ถังหลงสีหน้าย่ำแย่ราวกับกินของเน่าเสียเข้าไป ถ้าเป็นคนอื่นหรือจะกล้ามาทำโอหังต่อหน้าเขา แต่หานซานเฉียนนั้นไม่เหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเขากับจงเหลียงนั้นไม่ธรรมดา ถังหลงหันกลับมาแล้วฉวยโอกาสตบหน้าฟ่านเสวี่ย เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องปล่อยให้ฟ่านเสวี่ยมารับเคราะห์แทน “คุณบอกผมมาซิ ทำไมคุณต้องใส่ร้ายจางเทียนซินด้วย?” ถังหลงคาดคั้นถามอย่างเย็นชา ฟ่านเสวี่ยเอามือปิดหน้าของเธอด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เรื่องนี้ถังหลงเป็นคนบอกให้เธอทำ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเธอ แต่ยังกล่าวโทษเธอด้วย! “คุณ...ถังหลง คุณกำลังทำอะไรคะ” ฟ่านเสวี่ยถามอย่างซื่อ ๆ ถังหลงกัดฟันพร้อมกับขยิบตาให้ฟ่านเสวี่ย แล้วพูดว่า “เล่าเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน แล้วผมจะปล่อยคุณไป” ฟ่านเสวี่ยรู้ว่าถังหลงต้องการให้เธอรับผิดชอบแทน แต่ทำไมล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าคนขี้แพ้ที่อยู่ตรงหน้า? ทำไมล่ะ! “ฉัน...ฉัน...” “คุณอะไร มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา” ถังหลงพูดอย่างเย็นชา ฟ่านเสวี่ยรู้ดีว่าถ้าเธอไม่แบกรับความผิดนี้ เธอจะต้องทำให้ถังหลงรู้สึกเคียดแค้นเธออย่างแน่นอน และต่อไปเธอก็จะอยู่อย่างไม่สงบสุข หากเธอสามารถช่วยเขารับภาระนี้ก็ยัง
เสียงดังของถังหลงทำให้จางเทียนซินตกใจจนตัวสั่น เขาเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังจางหลิงฮวา และไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่เรื่องนี้หานซานเฉียนรู้อย่างละเอียดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นฟ่านเสวี่ยที่เป็นคนเริ่มต้น แต่ถังหลงต่างหากที่เป็นคนเริ่มวางแผนอย่างแท้จริง เขาเห็นจางเทียนซินขัดหูขัดตา ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีสกปรกพูดจาใส่ร้ายเพื่อไล่จางหลิงฮวาออกไป คราวที่แล้วเขาก็ให้โอกาสชายผู้นี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังคงใช้อำนาจบาตรใหญ่ก่อความวุ่นวายในบริษัทอยู่อีก ทันใดนั้น จงเหลียงก็มาถึงหน้าประตูบริษัท ข้างกายของเขาคือซูไห่เฉาที่คอยทำใจดีสู้เสืออยู่ตลอดเวลา เนื่องจากซูไห่เฉาเป็นประธานของตระกูลซู เขาคิดมาหลากหลายวิธีเพื่อเข้าหาจงเหลียง ตอนนี้โครงการเฉิงซีแทบจะเป็นเส้นเลือดใหญ่ของตระกูลซู ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับซูไห่เฉาถ้าความร่วมมือนี้จะอยู่ในมือของซูหยิงเซี่ย ดังนั้นเขาจึงหวังว่าหลังจากเขาได้เข้าใกล้จงเหลียงแล้ว เขาจะสามารถดูแลโครงการเฉิงซีได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ซูไห่เฉาไม่กล้าทำอะไรอย่างโจ่งแจ้ง เขาทำได้เพียงใช้หลายวิธีเพื่อเอาใจจงเหลียง แต่น่าเสีย
หานซานเฉียนบอกกับจางหลิงฮวาว่า “คุณป้าพาจางเทียนซินไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อนนะครับ กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนประมาณสองวัน แล้วค่อยกลับมาทำงาน” กลับมาทำงานอย่างนั้นเหรอ? จางหลิงฮวาพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ซานเฉียน ฉันไม่อยากรบกวนคุณอีกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหลงสร้างปัญหาให้กับเรา แต่มันจะต้องมีครั้งที่สองแน่นอน” หานซานเฉียนยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับ ถังหลงจะถูกไล่ออกจากบริษัทในไม่ช้า ต่อไปถ้ามีใครกล้าสร้างปัญหาให้ป้าอีก ก็จะไล่ออกไปเลยครับ” จางหลิงฮวารู้สึกตกตะลึง ไล่ออกไปเลย? เขามีความสามารถในการทำเช่นนั้นด้วยหรือ? เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าหัวเราะเยาะ เจ้าหมอนี่โผล่มาจากที่ไหนกันถึงกล้าอวดอ้างเช่นนี้ ทุกคนในบริษัทลั่วเฉวต่างรู้กันดีว่าถังหลงได้รับการว่าจ้างจากจงเหลียงด้วยเงินจำนวนมาก แล้วถังหลงจะถูกไล่ออกเพราะจางหลิงฮวาได้อย่างไร? เขาเป็นดาวโรงเรียนเลยนะ “พี่ชาย คุณขี้โม้อะไรเนี่ย รู้ไหมว่าถังหลงเข้ามาที่บริษัทของเราได้ยังไง” “เขาเป็นคนที่พี่จงจ้างมาด้วยเงินมหาศาล การจะไล่ถังหลงออกเพราะจางหลิงฮวา คุณล้อพวกเราเล่นหรือเปล่า?” “
“หานซานเฉียน นี่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ คุณมาทำอะไรที่นี่?” ถังหลงพูดอย่างไม่พอใจ หานซานเฉียนเดินไปที่โต๊ะ แล้วนั่งลงบนที่นั่งของจงเหลียง การกระทำนี้ยิ่งทำให้ถังหลงรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก! เจ้าลูกหมา กล้าดีอย่างไรมานั่งแทนที่ของพี่จงเหลียง พี่จงเหลียงปฏิบัติกับคุณอย่างเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะมาลูบจมูกของเขา เขาเป็นคนของตระกูลหาน ส่วนคุณก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ในเมืองหยุนเฉิงเท่านั้น “หานซานเฉียน คุณช่างหน้าไม่อาย โชคดีเท่าไหร่แล้วที่พี่จงเหลียงเห็นคุณเป็นเพื่อน กล้าดียังไงมานั่งตำแหน่งของพี่จงเหลียงตามใจชอบแบบนี้” ถังหลงพูดตำหนิอย่างเย็นชา “เพื่อนงั้นเหรอ?” หานซานเฉียนยิ้มแล้วถามจงเหลียงว่า “เราเป็นเพื่อนกันเหรอ?” จงเหลียงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที ทำไมถึงรนหาที่ตายแบบนี้ ทำไมต้องลากฉันลงน้ำไปด้วย! เขาจึงรีบพูดกับหานซานเฉียนว่า “ผมไม่คู่ควรหรอกครับ” หานซานเฉียนมองไปที่ถังหลงแล้วยักไหล่พูดว่า “ได้ยินแล้วใช่ไหม เขาไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับผม” ถังหลงรู้สึกงุนงงเหมือนหมุนรอบตัวสามร้อยหกสิบองศา พี่จงเหลียงไม่คู่ควร...ไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับหานซานเฉียนอ
จงเหลียงตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดด้วยความลนลานว่า “นายน้อยครับ ผมขอโทษครับ ผมปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง หวังว่าคุณจะให้อภัยผม จากนี้ไปผมจะฟังคำสั่งของคุณครับ”หานซานเฉียนลุกขึ้นยืน เขาเดินไปตรงหน้าจงเหลียง แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณที่มีต่อผมดี เพราะในสายตาคุณผมก็เป็นแค่จุดแวะพักชั่วคราวเท่านั้น ภายในใจของคุณเจ้าของที่แท้จริงยังคงเป็นหานจุนใช่ไหมล่ะ”หน้าผากของจงเหลียงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดออกและไหลลงหยดบนพื้นติ๋ง ๆแน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขามีความคิดเช่นนั้นจริง เพราะไม่ว่าตระกูลหานจะให้โอกาสกับหานซานเฉียนมากแค่ไหน แต่ในสายตาของจงเหลียง หานซานเฉียนไม่มีทางแข่งขันชนะหานจุนได้ เพราะอย่างไรซะหานจุนก็คือคนที่หนานกงเฉียนชิวโปรดปราน ไม่ว่าหานซานเฉียนจะประสบความสำเร็จมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถขัดคำพูดประโยคของหนานกงเฉียนชิวได้ดังนั้นไม่ว่าจะทำเรื่องใด ๆ ก็ตาม จงเหลียงจะเหลือเส้นทางเอาไว้ให้ตัวเองได้เดินอีกหนึ่งเส้นทาเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงหลังจากกลับไปหาหานจุนแล้วจะไม่ถูกเขาให้ความสำคัญ ดังเช่นกรณีของจางหลิงฮวา เริ่มตั้งแต่วันที่จงเหลียงเห็นจางหลิงฮวาก้าวเข้ามาในบริษัท
“พวกเธอคิดว่าคนขี้โม้คนนั้นมาจากไหนกัน?” “ใครจะรู้ล่ะ ดูจากลักษณะท่าทางกระจอกนั่นแล้ว น่าจะเป็นพวกโรคประสาทหลอนน่ะสิ”“พวกเธอคิดว่าคุณจงเหลียงจะจัดการกับถังหลงยังไงบ้าง?”“จะจัดการยังไงได้อีกล่ะ ก็คงลงโทษแบบเบา ๆ พอเป็นพิธีนั่นแหละ เขาจะไล่ถังหลงออกเพราะจางหลิงฮวาได้ยังไง”หลายคนหัวเราะและพูดคุยกันเรื่องนี้ จนกระทั่งถังหลงออกมาจากห้องทำงานของจงเหลียงด้วยใบหน้าซีดเซียว พวกเขาถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถังหลงถึงมีสีหน้าแบบนั้น คงไม่ใช่ว่าถูกไล่ออกจริง ๆ หรอกนะ” “จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าเขาถูกไล่ออก จางหลิงฮวาก็คงกลายเป็นคนที่ไม่มีใครกล้ามีปัญหาด้วยเลยน่ะสิ”“ให้ตายเถอะ ฉันจะไปถามดู”มีใครบางคนเดินเข้าไปหาถังหลง แล้วถามออกไปว่า “ถังหลง เป็นยังไงบ้าง พี่จงเหลียงไล่จางหลิงฮวาออกหรือยัง?”ถังหลงรู้สึกสิ้นหวัง ตัวของเขาไร้เรี่ยวแรงราวกับศพเดินได้ ไม่หลงเหลือจิตวิญญาณอีกแล้ว เขาผลักคนตรงหน้าออก แล้วเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองประตูห้องทำงานไม่ได้ปิดสนิท ขณะที่ถังหลงกำลังเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองอยู่นั้น เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านนอกต่างพากันมุงดูด้วยความตกต
ซูไห่เฉาเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “ถ้าแกต้องการที่จะขอบคุณฉัน ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้ฉันเป็นประธานของตระกูลซู ขี้เกียจจะเสวนากับคนอย่างแก ถือว่าฉันให้โอกาสแกสักครั้งเพื่อให้แกได้กินอาหารหรู ๆ ก็แล้วกัน”ซูไห่เฉาเชิญหานซานเฉียนอย่างจริงใจเหรอ?แน่นอนว่าไม่ใช่ เขากับซูอี้หานวางแผนกันไว้แล้วว่าจะไม่ให้หานซานเฉียนเข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวันครอบครัว ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเมื่อหานซานเฉียนมาถึงที่งานเลี้ยงแล้วค่อยไล่เขากลับไปเขามีความสุขกับการกลั่นแกล้งคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคน ๆ นั้นคือหานซานเฉียน เขาก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีกการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหานซานเฉียนให้จมดินอย่างโหดร้ายนั้นเป็นเรื่องที่ซูไห่เฉาทำแล้วไม่รู้สึกเบื่อเลย ใครใช้ให้หานซานเฉียนเป็นคนไร้ค่ากันล่ะ?ยิ่งไปกว่านั้น ซูไห่เฉายังไม่ลืมเรื่องที่ถูกต่อยไปสามครั้งนั่น เขาจะต้องแก้แค้นให้ได้“ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉ้นจะไปดูการแสดงก็แล้วกัน” หานซานเฉียนพูดพร้อมกับหัวเราะติดตลก“ถ้าอย่างนั้น แกก็มาให้เร็วหน่อยก็แล้วกัน” ซูไห่เฉาพูดพร้อมกับหัวเราะเมื่อซูไห่เฉากลับขึ้นมาบนรถ และเห็นภาพหลังของหานซานเฉียนที่ค
เมื่อเซี่ยอวี๋ฟู๋สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเทียนหลิงเอ๋อร์ เธอก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ผู้ใหญ่ในตระกูลสั่งเสมอว่า ต้องสานสัมพันธ์กับเทียนหลิงเอ๋อร์ไว้ให้ดี เพราะว่าทุกอย่างของตระกูลเซี่ยล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตระกูลเทียน ความสัมพันธ์ของเธอนั้นมากพอที่จะนำเพื่อนสนิทของเธอนำผลประโยชน์มากมายมาให้ตระกูลเซี่ย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าไม่รักษาให้ดีมันก็จะนำปัญหามาสู่ตระกูลเซี่ยด้วยเช่นกันและทัศนคติของเทียนหลิงเอ๋อร์ก็คือตัวกำหนดชะตากรรมของตระกูลเซี่ย“หรือว่าจะไปด้วยกันไหมล่ะคะ” เซี่ยอวี๋ฟู๋พูดกับหานซานเฉียน แม้ว่าภายในใจจะดูถูกหานซานเฉียนมากสักแค่ไหน แต่เธอก็ต้องยอมรับให้ได้ แต่อีกเดี๋ยวเธอมีนัดกับผู้ชายที่เธอชอบ ถ้าเขามาเห็นว่าเธอไปดื่มชานมกับคนไร้ค่าคนนี้ เธอจะต้องรู้สึกอับอายขายหน้ามากแน่ ๆ หานซานเฉียนแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเซี่ยอวี๋ฟู๋อย่างกะทันหัน ดูเหมือนเพื่อนสนิทสองคนนี้น่าจะไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิทธรรมดา ๆ เสียแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเทียนหลิงเอ๋อร์คือคนของตระกูลเทียน การยอมให้เธอก็สมเหตุสมผลแล้ว หญิงสาวกระโปร