ลี่อินกลับตำหนักไปนานแล้วทว่าหยางหมิงกลับยืนจ้องมองประตูห้องอักษรอยู่อย่างนั้น การได้ยินว่านางจะจากไปกลับทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกโหยหาที่ก่อตัวขึ้นเพียงแค่ว่าภายภาคหน้านางจะจากไป ความรู้สึกนี้กลับไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้องห่างกับเสวี่ยหนิง หยางหมิงตกอยู่ภายใต้ความสับสนในใจอีกครั้ง รุ่งเช้าภายในท้องพระโรง เหล่าขุนนางราชสำนักพร้อมหน้ากันแม้แต่เหล่าแม่ทัพยังเข้าร่วมว่าราชการ ราชทูตแคว้นหานถูกเชิญเข้าท้องพระโรง แววตาของตงหยางแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ จื้อหาวที่เห็นเช่นนั้นรู้สึกกังวลใจไม่น้อย แผนการที่เขาวางไว้กับลี่อินพังไม่เป็นท่า การบีบบังคับเจรจาการค้ากับอีกฝ่ายที่อารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้ยากจะประสบผลสำเร็จ “ทูลฝ่าบาท ข้าพึ่งมาถึงซู่โจวได้เพียงวันเดียว ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยกลับถูกราชสำนักลากมาคุยเรื่องการค้า นี่คือวิธีต้อนรับแขกของแคว้นเว่ยหรือ” สายตาหยิ่งผยองจ้องมองไปยังเหล่าขุนนาง “รัชทายาทตงหยางอย่างพึ่งกริ้ว เพียงแค่การเจรจาขั้นแรก หากทั้งสองฝ่ายไม่พอใจในข้อตกลงจะได้มีเวลาให้ไตร่ตรอง” ฮ่งเต้รู้ว่าครั้งนี้วู่วามเกินไปจึงพยายา
“รัชทายาทอยากไปที่ใด” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างมากของหยางหมิงทำให้รอยยิ้มของตงหยางจางหายไป “ตรอกซุ่ยหู ได้ยินว่าที่นั่นมีโคมงดงามกว่าที่ใด” บนตรอกซุ่ยหูบัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าผู้คนที่ออกมาชมโคม จนถนนที่กว้างขวางกลับดูแคบลงถนัดตา การเดินฝ่าผู้คนจำนวนมากเป็นไปได้ยากลำบาก เสวี่ยหนิงที่กลัวพลัดหลงเกาะแขนหยางหมิงไว้แน่น ส่วนตัวของตงหยางกลับตื่นตากับโคมหลากหลายสีสันที่ประดับเรียงราย ลี่อินที่อยู่ด้านหลังต้องก้าวให้ไวขึ้นเพื่อตามบุรุษผู้นั้นให้ทัน “ระวัง!” เสียงจื้อหาวดังขึ้นพร้อมกับตัวของเขาเข้าประชิดตัวลี่อิน ก่อนดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนและใช้หลังของตนรับแรงกระแทกจากห่อสัมภาระขนาดครึ่งตัวคนของพ่อค้าเร่ จนสองร่างเซถลา “เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บหรือไม่” หยางหมิงที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผละออกจากการเกาะกุมของเสวี่ยหนิง ก่อนจะดึงร่างลี่อินออกจากอ้อมแขนของจื้อหาวอย่างจงใจ สายตาเป็นห่วงสำรวจรอบร่างบางอย่างกังวล “มะ ไม่เป็นไรเพคะ” ลี่อินตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ขอบคุณ คุณชายหวงที่ยื่นมือเข้าช่วย” นาง
จวนอ๋องวุ่นวายกับการเตรียมงานฉลองวันเกิดให้กับพระชายารอง เจียฮุ่ยกำชับการจัดแต่งสวนให้โออ่าสมฐานะพระชายาจวนชินอ๋อง ของใช้ภายในงานถูกซื้อเตรียมใหม่ทั้งหมด หยางหมิงจ่ายเงินถึงห้าร้อยตำลึงเพื่อให้เสวี่ยหนิงพอใจกับงานวันเกิด ถือเป็นการไถ่โทษที่เทศกาลหยวนเซียวเขาละเลยนาง “พระชายาเพค่ะ ตำหนักตะวันออกกำลังเตรียมพิธีร่วมอวยพรวันประสูติชายารอง แล้วตำหนักเราไม่เตรียมบ้างหรือเพคะ” อี้เฉาถามอย่างสงสัย “ไม่ล่ะ แค่พวกเจ้าร่วมอวยพรก็พอ อยู่นี่เราไม่รู้จักใคร” ลี่อินยังคงนิ่งเฉยอ่านบัญชีร้านเงียบ ๆ “เช่นนั้นคนเขาจะไม่หัวเราะเยาะเอาหรือ องค์หญิงเป็นถึงชายาเอกแต่ถูกชายารองกดให้จมดิน” อี้เฉาเป็นกังวลแทน “หากข้ามัวแต่สนใจคำพูดคนอื่น คงสิ้นใจตายไปตั้งแต่แคว้นฉีแล้ว คนอื่นจะว่าอย่าไรก็ปล่อยให้ว่าไปข้ารู้ตัวของข้าเองก็พอแล้ว” “เพคะ” อี้เฉาได้แต่ถอนหายใจให้กับความเรียบง่ายของเจ้านาย จนทำให้ผู้อื่นใช้เป็นจุดอ่อนคอยกลั่นแกล้ง “พระชายาเอก หม่อมฉันเจียฮุ่ยขอเข้าเฝ้าเพคะ” เจียฮุ่ยยืนถือเทียบเชิญ
วันนี้ตำหนักเล็กดูวุ่นวายเล็กน้อย แม้ลี่อินบอกจะไม่จัดงานอวยพรวันเกิด หากแต่เหล่านางกำนัลในตำหนักก็ยังอยากมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้กับนาง จึงต่างพากันตระเตรียมอาหารในห้องโถงล้วนแต่เป็นอาหารที่นางชอบ เมื่อลี่อินเดินเข้ามายังห้องโถงเหล่านางกำนัลต่างยอบกายกล่าวอวยพร “ขอพระชายาสุขสำราญ พระพลานามัยแข็งแรงเพคะ” นางยิ้มพอใจกับการจัดงานแสนเรียบร่างนี้ อี้หนิงเดินถือตุ๊กตาไม้ของตนเองมาให้นางคล้ายอยากมอบให้เป็นของขวัญ ลี่อินอุ้มเด็กน้อยวัยขวบครึ่งไว้ในอ้อมแขน “อี้เอ๋อร์ก็อยากมอบของขวัญให้น้าหรือ” นางหยอกเย้าเด็กน้อยก่อนจะก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของหลานสาว “ขอบใจทุกคนที่อวยพรวันเกิดข้า เช่นนั้นวันนี้เพื่อฉลองวันเกิดมอบเงินสิบตำลึงสำหรับทุกคน” เหล่านางกำนัลต่างยิ้มกว้าง เงินสิบตำลึงหากส่งกลับบ้านสามารถใช้ได้อย่างน้อยก็สองเดือน “ขอบพระทัยพระชายา” “ไปรับเงินที่ปิงเซียงเถิด” สิ้นเสียงพระชายา เหล่านางกำนัลต่างรีบถอยออกจากห้องโถง แม้ว่าอาหารทุกจานล้วนเป็นสิ่งที่นางชอบ หากแต่งานฉลอ
ร้านประทินโฉมหมื่นบุปผาบัดนี้เชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่เหล่าคุณหนูต่างเมืองยังดั้นด้นมาเลือกซื้อด้วยตนเอง ดีที่ยังมีบุปผาแห้งของจื้อหาวมาช่วยเติมคลังสินค้า มิเช่นนั้นหากอาศัยแต่ดอกไม้ในเมืองจิงโจวคงมิอาจพอขายแน่ ระหว่างที่ลี่อินกำลังดูบัญชีร้านปิงเซียงที่ควรอยู่ดูแลอี้หนิงกลับวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น?” ยังไม่ทันให้ปิงเซียงจะได้กล่าวสิ่งใด ลี่อินก็ถามขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ “ท่านหญิง! ท่านหญิงหายไปเพคะ” ปิงเซียงน้ำตาอาบแก้มเอ่ยเสียงสั่นเครือ ลี่อินคล้ายล่องลอยในความฝัน สิ่งที่นางได้ยินจากปิงเซียงทำให้เกิดเสียงอื้ออึงในหัว “กลับจวน!” ลี่อินบัดนี้สั่นกลัวทั้งร่าง หัวใจนางคล้ายหยุดเต้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถม้า “นางหายไปได้อย่างไร” ระหว่างรถม้ากำลังวิ่งกำจวนอย่างสุดกำลัง ลี่อินจึงซักไซ้ปิงเซียงในทันที “ท่านหญิงเดินเล่นในสวน จู่ ๆ มีนางกำนัลแจ้งว่าท่านอ๋องต้องการพบ หม่อมฉันจึงอุ้มนางเดินตรงไปตำหนักท่านอ๋อง แต่กลับถูกคนใช้ยาสลบปิดจมูกจนหม่อมฉันสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาท่านหญิ
ลี่อินอุ้มปลอบอี้หนิงเพียงครู่ เด็กน้อยก็หลับลงเพราะความอ่อนล้าก่อนที่ร่างน้อยจะถูกวางบนเตียงนอนอย่างเบามือ เพียงครู่ที่เสียงทุ้มต่ำด้านหลังก็ดังขึ้น “ข้าตามหมอหลวงมาแล้ว ให้ท่านหมอดูแผลหน่อยเถอะ” หยางหมิงที่ตามนางมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ยืนมองอย่างห่วงใย “ไม่จำเป็นหรอกเพคะ แผลเล็กเพียงนี้หม่อมฉันจัดการเองได้” ลี่อินไม่หันมามองบุรุษที่สนทนาด้วย พลางห่มผ้าให้อี้หนิง “เช่นนั้นให้ข้าทำเอง” เขาไม่ยอมให้นางปฏิเสธ “หม่อมฉะ........”ยังไม่ทันที่ลี่อินจะกล่าวจบ สองมือของหยางหมิงก็เข้าเกาะกุมไหล่ของนาง ก่อนบังคับสตรีเบื้องหน้าหันมาจ้องมองตน แววตากังวลมองบาดแผลบนหน้าผากของนาง แม้บาดเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่แผลก็ไม่ได้เล็กนัก “ข้าจะทำแผลให้ หากทิ้งไว้จะเป็นแผลเป็นได้” “หม่อมฉันทำเองได้” ลี่อินออกแรงขัดขืนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา หากแต่มือแกร่งแทบไม่กระดิกด้วยซ้ำ “อย่าดิ้น ข้าช่วยทำแผลแล้วจะรีบออกไปไม่กวนเจ้าอีก”คำพูดของหยางหมิงทำให้ลี่อินหยุดขัดขืน แลนั่งลงให้ทำแผลโดยดี
ปิงเซียงกลับมาจากร้านเหอชุนด้วยสีหน้ารีบร้อน ก่อนจะรีบแจ้งสิ่งที่ได้สอบถามมา “ทูลพระชายา ร้านเหอชุนบอกยาบำรุงผิวของร้านมิได้มีส่วนผสมของตัวยาใดที่จะทำให้ผู้ดื่มยารู้สึกอยากร่วมรักเพคะ” ปิงเซียงยื่นห่อยาให้กับลี่อิน “ดี! หากตรวจห่อยานี้ก็จะรู้ เสียดายที่ผ่านมานานยาที่เสด็จพี่เคยกินก็มิมีให้นำมาเทียบกัน” นางพึมพำเสียดาย “มีเพคะ!”ปิงเซียงที่ครุ่นคิดอยู่นานจำได้ว่าตนเคยแอบนำยาส่วนหนึ่งไปฝัง เพราะมิอยากให้องค์หญิงใหญ่ทรงเสวยอีก ตอนนั้นนางคิดว่ายานี่ไม่ได้ช่วยให้ผิวขององค์หญิงใหญ่ดีขึ้น หากแต่เกรงว่าจะทำให้ท่านหญิงที่ยังอยู่ในครรภ์ได้รับพิษจากยาไปด้วย แต่กระนั้นนางยังให้นางกำนัลไปนำมาให้ใหม่อยู่ดี “เจ้าไปนำมา แล้วเอาไปให้โรงหมอในเมืองตรวจดูว่าตัวยาเหมือนกันหรือไม่” “เพคะ” ปิงเซียงรับคำ “จำไว้ อย่าเปิดเผยตัวตน” นางเกรงว่าหากเป็นการวางยาจะทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังรู้ตัวตลอดทั้งวันลี่อินจดจ่อกับเรื่องที่ให้ปิงเซียงไปจัดการ แม้แต่อาหารที่อี้เฉาขึ้นโต๊ะไว้นางก็มิแตะต้อง ดีที่อี้หนิงเป็นเด็กดีไม่กวนนางเพีย
“เป็นอย่างไรบ้าง” หยางหมิงที่บัดนี้ใบหน้ากลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง เอ่ยถามเมื่อเห็นนางเดินกลับมา “มีห้องพักเพียงห้องเดียวเพคะ” ลี่อินทำหน้าเศร้า ต่างจากบุรุษเบื้องหน้าที่แทบกลั้นความพอใจไว้ไม่อยู่ “เช่นนั้นองค์ชายกลับไปพักที่กระโจมในกองทัพดีหรือไม่” นางเสนอทางออกของเรื่องนี้ “กระโจมห่างออกไปตั้งไกล แล้วหากข้าไปใครจะคุ้มกันเจ้า เย่นจินพาเหล่าทหารกลับกองทัพไปแล้วด้วย” หยางหมิงหาข้ออ้างอย่างสมเหตุสมผล “แล้วเช่นนั้นท่านอ๋องจะพักที่ไหน” “ก็ห้องเดียวกับเจ้าไง” หยางหมิงตอบหน้าตาเฉย “ได้อย่างไรกัน มันไม่เหมาะสม” ลี่อินไม่ยินยอม “ข้าเป็นสามีเจ้า มีสิ่งใดไม่เหมาะสม” หยางหมิงเตือนสตินาง “แต่ว่า...” “ไม่ต้องกล่าวแล้ว วางใจได้ข้าไม่ใช้กำลังขืนใจเจ้าแน่” คำพูดของหยางหมิงทำนางหน้าแดงด้วยความกระดากอาย หากแต่ผู้พูดกลับไม่รู้สึกเช่นเดียวกับนาง กลับกันเขาพอใจที่จะเห็นใบหน้าขวยเขินนั้นมากกว่า ห้องพักของโรงเตี๊ย
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ
กบฏยอมจำนน เจ๋อหานเสด็จประทับบนบัลลังก์มังกร ขุนนางประกาศโองการ“ด้วยโองการสวรรค์ ฮ่องเต้เจ๋อหานขึ้นครองบัลลังก์ ราษฎรเป็นสุขไร้ทุกข์นิรันดร์ เริ่มต้นศักราชหย่งฉีนับแต่นี้” สิ้นคำประกาศ เหล่าขุนนางคุกเข่ากราบถวายบังคม “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” “ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นเถิด ราชโองการแรกของข้า อภัยโทษทหารที่ร่วมก่อกบฏ ส่งไปชายแดนทำดีไถ่โทษ แม่ทัพอู๋ไท่และรองแม่ทัพ ปลดออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์กึ่งหนึ่ง เนรเทศไปดินแดนรกร้าง ไม่เอาความคนในตระกูล องค์ชายจี้หานให้ไว้ทุกข์ยี่สิบปีเฝ้าสุสานฮ่องเต้หย่งเฮ่า” “น้อมรับราชโองการ” หยางหมิงยืนข้างลี่อิน มองดูเหตุการณ์สำคัญของแคว้นฉีโดยไม่คิดก้าวก่าย ส่วนลี่อินเงยหน้ามอกบุรุษที่ตัวสูงกว่าสายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “ชินอ๋องถานหยางหมิง ขอบใจที่ตอบรับสาน์สขอความช่วยเหลือจากเรา” พระราชดำรัสของฮ่องเต้ ทำผู้คนในท้องพระโรงหรือแม้แต่ลี่อินต่างสับสน เหตุเพราะว่าการขอความช่วยเหลือจากแคว้นเว่ยไม่ได้มีการหารือในหมู่ขุนนางหรือแม่ทัพ “แคว้นฉี เป็นบ้านเกิดของพระชายา
พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นตามกำหนดเดิม ลานหน้าท้องพระโรงถูกตระเตรียมสำหรับราชพิธี เหล่าขุนนางยังคงเข้าร่วมพระราชพิธีโดยมิหวาดหวั่นการชิงบัลลังก์ขององค์ชายสี่จี้หาน รัชทายาทซ่งเจ๋อหานสวมชุดมังกรพิธีการ ก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงสู่ท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารค่อมกายเคารพฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เครื่องประโคมบรรเลงตามจังหวะการเสด็จของฮ่องเต้ ไทเฮายืนอยู่เหนือบันไดท้องพระโรง พร้อมเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อรอรับเสด็จฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮ่องเต้เจ๋อหานคุกเข่าถวายพระพรพระราชมารดาก่อนจะนำเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง หากแต่ประตูวังกลับมีกองกำลังของอู๋ไท๋บุกเข้ามาล้อมรอบลานพิธี “องค์ชายเจ๋อหานจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลวงอู๋ไท่ลงจากม้าศึกชี้ดาบตรงมายังว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้น “บังอาจ เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก กล้าดีอย่างไรไม่เรียกฮ่องเต้ตามธรรมเนียม แลยังถือดาบต่อหน้าพระพักตร์อีก” มหาราชครูหลานต่อว่าอย่างมิเกรงกลัว “หึ! ตาเฒ่าหลานซื่อ ใครนับหลานชายเจ้าเป็นกษัตริย์กัน ทั้งอ่อนแอ ขลาดกลัวใช้แต่การเจรจาต่อรองไม่เห็นความสำคัญของการรบ แล้วเช่นนี้จะปก
เสวี่ยหนิงถูกส่งกลับแคว้นฉี ฮองเฮาเสวี่ยฉีนำเหล่าขุนนางบีบบังคับฝ่าบาทให้สั่งประหารเสวี่ยหนิง จนฮ่องเต้ที่ไร้ทางเลือกสั่งประหารธิดาของตนเองเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ สนมคนโปรดถูกเนรเทศไปชายแดน ส่วนซิ่วหรูถูกสั่งกักบริเวณในตำหนักนานสองปี โหวน้อยหวงจื้อหาวแม้มิได้มีเจตนาทำร้ายเหมยหลิง หากแต่มอบยาสวาทมิรู้จบเพราะสงสารน้องสาว ถูกส่งไปต่างแคว้นทำหน้าที่ทูตเจรจาการค้าเพื่อประโยชน์ของแคว้นเว่ย ลี่อินกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้น นางย้ายกลับมาอยู่ตำหนักพระชายาพร้อมอี้หนิง เด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นในตำหนักกว้างยิ้มอย่างพอใจ “ชอบ” อี้หนิงที่พึ่งฝึกพูดเปล่งเสียงบอก “อี้เออร์ชอบก็ดีแล้ว” ลี่อินลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่ หากแต่ความสุขกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อม้าเร็วจากแคว้นฉีขอเข้าเฝ้า “ทูลองค์หญิงสาม บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮาทูลเสด็จพระองค์กลับไปสักการะพระศพพ่ะย่ะค่ะ” ลี่อินแม้รู้ว่าบิดาป่วยมานาน หากแต่เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทจากไปแล้ว สติของนางขาวโพลนทันที เสียงสุดท้ายที่นางได้ยินกลับเป็นเสี