่ปักใจเชื่อง่าย ๆ “ผมไม่รู้จักคุณสักหน่อย” เซี่ยฮ้าวหราน
“หานซานเฉียน ถ้านายไม่รู้วิธีสั่งสอนผู้หญิงของตัวเอง ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยนายนะ” หานเหยียนกล่าว “หานเหยียน ถ้าเธอกล้าแตะต้องเธอแม้แต่เส้นผม ฉันจะฆ่าเธอ” หานซานเฉียนพูดน้ำเสียงเย็นชา เมื่อหานเหยียนได้ยินประโยคขู่นี้ เธอไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่กลับหัวเราะและพูดว่า “ยังมีเวลาอีกนาน ฉันจะทำให้นายคุกเข่าลงและยอมรับผิด แล้วนายจะเข้าใจว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร ฉันแค่ใช้สุนัขที่เลี้ยงแค่หนึ่งตัว ก็สามารถทำให้นายศพไม่สวยแล้ว” หลังจากพูดจบ หานเหยียนก็หันไปมองเซี่ยฮ้าวหรานและพูดว่า “แกยอมเป็นสุนัขของฉันไหม?” คำว่าสุนัขนั้นเป็นคำที่อัปยศอดสูมาก แต่ถ้าเป็นสุนัขแล้วสามารถเอาชนะตระกูลเทียนได้ เซี่ยฮ้าวหรานก็ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง รูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่ปรากฏตัวดูสง่างามราวกับสายรุ้ง เทียนหงฮุยไม่พูดอะไรสักคำ ความกลัวของเขานั้นแสดงออกมาชัดเจนมาก หลังจากคิดทบทวนไม่กี่วินาที เซี่ยฮ้าวหรานก็พูดว่า “ผมยอมครับ” “แกฉลาดมาก ต่อไปฉันจะทำให้แกมีอำนาจในหยุนเฉิง ไม่ว่าจะเป็นหานซานเฉียนหรือตระกูลเทียน ในสายตาของแก พวกมันจะกลายเป็นแค่สวะ” หานเหยียนกล่าว ตอนนี้เขาเลือกที่จะเชื
หลังจากเทียนหงฮุยออกจากฟาร์มเสตย์ เขาก็กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเทียนทันที เทียนฉางเฉิงและหวางเม่ายังคงเล่นหมากรุกอยู่ พวกเขารู้สึกงง เมื่อจู่ ๆ เห็นเทียนหงฮุยรีบกลับ “ทำไมกลับมาเร็วจัง นายต้องให้เกียรติตระกูลเซี่ยกินข้าวเที่ยงกับเขาหน่อยสิ” เทียนฉางเฉิงตำหนิ แม้ว่าจะมีบางเรื่องเกิดขึ้นในงานแต่งงาน แต่ตระกูลเซี่ยก็ร่วมมือกับตระกูลเทียน และถ้าเซี่ยฮ้าวหรานฉลาดพอ เขาควรจะขอโทษหานซานเฉียนแล้ว หลังจากที่เทียนหงฮุยชำเลืองมองหวางเม่า เขาก็พูดกับเทียนฉางเฉิงด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พ่อ ผมมีเรื่องจะบอก ไปที่ห้องหนังสือของพ่อเถอะ” เทียนฉางเฉิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น “หลิงเอ๋อร์มาเล่นหมากรุกกับปู่หวางสิ” เทียนฉาเฉิงพูดกับเทียนหลิงเอ๋อร์ เทียนหลิงเอ๋อร์อยากมีส่วนร่วมในการสนทนาระหว่างทั้งสองคนด้วย แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเทียนหงฮุย เธอก็ล้มเลิกความคิดนั้นทันที เธอสามารถทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจกับเทียนฉางเฉิงได้ แต่เธอก็ยังกลัวพ่อผู้น่าเกรงขามคนนี้มาก ทั้งสองมาถึงห้องหนังสือ หลังจากที่เทียนหงฮุยปิดประตู เทียนฉางเฉิงพลันถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? หานซานเฉียนให้อภัยตระกูลเซี่
“พ่อยังเชื่อใจเขาเหรอ?” เทียนหงฮุยกล่าว เทียนฉางเฉิงไม่พยักหน้า การแสดงออกของเขาจริงจังและสง่างามมาก เพราะการตัดสินใจครั้งนี้กำหนดอนาคตของตระกูลเทียน ความเป็นหรือความตายในความคิดเดียว เทียนหงฮุยไม่รีบร้อนและรอคำตอบของเทียนฉางเฉิงอย่างเงียบ ๆ เขารู้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวยากมากสำหรับเทียนฉางเฉิง หลังจากนั้นไม่นาน เทียนหงฮุยก็ลุกขึ้นยืนยิ้ม และพูดกับเทียนฉางเฉิงว่า “หานซานเฉียนเป็นพี่ชายของเทียนหลิงเอ๋อร์แล้วไม่ใช่เหรอครับ” เทียนหงฮุยถอนหายใจ แม้ว่าเทียนฉางเฉิงจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ความหมายของสิ่งที่เขาพูดนั้นชัดเจนมาก “พ่อ ไม่ว่าพ่อจะตัดสินใจยังไง ผมก็เคารพการตัดสินใจของพ่อนะครับ” เทียนหงฮุยกล่าว “เราแค่ต้องยืนอยู่ข้างหลังหานซานเฉียน และดูการต่อสู้ระหว่างเหล่าเซียน” หลังจากพูดจบ เทียนฉางเฉิงก็ยิ้มและพูดต่อว่า “ในสายตาของคนในหยุนเฉิง มองตระกูลเทียนอยู่ในสถานะสูงสุด ไม่สามารถโค่นล้มได้เป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดเขา แต่เราเท่านั้นที่รู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นเพียงเชิงเขาที่สูงกว่าภูเขาสูง” “ใครบอกว่าไม่ใช่” เทียนหงฮุยถอนหายใจ หยุนเฉิงเป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ ในประเทศจีนเท่านั้น ไม่
เมื่อซูหยิงเซี่ยได้ยินคำพูดของเจี่ยงหลาน เธอก็โกรธทันที ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่เจี่ยงหลานต้องการคือ ทำให้หานซานเฉียนหย่าและหมดตัว ดูเหมือนว่าในสายตาของเธอ เธอสนใจแต่เรื่องเงินเท่านั้น “แม่ ทำไมแม่คิดแบบนั้นล่ะคะ ซานเฉียนกำลังพยายามหาทางแก้ปัญหาอยู่ แต่แม่กลับต้องการให้เขาออกไปจากบ้านเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยพูดพร้อมกัดฟัน เมื่อเผชิญกับท่าทีโกรธจัดของซูหยิงเซี่ย เจี่ยงหลานก็ไม่สนใจ และยังพูดว่า “ฉันก็แค่เผื่อไว้ ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ ลูกสาวที่ดีของฉัน อย่าไว้ใจผู้ชายง่ายเกินไป ในโลกนี้มีที่ไหนไม่มีผู้ชายไม่เจ้าชู้บ้าง?” ซูหยิงเวี่ยหายใจเข้าลึก เธอโกรธจนหนังศีรษะชา เธอรู้ดีว่าหานซานเฉียนเป็นคนแบบไหน มีผู้ชายไม่กี่คนในโลกที่ไม่เจ้าชู้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะควบคุมตัวเองได้หรือไม่ ซูหยิงเซี่ยเชื่อว่าแม้หานซานเฉียนจะมีด้านที่เจ้าชู้ แต่เขาก็ยังสามารถควบคุมขอบเขตของตัวเองได้ดี “แม่ หนูขอเตือนนะ ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีก” ซูหยิงเซี่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา จู่ ๆ เจี่ยงหลานก็อารมณ์ไม่ดีจึงพูดว่า “ฉันเป็นแม่แกนะ แกพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ แล้วยังมาเตือนฉันอีกเหรอ?” “แม้ว่าแม่จะเ
“ผมออกไปข้างนอกสักพักนะครับ” หานซานเฉียนพูดกับซูหยิงเซี่ย ซูหยิงเซี่ยเดินไปหาหานซานเฉียนอย่างกระวนกระวาย และถามว่า “เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” “เปล่าครับ ผมจะไปหาเพื่อน ไม่ต้องห่วงนะ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม ซูหยิงเซี่ยรู้ว่าหานซานเฉียนพยายามพูดให้เธอสบายใจ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเธอสามารถทำให้หานซานเฉียนเครียดได้ แต่ในฐานะผู้หญิง ตอนนี้เธอทำได้เพียงสนับสนุนหานซานเฉียนอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังเขา “ระวังตัวด้วยนะคะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “รอสักพักนะ เดี๋ยวผมกลับมาทานข้าวด้วย” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่หานซานเฉียนออกจากประตู เจี่ยงหลานก็พูดว่า “แกระวังให้ดีนะ ดีไม่ดีเขาอาจจะไปประชุมที่โรงแรมเป็นการส่วนตัวกับใครบางคนก็ได้” ซูหยิงเซี่ยมองเจี่ยงหลานด้วยสายตาโกรธเคือง และพูดอย่างไม่พอใจว่า “แม่ แม่จำเป็นต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเราเลยเหรอคะ?” “ฉันแค่อยากจะเตือนแกไว้ ฉันแค่ไม่อยากให้แกเสียทั้งเงินเสียทั้งตัว” เจี่ยงหลานกล่าวอย่างมั่นใจ ซูหยิงเซี่ยถอนหายใจ การโต้เถียงกับเจี่ยงหลานเกี่ยวกับปัญหาแบบนี้ ทำให้เธอปวดหัวจริง ๆ หานซานเฉี
ฉี๋อีหยุนตั้งใจแต่งหน้าอ่อน ๆ และสวมชุดเดรสเดินไปมาอยู่ในห้อง คอยส่องกระจกในห้องน้ำ ปกติเธอเป็นคนที่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เธอกลับดูประหม่ามาก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เจอหานซานเฉียน แต่ทุกครั้งที่เธอเจอ เธอกลับรู้สึกไม่สามารถซ่อนความรู้สึกไว้ได้ ราวกับว่าลูกกวางวิ่งเข้ามาชนหัวใจของเธอ เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดตรงที่ประตู เส้นประสาทของเธอก็ตึงขึ้นทันที พลันเสียงกริ่งประตูดังขึ้น ยิ่งทำให้เธอประหม่ามากกว่าเดิม ฉี๋อีหยุนสูดหายใจลึก ก่อนเปิดประตู หานซานเฉียนเดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ฉี๋อีหยุนหายใจถี่ เธอตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวเพื่อเขา แต่กลับไม่สามารถให้หานซานเฉียนสนใจได้ แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่เธอคิดไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อมันก็เกิดขึ้นจริง ก็ยังทำให้เธอรับไม่ได้ “คุณมองมาที่ฉันบ้างไม่ได้เหรอ?” ฉี๋อีหยุนไม่พอใจ หานซานเฉียนไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเธอเลย แต่เธอรู้สึกว่า อย่างน้อยการแต่งตัวของเธอก็ควรจะทำให้หานซานเฉียนเหลียวมองบ้าง นี่เท่ากับเป็นการดูถูกเธอ “คุณต้องการหลอกใช้ให้ผมทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า” หานซานเฉียนพูดเบา ๆ ฉี๋