หลัวเสี้ยวเวยพูดแทรกขึ้น ยื่นถ้วยน้ำชาให้ อยู่ด้วยกันนานนับเดือน แต่นางเพิ่งได้เห็นวันนี้เขาแต่งกายราวคุณชายสูงสง่า มิได้รวบผมเป็นทรงสูงแล้วครอบด้วยเกี้ยวเกล้าเช่นทุกครั้ง แต่กลับปล่อยผมยาวสยายแล้วปักด้วยปิ่นหยก ชุดสีน้ำเงินครามขับเน้นให้เขาดูแปลกตาไป หยางกั๋วชิ่งลอบสังเกตอากัปกิริยาของพี่ชาย เขารีบมารายงาน ‘ข่าวดี’ ให้บิดามารดาทราบ ทั้งสองดีใจมาก แต่กระนั้นเขายังย้ำมิให้ทั้งสองแสดงออกมาเกินไป คนปากแข็งอย่างคุณชายหยางเหลาหู่คงไม่ยอมรับเป็นแน่“วันนี้ข้าขอยืมตัวสาวใช้คนโปรดของท่านพ่อกับท่านแม่จะได้ไหม” หยางเหลาหู่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดพูดประชดประชันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หญิงสาหันขวับไปมองทันที เขาไม่มีท่าทีล้อเล่นยิ่งทำให้นางสับสนและงุนงงนัก “ข้าแค่พานางออกไปข้างนอก ซื้อของจำเป็นที่ต้องใช้ จะได้ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าท่านแม่มาใส่เช่นนี้” หยางเหลาหู่เอ่ยอย่างหงุดหงิด รู้ว่าทุกคนจับผิดเขาอยู่ แต่ยังดีที่ทุกคนสงวนท่าทีทำให้เขาไม่ต้องรับศึกหนัก “ดีจริง เช่นนั้นก็ไปเถิด” ทั้งสองแทบพูดออกมาพร้อมกัน “จะดีหรือเจ้าคะ คุณชายใหญ่เพิ่งกลับมา
“เอ๋?” คำถามของเขาทำให้นางอ้าปากค้าง “ข้าก็อยากได้เช่นกัน” เขาแสร้งทำหน้าตาย หันไปทางอื่น ได้แต่ก่นด่าตัวเองที่ไม่สงบปากตนเอง ดันพูดไปตามที่ใจคิด เห็นหน้าตาประหลาดใจของนางแล้ว เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง“ไปเลือกแบบที่ตัดสำเร็จสักสองสามชุดสิ” “ได้หรือเจ้าคะ” ถามทั้งที่ดวงตาเป็นประกายดีใจ เขาพูดถูก กว่านางจะเย็บเสร็จก็หลายวัน ถ้าได้แบบสำเร็จไปสักสองสามชุด นางไม่ต้องเอาเสื้อผ้าของฮูหยินมาใส่แบบนี้หรอก ดวงตาที่จ้องมองเขาเป็นประกายแวววับเหมือนลูกแมวน้อยที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ไยนางไม่รู้จักเก็บความรู้สึกในแววตาของนางบ้างนะ เขาบ่นในใจแล้วหันไปทางอื่นประจวบกับเถ้าแก่มองมาทางเขาพอดี เถ้าแก่รีบเดินตรงมาทักทาย “คุณชายหยางมาถึงร้านเองเช่นนี้ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” “ไม่มีอะไร แค่พา...คนมาซื้อของใช้” หยางเหล่าหู่ตอบไปอย่างรวดเร็ว แปลกใจที่ไม่เรียกเสี้ยวเวยว่า ‘สาวใช้’ เขากลับอยากให้นางยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช้ฐานะของสาวใช้ หลัวเสี้ยวเวยหันมาตามเสียงทักทายของเจ้าของร้าน นางแปลกใจเล็กน้อย แต่คิดไปว่าที่เขาพู
หวานล้ำเกินคาดคิดจริงๆ ใบหน้าของหญิงสาวแดงจัด ชายตรงหน้าเคี้ยวพุทราเชื่อมอย่างใจเย็นราวกับเมื่อครู่ทำในสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง! “กลับได้หรือยัง” นางโมโหจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าโกรธที่เขาแย่งขนมจากปากของนางหรือเพราะเขาใช้ปากและลิ้นมาปล้นชิงพุทราเชื่อมไป เห็นท่าทางของนางแล้วเขาอารมณ์ดียิ่ง จับเอวของนางแล้วยกขึ้นนั่งบนหลังม้า ส่งห่อผ้าให้นางช่วยถือแล้วกระโดดขึ้นตามไปอย่างรวดเร็ว เพียงม้าก้าวไปข้างหน้า แผ่นหลังของนางก็เอนหลังมาถูกแผ่นอกของเขา พื้นที่จำกัดนางไม่อาจขยับตัวหนีได้ จึงยอมให้ตัวเองอยู่ในอ้อมอกของเขา เมื่อใกล้ชิดมาก นางรู้สึกได้ว่าแผ่นอกของเขาสะเทือน แต่มันสะเทือนพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะที่ข้างหู หยางเหลาหู่ควบม้ากลับมาอย่างอารมณ์ดี นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ ทว่าเมื่อกลับมาถึงป้อมพยัคฆ์ทมิฬกลับรู้สึกได้ถึงเค้าลางแห่งปัญหา เขาลงจากหลังม้าและพาสาวใช้ตัวดีลงมาแล้วพบว่าบ่าวรับใช้ยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย “มีอะไรรึ” “นายท่านเชิญที่ห้องโถงขอรับ” “เดี๋ยวนี้?”
“เป็นของจริง” หยางต๋าเอ่ยพลางลูบกำไลอย่างครุ่นคิด “ท่านพ่อมองแวบเดียวก็มั่นใจเลยรึ” ลูกชายคนรองหัวเราะในลำคอยื่นมือไปขอรับกำไลวงนั้นมาดูบ้าง “ดูดีๆ ด้านในสลักชื่อสกุลหยางและสกุลหลัวไว้ด้วย” บิดาพูดแล้วก็ยกน้ำชาขึ้นจิบลอบมองหน้าลูกชายคนโตผู้ที่ต้องรับหน้าที่ทำตามคำหมั้นสัญญา “กำไลของจริงแล้วคนเล่า?” หยางกั๋วชิ่งถามตรงไปตรงมา “พี่ใหญ่ก็ฝังศพคู่หมั้นไปแล้ว จู่ๆมาปรากฏตัวอย่างนี้มันแปลกประหลาดพิกล” “ท่านพ่อเคยพบคุณหนูหลัวตั้งแต่ยังไม่ครบขวบปี คงจำนางไม่ได้เช่นกัน”คราวนี้หยางเหลาหู่หัวเราะในลำคอเบาๆ ท่าทางไม่ใส่ใจของเขาทำให้บิดากับมารดาถึงกับขมวดคิ้ว “แต่เราจะใช้เหตุผลนี้มายกเลิกคำสัญญาหมั้นหมายมิได้” มารดากล่าวออกมาหลังจากเงียบอยู่นาน “ท่านแม่อยากได้นางเป็นสะใภ้?” หยางกั๋วชิ่งถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่เช่นนั้น” คนเป็นมารดาถลึงตาใส่ลูกชายชักซักถาม “แม่แค่รู้สึกแปลกๆ พิกล แต่ก็ไม่อยากให้บิดาเจ้าเป็นคนผิดคำพูดด้วย” หยางต๋าหันมามองภรรยาแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างไม่กล้าขึ้นเสียง
“อ้อ! ใช่! ข้าหมั่นเพียรไหว้พระขอพรให้คุณหนูแข็งแรง จนในที่สุดก็ฟื้นตัวได้ในเร็ววัน ทำให้ได้มาพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณหนู” “เป็นเช่นนี้เอง” หลัวเสี้ยวเวยทำเป็นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แล้วขอตัวเดินจากมาพร้อมกับอาลี่ที่มีสีหน้างุนงงกับเรื่องที่ได้ยิน จนทั้งสองเดินออกมาไกลแล้ว หลัวเสี้ยวเวยก็ถอนหายใจยาว “สองคนนั้นไม่ได้มาจากเมืองเยว์” “ทะ ทำไม จะ เจ้าเชื่อเช่นนั้น”อาลี่ถามอย่างแปลกใจ เขาเองแม้อยากเปิดโปงว่าสองคนนั้นไม่ใช่คุณหนูหลัวเสี้ยวเวยตัวจริง แต่คุณหนูตระกูลหลัวตัวจริงกลับไม่ยอมแสดงตัว เขาจึงไม่กล้าทำอะไรออกไป และที่สำคัญ เขายังขลาดกลัว... กลัวว่าจะถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง เขาอ่อนแอเกินกว่าจะพูดความจริงทั้งหมดออกไปได้ “ไม่มีวัดอะไรนั้นเสียหน่อย” หลัวเสี้ยวเวยย่นจมูก “ไม่รู้ว่าสองคนนั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่ คุณชายใหญ่กับคุณชายรองก็ไม่อยู่ ตอนนี้เราสองคนต้องช่วยกันดูแลนายท่านกับ ฮูหยินให้มากๆ” “นะ..แน่ แน่นอน” เขารับคำ นายท่านดีกับเขามาก แม้หยางเหลาหู่เป็นคนช่วยชีวิตเขา แต่นายท่านหยางต๋าและหยางฮูหย
แสงเทียนดับไปนานแล้ว บานประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาตามมาด้วยร่างกายสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาอย่างเงียบเฉียบ แม้อยู่ในแสงสลัวแต่ หยางเหลาหู่กลับมองเห็นร่างเล็กที่นอนขดในผ้าห่มได้อย่างดียิ่ง นึกอยากเข้าไปใกล้แต่เกรงไอเย็นของตนทำให้นางตื่นจากนิทรา ไม่คิดว่าตนเองเร่งร้อนเดินทางกลับเพราะอยากเห็นหน้านางถึงเพียงนี้ เขาถอนหายใจถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ถูมือตนเองจนเกิดไออุ่นแล้วจึงเข้าไปนั่งข้างเตียง ร่างเล็กพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายดูน่าสงสาร หลายคืนที่เขาแอบเข้ามาดูนาง สิ่งใดทำให้นางฝันร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าของร่างสูงปีนขึ้นเตียงของหญิงสาวขยับตัวเข้าไปแนบใกล้ อากาศเย็นชื้นแต่ใบหน้าหวานกลับมีเหงื่อผุดขึ้นที่กรอบหน้า เขาโน้มตัวลงใช้หลังมือเช็ดเม็ดเหงื่อออกให้อย่างเบามือ แต่กระนั้นมือที่หยาบกระด้างก็ระคายผิวเนียนละเอียด ร้อน! หลัวเสี้ยวเวยกระสับกระส่าย เปลวเพลิงโหมกระหน่ำฉีกกลางคืนให้สว่างไสว กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งในอากาศ เสียงกรีดร้อง เสียงร้องขอชีวิต “แม่! ท่านแม่!” หยางเหลาหู่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น เขาจับมื
“ท่าน!” นางฝืนทำเสียงดุข่มความเขินอายที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง“ไฉนทำตัวเป็นโจรราคะ!” “หือ? ข้ารึ? โจรราคะที่เจ้าพูดถึง” หยางเหลาหู่กระตุกยิ้มที่มุมปาก เห็นท่าทางอวดเก่งของนางแล้วอารมณ์ดีขึ้น เขาไม่ชอบเลยที่เห็นนางอยู่ในท่าทางหวาดกลัวเช่นเมื่อคืน เมื่อใดกันที่นางยอมเปิดใจ ยอมเห็นเขาเป็นที่พึ่งพาได้ ให้เขาได้ละลายความหวาดกลัวใจของนาง “ก็สิ่งที่ท่านทำอยู่นี่จะให้ข้าเรียกว่าอะไร” มือเล็กๆ ผลักอีกฝ่ายออกแต่กลายเป็นว่านางผลักเขาไม่สำเร็จซ้ำตัวเองยังถูกเขาพลิกตัวมาอยู่ใต้ร่างของเขาอีก “เรียกว่ามีน้ำใจอย่างไรเล่า” เขาก้มมองคนที่อยู่ใต้ร่าง เพียงตั้งใจหยอกล้อนางเล่นแต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทิวทัศน์งดงามละลานตาเช่นนี้ เพราะนางดิ้นรนขยับตัวไปมา ทำให้คอเสื้อเลื่อนหล่นเห็นไหล่ลาดและเนินอกรำไร “น้ำใจอะไรกัน” นางจ้องมองเขากลับเห็นเปลวไฟไหวระริกในดวงตาคม นางจึงหลุบตาไม่กล้าจ้องตาอีกฝ่าย “ย่องเข้าห้องหับของสตรีบ่อยละสิ” “คนอย่างข้าไม่ต้องย่องเข้าห้องสตรีหรอกนะ แค่นี้ก็มีสตรีเปิดประตูรอให้เข้าห้องนับไม่ถ้วนแล้ว”
เมื่อไม่มีใครอื่นแล้ว ใบหน้าอ่อนหวานประดับรอยยิ้มก็เลือนหายไป มือเรียวกำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธ “จะทำอย่างไรดี” อี้เอ๋อร์เองร้อนใจไม่แพ้หญิงสาวที่นั่งกำมือแน่นด้วยความโกรธ“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว รีบชิงลงมือก่อนจะดีกว่า”หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าหลัวเสี้ยวเวยลุกขึ้นยืน มุมปากกระตุกยิ้มแล้วหมุนตัวเดินกลับไปห้องพักของตัวเองทันที หลัวเสี้ยวเวยเตรียมอาหารในครัว จู่ๆ คุณชายใหญ่ก็อยากดื่มสุรากับคุณชายรอง เดือดร้อนให้นางต้องมาตระเตรียมสุราและกับแกล้มให้อีก ป้าอิงอู่ยังไม่ค่อยแข็งแรงนักและกินยาพักผ่อนแล้ว อยู่ที่นี่มาเกือบสองเดือน นางยังเป็นเพียงลูกมือที่คอยปรุงรสอาหารให้กลมกล่อมขึ้น อย่างไรตำแหน่งแม่ครัวเอกก็ยังคงเป็นป้าอิงอู่ ที่แม้จะมีปัญหาเรื่องรสอาหารเปลี่ยนไปบ้าง หญิงสาวประคองถาดอาหารเดินไปในห้องรับรองแขกด้านใน เดิมทีคิดว่าหยางเหลาหู่อยู่กับหยางกั๋วชิ่ง แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มนั่งพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับหญิงสาวที่อ้างตัวเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย การปรากฏตัวของนางทำให้เสียงหัวเราะหยุดไปครู่หนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานเป็นมิตรให้ อี้เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใกล้
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่
“เวยเอ๋อร์ เรียกชื่อข้า” เขาช้อนตัวนางขึ้นนั่งสบตากับเขาอย่างแน่วแน่“ข้าไม่ต้องการทำให้เจ้าเจ็บ เรียกชื่อข้า ให้ข้ามีสติรู้ตัวว่าเบื้องของหน้าข้าคือเจ้า”“ยะ..หยาง..เหลา..หู่” นางเรียกชื่อเขาตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าร่างกายของนางที่เริ่มร้อนระอุเพราะไอร้อนจากกายของเขา หรือเพราะความเขินอายที่เปลือยเปล่าต่อหน้าบุรุษผู้นี้กันแน่ “เรียกอีก” ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้แผ่นหลังของนาง ปลุกเร้าจนนางอ่อนระทวย เขารู้ว่านางบริสุทธิ์ปานใด เป็นดอกไม้ที่ไม่เคยถูกชายใดแตะต้อง เขายิ่งต้องข่มสัตว์ร้ายในตัวเองไม่ให้ตะกละตะกราม ค่อยๆ แทะเล็มผิวกายเนียนนุ่ม “เหลาหู่...” หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา ทุกจุดที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนผ่านจุดเปลวไฟในกายของนาง เขาค่อยๆ ประคองแผ่นหลังของนางลงนอนอีกครั้ง ครอบครองยอดอกของนางด้วยริมฝีปาก นางไม่อาจทนนอนนิ่งได้ ร่างกายขยับตัวกระสับกระส่าย ส่งเสียงครวญไม่หยุด ปากของเขายังขบกัดยอดอกของนางจนเจ็บแปลบและเสียวซ่านไปพร้อมกัน มืออีกข้างบีบเคล้นนวดคลึงราวกับมอบความยุติธรรมให้ทรวงอกทั้งสองข้างได้ลิ้มรสชาติแปลกประหลาดที่นางไม่เคยพานพบเสียงครวญครางของนางปลุกเร้าสัตว์ร้าย
อาลี่ร้องห้าม แต่หลัวเสี้ยวเวยกลับหันมาสบตาด้วย แววตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เป็นดวงตาที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ “ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ คนที่เหลือรอดอยู่จับขังคุกใต้ดินให้หมด รอข้ากลับมาตัดสินโทษด้วยตนเอง” “ขอรับคุณชายรอง” ผู้อารักขาแต่ละคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ตัวเอง หยางกั๋วชิ่งหันไปทางอาลี่ให้เขาช่วยดูแลบิดามารดาให้ ทำราวกับหญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาโอบเอวนางแล้วใช้วิชาตัวเบาพานางมาส่งถึงหอฝึกตน ซึ่งปกติจะเข้าได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น “เจ้าแน่ใจแล้วรึ” หลัวเสี้ยวเวยพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นข้าที่ล้วนเต็มใจทำอย่างยิ่ง” “ข้าฝากชีวิตพี่ใหญ่ไว้ในมือของเจ้าแล้ว” เขายกมือประสานแสดงความคารวะอย่างจริงใจ แม้เขาเตรียมการรับมือคนจากของหอนางแอ่นเป็นอย่างดีแต่ไม่คิดว่าจะมีจุดผิดพลาดเช่นนี้ได้ “คุณชายรองไปดูนายท่านและฮูหยินเถิด ข้าจะรีบเข้าไปดูคุณชายใหญ่” หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ เขาหยิบป้ายคำสั่งประทับที่ประตูหอฝึกตน ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่หันกลับมามอ
เพียงสิ้นประโยคของอี้เอ๋อร์ เหล่าบุรุษในชุดดำก็ชักกระบี่ออกมา พุ่งตรงมาทางนาง หญิงสาวผวาเฮือกพลิกตัวใช้ร่างกายตนเองปกป้องร่างของฮูหยินที่ยังไม่ได้สติ นางหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง เคล้ง!!! เสียงกระบี่หล่นกระทบพื้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเรียกสติให้หลัวเสี้ยวเวยหันไปมอง แขนข้างที่จับกระบี่ขาดกระเด็นหล่นลงพื้น เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นพร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งในอากาศ หยางเหลาหู่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในมือข้างขวาถือกระบี่เปื้อนเลือด ส่วนอีกข้างกุมลำคอของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าหลัวเสี้ยวเวย “ฉิวเตี๋ย!” อี้เอ๋อร์ตะโกนเรียกอย่างตกใจ ยามนี้ใบหน้ามีไฟโทสะคุกรุน “ฉิวเตี๋ย? ชื่อของเจ้าสินะ” หยางเหลาหู่เลิกคิ้วแล้วออกแรงบีบลำคอของหญิงสาวแรงขึ้นอีกนิด สีหน้าของหญิงผู้นั้นเจ็บปวดยิ่ง เขาใช้เพียงมือข้างเดียวก็ทำให้นางไม่อาจดิ้นรนต่อต้านได้แล้ว “เป็นแม่นางฉิวเตี๋ยแห่งหอนางแอ่นนี่เอง” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยแสร้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งที่เขาระแคะระคายเรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นนางเข้ามาแล้ว เขาเดินเข้ามาพร