"หุบปาก" เมื่อฟังเสียงเย้ยหยันหานซานเฉียนเหล่านั้น หนานกงป๋อหลิงก็ตวาดเสียงเย็น สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลหนานกง คนเหล่านี้ที่ไม่ได้ทำผลประโยชน์ใด ๆ ให้กับตระกูลมีสิทธิ์มาซ้ำเติมเขาด้วยเหรอ?น้ำเสียงไม่พอใจของหนานกงป๋อหลิงทำให้คนเหล่านั้นตัวสั่น และพวกเขาก็ไม่กล้าพูดจาเยาะเย้ยหานซานเฉียนอีก แต่ในใจพวกเขายังคงเชื่อว่าหานซานเฉียนยังไงก็แพ้แน่ ๆ เพียงแต่หนานกงป๋อหลิงไม่ต้องการยอมรับ และไม่อยากเผชิญกับความจริงเท่านั้น"คุณปู่ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะลองหาทางอื่นดู" หนานกงเยี่ยนพูดกับหนานกงป๋อหลิงจากด้านข้าง เขาจำเป็นต้องออกตัวในเวลานี้ เพื่อให้หนานกงป๋อหลิงมองเห็นเขา และทำให้หนานกงป๋อหลิงรู้ว่าสามารถฝากความหวังของตระกูลหนานกงไว้ที่เขาได้เท่านั้น แต่น่าเสียดาย ที่หนานกงเยี่ยนเลือกจังหวะผิดไปจริง ๆ หนานกงป๋อหลิงยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าหานซานเฉียนจะแพ้ ดังนั้นคำพูดของเขานั้นจึงได้รับคำด่ากลับไปอย่างไม่ต้องสงสัย "หุบปาก ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้" หนานกงป๋อหลิงพูดพร้อมกัดฟัน"น้องชาย นายคงไม่ได้กำลังสาปแช่งให้หานซานเฉียนแพ้อยู่ในใจหรอกใช่ไหม?" หนานกงซุนพูดขึ้นทันทีหนานกงเยี่
ทุกคนในตระกูลหนานกงรู้ดีถึงเหตุผลที่หนานกงป๋อหลิงต้องการให้หานซานเฉียนเปลี่ยนนามสกุลนี่แสดงให้เห็นว่าหนานกงป๋อหลิงให้ความสำคัญกับเขามาก และการเปลี่ยนนามสกุลหมายความว่าเขามีโอกาสเป็นผู้นำตระกูลหนานกงในอนาคต เกียรติยศอันยิ่งใหญ่แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะได้รับเมื่อหนานกงซุนได้ยินประโยคนี้ อารมณ์ของเขาก็ตกลงสู่ก้นบึ้งของหุบเขาในทันที เพราะสำหรับเขา หานซานเฉียนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขาได้รับตำแหน่งผู้นำเท่านั้น หากหานซานเฉียนเปลี่ยนนามสกุลจริง และถูกเห็นความสำคัญขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเขาเองที่เป็นเครื่องมือในการช่วยหานซานเฉียน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์แบบนี้ได้ แม้แต่ในตอนนี้ หนานกงซุนก็กำลังคิดว่าจะใช้หานเนี่ยนอย่างไรเพื่อบังคับให้หานซานเฉียนถอนตัวออกจากการเป็นผู้นำแต่สิ่งที่ผู้คนไม่คาดคิดก็คือ หานซานเฉียนปฏิเสธหนานกงป๋อหลิงอย่างไม่แยแส"เขา เขาปฏิเสธงั้นเหรอ?" บางคนถึงกับนึกว่าตัวเองหูฝาดและพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ"หานซานเฉียน นายหมายความว่ายังไง" หนานกงป๋อหลิงพูดอย่างไม่พอใจ“ผมจะไม่เปลี่ยนนามสกุล” หานซานเฉียนพูดเสียงเรียบทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในตระ
เกี่ยวกับคำพูดของหานซานเฉียนนั้น หนานกงซุนไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังหัวเราะอย่างดูถูก ในความคิดของเขา คำพูดของหานซานเฉียนแสดงออกถึงความไร้ความสามารถ เขาไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้ตัวเองได้ ดังนั้นถึงได้ประนีประนอมเช่นนี้แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เรียกว่าไม่ฆ่าของหานซานเฉียน หมายความว่าหนานกงซุนจะมีชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวด โดยที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะร้องขอความตายหนานกงซุนที่ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขาไม่รู้ถึงความร้ายแรงของผลที่จะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ เขาก็ไม่มีโอกาสให้เสียใจแล้วตามการนำทางจากจีพีเอสมายังหลุมศพแม่ของหนานกงข่ายมันเกือบจะเป็นดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยวัชพืช และยากกว่าที่จะหาสุสานที่ปกคลุมไปด้วยวัชพืชเจอ เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เธอถูกฝังที่นี่ ก็ไม่มีใครจากตระกูลหนานกงมาเยี่ยมหลุมศพของเธออีกเลยแม้ว่าเมื่อก่อนหนานกงข่ายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เนื่องจากเขาต้องแกล้งเป็นคนสติไม่ดี ดังนั้นจึงมาช่วยแม่ทำความสะอาดหลุมศพไม่ได้ เพราะถ้าถูกจับได้ การแกล้งเป็นคนสติของเขาก็จะถูกเปิดเผยเหตุนี้ทำให้หานซานเฉียนเห็นใจหนานกงข่ายที่ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อแบกรับภาระแห่งความอัปยศอดสู แล
ความโกรธของหานซานเฉียนพุ่งขึ้นทันที และเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดขึ้นมา ทุกเสียงร้องไห้ของหานเนี่ยนถือเป็นการทรมานและความเจ็บปวดอย่างมากสำหรับเขา เขาอยากจะเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บแทนเธอเขารู้ว่าหนานกงเหยี่ยวกำลังเตือนเขาด้วยวิธีนี้แต่เขารู้ดีกว่าว่าการประนีประนอมกับหนานกงซุนมีแต่จะทำให้เขาไร้ศีลธรรมมากขึ้น และบางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่มากเกินไปกับหานเนี่ยนในอนาคตด้วย“หยุดทำร้ายเธอ” หานซานเฉียนพูดผ่านไรฟันชายที่ปลายสายพูดขึ้นอย่างได้ใจ “ถ้านายไปคุกเข่าต่อหน้านางกงซุนเดี๋ยวนี้ ฉันอาจพิจารณาส่งเธอไปโรงพยาบาล ฉันคิดว่านายคงไม่อยากเห็นเด็กน้อยทนทุกข์ต่อไปหรอกใช่ไหม เพราะยังไงเธอก็เป็นลูกสาวนาย”หานซานเฉียนหายใจเข้าลึก วางสายวิดีโอคอล และเดินไปที่ห้องของหนานกงซุนหลังจากที่หนานกงซุนกลับมาที่ปราสาทโบราณ เขาก็รอหานซานเฉียนอยู่ในห้องของเขาด้วยสีหน้าได้ใจในความคิดของเขา การใช้วิธีนี้จะทำให้หานซานเฉียนเชื่อฟังเขาอย่างแน่นอน และเขาแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นหานซานเฉียนมาคุกเข่าต่อหน้าเขา และขอความเมตตา กระดิกหางเหมือนสุนัขที่น่าสงสารเมื่อเขาได้ยินเสียงเคาะประตู หนานกงซุนก็รู้ว่าหานซานเฉียนมาแล
คำพูดของจวงถางทำให้กงเทียนประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจวงถางจะมองเห็นค่าหานซานเฉียนสูงขนาดนี้“อาจารย์ ถ้าไม่ใช่เพราะผมประมาท เขาไม่ทางเป็นคู่ต่อสู้ของผมได้เลย” กงเทียนพูดอย่างคับแค้นใจจวงถางยิ้มอย่างดูถูกและพูดว่า "นายคิดถึงความแข็งแกร่งของตัวเองก่อนที่จะเข้ามาที่เทียนฉี แล้วลองเทียบกับเขาดู แล้วนายจะรู้ว่ามีช่องว่างของความต่างมากแค่ไหน"หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จวงถางก็กล่าวต่อ "เขาเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้เข้าสู่เทียนฉีในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่กลับมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ นายลองจินตนาการดูว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกแค่ไหนหลังจากเข้าสู่เทียนฉี?"ประโยคนี้ทำให้กงเทียนพูดอะไรไม่ออก ถ้าเขาเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของเขาก่อนที่เขาจะเข้าสู่เทียนฉีกับหานซานเฉียน มันจะเทียบกับเขาไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ในเวลานั้น เขาอาจเป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งต่อหน้าหานซานเฉียนเท่านั้น“ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือขีดจำกัดศักยภาพของเขา บางทีแม้หลังจากเข้าสู่เทียนฉีแล้ว เขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นก็ได้นะครับ” กงเทียนกล่าว“การหลอกลวงตัวเองและผู้อื่นเช่นนี้มีประโยชน์อะไร?” จวงถางพูดอย่างเหยียดหยาม
คำพูดของหนานกงป๋อหลิงทำให้หนานกงเยี่ยนและหนานกงซุนตระหนักได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากแค่ไหนแต่หนานกงเยี่ยนและหนานกงซุนไม่เคยคิดเลยว่าการแข่งขันเพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้นำ จู่ ๆ จะมีคนนอกตระกูลโผล่เข้ามาร่วมด้วย และคนนอกตระกูลคนนี้ยังสามารถสร้างความประทับใจให้จวงถางได้ด้วยนี่เป็นการโจมตีที่เกือบถึงแก่ชีวิตสำหรับพวกเขาหลังจากที่หนานกงป๋อหลิงจากไป หนานกงเยี่ยนก็พูดกับหนานกงซุนว่า "นายคงไม่ใช่ว่าไม่กล้าแตะต้องเขาจริง ๆ หรอกใช่ไหม ไม่ว่ายังไงตำแหน่งผู้นำก็ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของคนที่มีนามสกุลหานเด็ดขาด"หนานกงซุนเยาะเย้ยและพูดว่า "ถ้านายอยากจัดการเขา งั้นนายก็ลองดูสิ คุณปู่พูดไว้อย่างชัดเจนแล้ว ถ้านายอยากถูกไล่ออกจากตระกูลหนานกงก็อย่าลากฉันไปด้วย"“หนานกงซุน นายจะยอมถอยจริง ๆ เหรอ? นายเคยคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการที่ตระกูลหนานกงตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหานซานเฉียนบ้างไหม?” หนานกงเยี่ยนพูดอย่างเย็นชา เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพียงลำพัง หากจะจัดการหานซานเฉียน เขาต้องร่วมมือกับหนานกงซุนเท่านั้น เมื่อถึงเวลาจำเป็น เขาก็จะสามารถส่งต่อความรับผิดชอบให้หนานกงซุนได้ เขาวางแผนทุกอย่างได้อย่
ฉี๋อีหยุนส่ายหัวอย่างไม่สนใจ การประมูลประเภทนี้ไม่มีความหมายสำหรับเธอ มันเป็นเพียงสถานที่ที่คนเหล่านั้นเอาไว้อวดความร่ำรวยของตัวเองเท่านั้น และสิ่งที่เรียกว่าคนใหญ่คนโตก็ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจจากฉี๋อีหยุนได้เลยแม้แต่น้อยได้ความคิดทั้งหมดของเธออยู่ที่หานซานเฉียน อาจกล่าวได้ว่าเธอไม่สนใจที่จะมองผู้ชายคนอื่นเลยนอกจากหานซานเฉียน “อ้อใช่ ลูกอย่าลืมแต่งตัวสวย ๆ ล่ะ เผื่อว่าลูกจะชอบคนใหญ่คนโตคนนั้นขึ้นมา” ฉี๋ตงหลินเตือนฉี๋อีหยุนพูดในใจคำนึงว่า จะเป็นไปได้ยังไง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เธอก็ไม่ทางชอบแน่นอนฉี๋อีหยุนรู้ว่าตัวเองหมกมุ่นอยู่กับหานซานเฉียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดโดยพื้นฐาน แต่รู้ทั้งรู้ว่ามันผิด ฉี๋อีหยุนก็ยังคงเต็มใจที่จะทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดมาให้มีจุดจบที่ไม่สวยงามก็ตาม แต่เธอก็ยังอยากจะหาโอกาสลองดูใหม่อีกครั้งในวันประมูล ฉี๋อีหยุนที่รู้สึกเบื่อหน่ายก็ยังคงไปที่นั่นอยู่ดี แต่เธอแต่งตัวเรียบ ๆ สวมหมวกแก๊ปลิ้นเป็ดเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป และกลมกลืนไปกับฝูงชน โดยเฉพาะแว่นตาที่ปกปิดความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของ
เมื่อหานซานเฉียนปรากฏตัวในงานประมูล ภาพลักษณ์ของเขาไม่มีใครให้ความสนใจเลย ผู้คนที่กำลังมองซ้ายมองขวา ก็มองเขาเพียงแค่แวบเดียวและไม่ได้สนใจเขาอีกเพราะการแต่งกายของหานซานเฉียนไม่ได้ดูเหมือนคนมีอำนาจแต่อย่างใด และคนใหญ่คนโตในความคิดของพวกเขาจะต้องเข้ามาในงานอย่างโอ่อ่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ช่วยตามมาสักคนแบบนี้ เนื่องจากจิตใจของทุกคนไม่ได้อยู่กับการประมูล สินค้าประมูลจำนวนมากจึงขายไม่ออก นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ประมูลไม่ได้คาดคิดเอาไว้ และผู้บริหารระดับสูงบางคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาสำหรับฉี๋อีหยุน เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก ผู้ประมูลปลุกปั่นหัวข้อใหญ่เพื่อให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น แต่ใครจะคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้“แม่คะ ไม่เจ็บคอเหรอคะ ยังมองหาอะไรอยู่อีก บางทีคนใหญ่คนโตคนนั้นอาจไม่อยากมาที่นี่ด้วยซ้ำ” ฉี๋อีหยุนพูดกับโอวหยางเฟยอย่างช่วยไม่ได้“เฮ้อ” โอวหยางเฟยถอนหายใจ จุดประสงค์ของการมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อพบผู้มีอำนาจคนนั้นด้วย ตอนนี้ดูเหมือนว่าความหวังของเธอคงจะพังทลายลงแล้ว“ชายหนุ่มคนนี้ดูไม่เหมือนมาจากเขตของจีนเลย เขาคือคนใหญ่คนโตคนนั้นหรือเปล่า?” ตอนนั้นเอง ฉี๋