ชายผมเหลืองไม่คิดว่าเขาจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ เมื่อมองดูสีหน้าสิ้นหวังของพ่อ เขาก็คุกเข่าลง“พ่อครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย” ชายผมเหลืองคุกเข่าลงและร้องไห้“ช่วยงั้นเหรอ?” พ่อของชายผมเหลืองส่ายหัวด้วยใบหน้าเศร้าหมองแล้วพูดต่อว่า “ฉันก็อยากช่วยเหมือนกัน แต่แกคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ หรือไง? เมื่อก่อนฉันสามารถปกป้องแกได้ มันเกินความสามารถของฉันแล้ว หานซานเฉียน เขาคือหานซานเฉียนเชียวนะ”แค่ชื่อของหานซานเฉียน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนในหยุนเฉิงสิ้นหวังผู้ที่เคยหัวเราะเยาะหานซานเฉียน ตอนนี้กลายเป็นคนซื่อสัตย์ที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงในหยุนเฉิงด้วยซ้ำซูไห่เฉาเคยพุ่งเป้าไปที่หานซานเฉียน และเขายังเป็นต้นตอของข่าวลือที่ไม่ดีของหานซานเฉียนอีกด้วย แล้วตอนนี้ล่ะ? เขากำลังดูแลบริษัทที่ล้มละลาย และไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นเวลานานแล้ว“คุณคิดหาทางสิคะ เราจะรอคอยความตายแบบนี้ไม่ได้” แม่ของชายผมเหลืองพูดกับสามีตัวเอง“ครับพ่อ ได้โปรดคิดหาทางแก้ไขให้ผมด้วย ผมไม่อยากตายจริง ๆ จะให้ผมไปขอโทษเขา หรือคุกเข่าลงให้เขาก็ได้” ชายผมเหลืองกล่าว“ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ทำได้
หัวใจของเจี่ยงหลานตกลงไปในหุบเขาน้ำแข็งด้วยความสิ้นหวังแม้แต่ย่าแท้ ๆ หานซานเฉียนก็บีบบังคับจนเธอฆ่าตัวตายมาแล้ว แล้วเขาจะสนใจเจี่ยงหลานทำไม?ยิ่งไปกว่านั้น แม่สามีของเธอไม่เคยทำดีกับหานซานเฉียนเลย ตั้งแต่วินาทีที่หานซานเฉียนเข้ามาในตระกูลซู เธอก็ไม่เคยมีทัศนคติที่ดีต่อหานซานเฉียนเลยน่าเสียดายที่ความเสียใจในตอนนี้ไร้ประโยชน์เมื่อรู้สึกว่าหานซานเฉียนเริ่มออกแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของเจี่ยงหลานก็เริ่มแดงเพราะหายใจไม่ออก และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อหานซานเฉียนกลับมาที่ห้องนั่งเล่นจากชั้นสอง ก็ไม่มีใครกล้าถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นซูหยิงเซี่ยได้แต่ก้มหน้าต่ำ แม้ว่าเธอจะเกลียดทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจี่ยงหลาน แต่เจี่ยงหลานก็เป็นแม่ของเธอ และมันค่อนข้างยากสำหรับเธอที่จะเผชิญกับเรื่องนี้แม้ว่าซูกั๋วเย่าจะยังคงเดินเหินไม่สะดวก แต่ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวมากแล้ว เขาเข็นรถเข็นเข้ามาหาหานซานเฉียน และพูดว่า "หานซานเฉียน ฉันจะไม่โทษนาย นี่คือจุดจบที่เธอสมควรได้รับ"“จะฝังเธออย่างสมศักดิ์ศรีไหมครับ?” หานซานเฉียนถาม“ไม่ต้อง เธอกับฉันหย่ากันแล้ว และเธอก็ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลซูอีกต่อไป ฉัน
“อ้อ แล้วตอนที่อยู่ในตระกูลหนานกงเกิดอะไรขึ้นกับแกบ้าง?” หลังจากลังเลอยู่นาน หานเทียนหยางก็ถามหานซานเฉียนแม้ว่าหานเทียนหยางจะรู้ความเป็นไปของหานซานเฉียนได้เกือบทุกอย่างในอเมริกา แต่เมื่อเขาอยู่ในตระกูลหนานกง หานเทียนหยางก็แทบไม่รู้อะไรเลย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าความกังวลที่มากเกินไปนี้เป็นเพียงการทำลายความเป็นส่วนตัวของหานซานเฉียน แต่เขาอยากรู้เรื่องนี้มากจริง ๆหานเทียนหยางเป็นหนึ่งในตระกูลชนชั้นสูงเพียงไม่กี่ตระกูลในโลก ที่รู้ว่าตระกูลหนานกงนั้นทรงพลังแค่ไหน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหานซานเฉียนเมื่อเข้าไปพัวพันกับตระกูลชนชั้นสูงระดับนี้ และผลคืออะไร ในอดีตหลังจากที่เขาแต่งงานกับหนานกงเชียวชิว เขาก็กลายเป็นเบี้ยล่างของตระกูลหนานกง อย่างไรก็ตาม เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจที่แท้จริงของตระกูลหนานกง ความสงสัยนี้ยังคงอยู่ในใจของหานเทียนหยางมานานหลายปี และเขาต้องการที่จะไขปริศนานี้มาโดยตลอด ตอนนี้มีหานซานเฉียนเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาคลี่คลายปริศนานี้ได้“คุณปู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าหนานกงเชียนชิวจะมีภูมิหลังแบบนี้” หานซานเฉียนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ ในสายตาของเขา ความเข้มแข็งของห
“ซานเฉียน” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากคฤหาสน์มาที่สวนหลังบ้านแล้วเรียกหานซานเฉียน "เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอกว่ามีคนมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู และบอกว่าต้องการจะพบคุณ ไม่ว่าจะไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป คุณจะไปดูหน่อยไหม? "เธอเพิ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่ามีคนคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูโครงการ ไม่ยอมออกไปไหนไม่ว่าจะถูกทุบตีหรือดุด่ามากแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้พวกเขาขวางประตูอยู่ ทำให้ส่งผลกระทบต่อรถที่เข้าออก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงอยากจะให้หานซานเฉียนไปแก้ไขปัญหานี้ให้ที“ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้จะถูกติดสินบนสินะ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม ด้วยความเข้มงวดด้านความปลอดภัยของโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง หากมีคนมาขวางประตู พวกเขาคงจะขับไล่ออกไปนานแล้ว จะปล่อยให้มาก่อปัญหาอยู่แบบนี้ได้ยังไง เหตุผลเดียวที่อธิบายได้คือเจ้าหน้าที่คนนี้ได้รับผลประโยชน์บางอย่างถึงได้มาแจ้งเขาแบบนี้ “งั้นคุณจะไปดูหน่อยไหมคะ” ซูหยิงเซี่ยบ่น “ไปสิ ไปแน่นอน อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครมันกล้ามาขวางประตูบ้านเรา” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้มชายผมเหลืองและพ่อของเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงที่อธิบายไม่ได้ของหานซานเฉียน ซูหยิงเซี่ยจึงถามด้วยความสงสัย "คุณถึงตกตะลึงทำไมกัน คิดอะไรอยู่น่ะ?"หานซานเฉียนรู้สึกตัวแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไร"จู่ ๆ ใบหน้าของซูหยิงเซี่ยก็จมดิ่งลง และเธอก็พูดขึ้นว่า "ถ้าคุณอยากกลับไปนอนที่นั่น ฉันจะให้เจียงหยิงหยิงย้ายออกให้ก็ได้นะคะ"นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ หานซานเฉียนไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย กว่าจะกลับมาได้ จะให้เขาแยกห้องนอนกับซูหยิงเซี่ยได้ยังไงกัน“ที่รัก ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น คุณคิดแบบนั้นได้ยังไงกัน” หานซานเฉียนรีบพูดอย่างรวดเร็วตะคอกอย่างเย็นชา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรังเกียจของเธอหานซานเฉียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่พยายามเอาใจซูหยิงเซี่ยเท่านั้นหลังอาหารเย็น ในที่สุดทั้งครอบครัวก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เมื่อก่อนบนโต๊ะอาหารขาดหานซานเฉียนไป ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สมบูรณ์ ตอนนี้หานซานเฉียนกลับมาแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น“หยิงเซี่ย คืนนี้เดี๋ยวป้าดูลูกให้นะคะ” เหอถิงพูดกับซูหยิงเซี่ย“ป้าเหอ ป้าควรพักผ่อนเยอะ ๆ ฉันอยากดูแลเธอเอง อีกอย่าง ฉันก็ผ่านช่วงเวลาอยู่ไฟมานานแล้วด้
เดิมทีหานซานเฉียนตัดสินใจซื้อคฤหาสน์ใจกลางภูเขา เพื่อให้ซูหยิงเซี่ยมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับการวิ่งออกกำลังกายยามเช้าของเธอ อย่างไรก็ตาม หลังจากตั้งครรภ์ ซูหยิงเซี่ยก็ลืมการวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าของเธอไปแล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะว่าเธอเกียจคร้าน แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถให้เธอทำแบบนั้นต่างหากตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้ว ซูหยิงเซี่ยมีหลายสิ่งให้ต้องกังวลใจ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำเรื่องนั้นได้เวลาหกโมงเช้า หานซานเฉียนตื่นขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก นี่เป็นนิสัยที่เคยชินตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อมองไปที่ซูหยิงเซี่ยที่กำลังหลับอยู่ หานซานเฉียนก็สวมเสื้อผ้าอย่างระมัดระวังและออกจากคฤหาสน์เมื่อขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา ซึ่งเป็นเส้นทางที่หานซานเฉียนเคยวิ่งร่วมกับซูหยิงเซี่ย หลายครั้งก่อนหน้านี้ เขาได้กลับมาเยี่ยมชมสถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนี้อีกครั้ง ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา หานซานเฉียนไม่รู้ว่าวันเวลาเหล่านี้จะคงอยู่นานแค่ไหน สิ่งที่เขาทำได้คือคว้าช่วงเวลาปัจจุบัน แล้วเป็นสามีที่ดีและพ่อที่มีความรับผิดชอบตามถนนบนภูเขา หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยเคยวิ่งด้วยกันบนถนน
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่ธุรกิจจัดเลี้ยงในท้องถิ่นจากเมืองหยุนเฉิงแล้วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจจากเมืองใกล้เคียงที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ความกดดันมีมากมาย บุคคลบางคนตระหนักดีว่าโอกาสอาจไม่ตกอยู่ในมือของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะให้มัน ท้ายที่สุดแล้วโอกาสดังกล่าวนั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครอยากพลาดดังนั้นแรงกดดันของการแข่งขันจึงสูงมาก บางคนถึงกับรู้ว่าโอกาสไม่น่าจะตกอยู่ที่พวกเขา แต่ก็ยังต้องการสู้เพื่อมัน เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ จึงไม่มีใครอยากพลาดมันไป เพราะหากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหานซานเฉียนล่ะก็ ชีวิตของพวกเขาจะราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน แล้วใครจะยอมสละโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปกันล่ะผู้คนหลายร้อยคนล้อมรอบทางเข้าโครงการคฤหาสน์มากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้แต่พากันถอนหายใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาพวกเขาเพิ่งจะเคยเห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก และคาดว่านอกจากวันเกิดของหานเนี่ยนแล้ว คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก อันที่จริงอิทธิพลของเรื่องนี้ไม่ได้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากมายด้วย ตัวอย่
เมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยดูเขินอาย และไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเทียนหลิงเอ๋อร์อย่างไร หานซานเฉียนก็ทำได้แต่ช่วยพูดว่า "เป็นสาวเป็นนาง ถามเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไม่ละอายใจบ้างเลยเหรอ"“ฉันยังเด็กอยู่งั้นเหรอ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ยืดอกขึ้นถามหานซานเฉียนหานซานเฉียนรีบหันหน้าแล้วพูดว่า "แสลงตาจริง ๆ"การกระทำนี้ทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธจัด และแม้แต่ซูหยิงเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่ดูถูกฉันเหรอ!” เทียนหลิงเอ๋อร์เดินไปหาหานซานเฉียน และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเนื่องจากความสูงที่ต่างกันระหว่างทั้งสอง เมื่อหานซานเฉียนมองตรง เขาก็ไม่เห็นแม้แต่หัวของเทียนหลิงเอ๋อร์ เขาทำท่ามองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ใครกำลังคุยกับฉันน่ะ?"เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด เธอหันกลับไปหาซูหยิงเซี่ย และพูดด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า "พี่สะใภ้ เขารังแกฉัน พี่ยังคงหัวเราะฉันอยู่อีก รีบช่วยฉันหน่อยสิคะ"ซูหยิงเซี่ยแสร้งทำเป็นขึงขังและพูดกับหานซานเฉียน "คุณรังแกเธอได้ยังไง รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้นะ"“ที่รัก ในห้องนี้ยังมีคนอื่นอีกเหรอ?” หานซานเฉียนถามโดยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจซูหยิงเซี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าร้องไห้