“ข้า...” คำพูดมาถึงริมฝีปาก เยี่ยนเว่ยฉือก็ตระหนักได้ว่าตนเองอาจจะเหลิงไปหน่อยนางค่อย ๆ หันไปมองซ่างกวนซี เป็นไปตามคาด ชายผู้นี้เต็มไปด้วยแววตาใคร่รู้เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแต่ยังคงความสุภาพ พยายามเค้นคำพูดออกมา “ข้า... เรียนรู้ด้วยตนเอง”อวี๋เฟยเหยียนทำปากยื่น “เรียนรู้จากหมูอีกแล้วหรือ? หมูตัวใหญ่ถูกพิษ? หมูตัวเล็กพิษ? แม่หมูออกลูกก็ถูกพิษงั้นหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือเกาศีรษะ “ก็... เอ่อ... ประมาณนั้นกระมัง”ซ่างกวนซีลุกขึ้น มองนางอย่างนึกตำหนิ จากนั้นก็เดินจากไปทันทีเห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังคำโกหกของนาง ไม่อยากเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของนางขณะกำลังปิดบังความจริงเยี่ยนเว่ยฉือมองแผ่นหลังของซ่างกวนซี พึมพำกับตัวเองอย่างจนปัญญา “การใช้ชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดคือความสุข จะจริงจังอะไรกันนักหนา!”ฉินเซียงหรูก็ลุกขึ้น ยิ้มและกล่าวว่า “แม่นางเยี่ยนพูดมีเหตุผล รัชทายาทของพวกเราผู้นี้คิดมากเกินไป อยากจะวางแผนกับผู้อื่น แต่ก็รู้สึกผิดในใจ จะไปต่อสู้กับน้องชายที่โหดเหี้ยมเหล่านั้นได้อย่างไร!”“วางแผนกับผู้อื่น? วางแผนกับใคร?” เยี่ยนเว่ยฉือมองฉินเซียงหรูด้วยความสงสัยฉินเซียงหรูมองไป
อ๋องจ่างซิ่นที่กำลังจะจุดธูปหันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือ ขมวดคิ้วถามว่า “เพิ่มเดิมพัน? เพิ่มอะไร?”ท่านหญิงอิ๋นตางหานอวี่เฟยก็ถามอย่างระแวดระวัง “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้ายังจะเรียกร้องขอเพิ่มเดิมพันอีก? อย่างเจ้าจะเข็นกระถางสำริดนี้ไหวหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือแบมือ “จะเข็นไหวหรือไม่ เดี๋ยวเจ้าก็เห็นเองไม่ใช่หรือ? ทำไม? ไม่กล้าเพิ่มหรือ หรือว่ากลัวแพ้?”“ข้าหรือจะกลัวเจ้า?!” หานอวี่เฟยตวาด “พูดมา อยากเพิ่มอะไร?!”เยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่อาภรณ์ของซ่างกวนหลี กล่าวว่า “ข้าต้องการฉลองพระองค์ขององค์ชายรอง!”“อะ… อะไรนะ?” หานอวี่เฟยคิดว่าตนเองหูฝาดไปซ่างกวนหลีก็เบิกตากว้าง ตวาดว่า “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นเกี่ยวอะไรกับข้า?”เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตา กล่าวต่อว่า “ไม่เกี่ยวกับท่าน แต่หม่อมฉันแค่ชอบฉลองพระองค์ของท่าน หากหม่อมฉันชนะ หม่อมฉันจะให้ท่านถอดให้หม่อมฉันตรงนี้ เดี๋ยวนี้ทันที แต่หากหม่อมฉันแพ้... หม่อมฉันจะถอดกระโปรงให้ท่าน ยุติธรรมดีใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้คังอู่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหลวไหล เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าเป็นสตรี จะพนันเช่นนี้ได้อย่างไร? อย่าทำตัวเกินงาม ทำให้จวนรัชทายาทอ
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าคนตัวใหญ่กว่าย่อมได้เปรียบเรื่องพละกำลัง กระถางสำริดหนักหนึ่งร้อยแปดสิบแปดชั่งนั้น หานอวี่เฟยก็เข็นมันล้มลงได้จริง ๆอีกทั้งพละกำลังของนางก็มากพอ และยังฉลาด รู้ว่ากระถางนั้นกลม สามารถเข็นให้กลิ้งไปบนพื้นได้หลังจากล้มลงเมื่อทำเช่นนี้ก็ประหยัดแรงไปได้มากอวี๋เฟยเหยียนที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ กล่าวด้วยความเป็นห่วง “นั่นถือเป็นวิธีที่ดี แต่ดูแล้วพี่สะใภ้คงจะเข็นกระถางแบบเดียวกันไม่ได้ ศิษย์พี่ หากนางแพ้ต้องถอดอาภรณ์นะ เหตุใดท่านไม่ห้ามไว้?”ซ่างกวนซีมองไปที่เยี่ยนเว่ยฉือ กล่าวอย่างใจเย็น “นางไม่แพ้แน่”อวี๋เฟยเหยียนมองซ่างกวนซีด้วยความประหลาดใจ “ความเชื่อมั่นแบบไม่ลืมหูลืมตาของท่านมาจากที่ใดกัน?”ซ่างกวนซีหันไปมองอวี๋เฟยเหยียน “เพราะข้าไม่เคยเห็นนางแพ้ เจ้าเคยเห็นหรือ?”“เอ่อ... นั่นก็จริง” อวี๋เฟยเหยียนเริ่มตั้งตารอดูการแสดงของเยี่ยนเว่ยฉืออีกครั้งแต่เยี่ยนเว่ยฉือกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?ทุกคนเห็นว่าเยี่ยนเว่ยฉือกำลังผูกเชือกปอไว้ที่หูทั้งสี่ของกระถางสำริด บนเชือกปอแขวนอะไรบางอย่างไว้“ศิษย์พี่ นั่นอะไรหรือ?”ซ่างกวนซีกล่าวว่า “หนังแกะ เมื่อวานนางให้ไคจือและซ่า
เมื่อหนังแกะพองตัวขึ้นเรื่อย ๆ กระถางสำริดที่ไม่ขยับเขยื้อนก็เริ่มสั่นคลอน!ทุกคนเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า แทบไม่อยากจะเชื่อเยี่ยนเว่ยฉวยโอกาสก้าวไปข้างหน้า ยกหูกระถางสำริดข้างหนึ่งขึ้นเบา ๆ กระถางสำริดก็ลอยขึ้นจากพื้นทั้งสนามส่งเสียงฮือฮา!“ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน? พระชายามีกำลังเหนือมนุษย์งั้นหรือ?”“กำลังเหนือมนุษย์อะไรกัน ต้องเกี่ยวกับหนังแกะนั่นแน่ ๆ”“พวกเจ้าโง่หรือ นี่มันก็แค่โคมลอยขนาดใหญ่ไม่ใช่รึ?”“เอ๊ะ? เป็นอย่างที่เจ้ากล่าว นั่นมันโคมลอยขนาดใหญ่จริง ๆ ด้วย!”“โคมลอยมีแรงถึงขั้นยกกระถางสำริดได้เชียวหรือ?”…… ทุกคนถกเถียงกัน ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้กระถางสำริดลอยขึ้นจากพื้นหนึ่งฉื่อแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือเพียงแค่เข็นเบา ๆ มันก็เคลื่อนที่ได้อย่างง่ายดายฮ่องเต้คังอู่ที่ยืนดูอยู่ยินดีมาก “วิเศษ วิเศษ วิเศษจริง ๆ! วิธีนี้วิเศษมาก!”องค์ชายสามแห่งเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวที่มาดูการประลองก็ประหลาดใจ “คนทั่วไปใช้โคมลอยเพียงเพื่อขอพรจากเทพเซียน พระชายากลับใช้โคมลอยยกของหนัก ช่างมีไหวพริบจริง ๆ”แม้แต่อันกั๋วกงผู้ไม่ชอบสิ่งที่เยี่ยนเว่ยฉือทำก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็ก
หลังจากการประลองจบลง เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนเว่ยฉือชนะขาดลอยแต่หานอวี่เฟยผู้นั้นกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นางชี้หน้าเยี่ยนเว่ยฉือและดุด่าว่า “ข้าไม่ยอมรับ เจ้าโกง!”เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตา “โอ้ แพ้ไม่เป็นหรือ?”“แพ้ไม่เป็นอะไร? เริ่มแรกตกลงกันว่าจะให้ต่างคนต่างยกกระถางสำริด แต่เจ้ากลับใช้วิธีแปลก ๆ พวกนั้น ไม่ยุติธรรม!” หานอวี่เฟยดุด่าต่อไปเยี่ยนเว่ยฉือมองไปที่ฮ่องเต้คังอู่ “ฝ่าบาท หากหม่อมฉันจำไม่ผิด วันนั้นหัวข้อการทดสอบของอ๋องจ่างซิ่นคือ ‘ให้พวกนางทั้งสองคน แต่ละคนไปยกกระถางสำริดหนึ่งใบ ใครสามารถเคลื่อนย้ายกระถางสำริดไปได้ไกลกว่ากัน ผู้นั้นชนะ! เงื่อนไขคือ ต้องทำคนเดียว ห้ามใครช่วยเหลือ!’ ใช่หรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้คังอู่มองไปที่เต๋อซ่วนกงกงเต๋อซ่วนกงกงรีบพยักหน้า “กราบทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ ไม่ผิดแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “นั่นก็ถูกต้องแล้ว อ๋องจ่างซิ่นกล่าวว่าเงื่อนไขคือต้องทำคนเดียว ห้ามใครช่วยเหลือ ข้าขอถามท่านหญิงอิ๋นตาง ข้าเคยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือ? ข้าไม่ได้ทำคนเดียวหรอกหรือ? ท่านอ๋องออกข้อสอบก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามใช้อุปกรณ์ช่วย! วันนี้ต่
เยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่ซ่างกวนหลี เชิดคางขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าต้องการฉลองพระองค์ของเขา”จากนั้นนางก็ชี้ไปที่ตัวเอง มองหานอวี่เฟยด้วยรอยยิ้ม “แล้วข้าก็ยอมแพ้!”ยังไม่ทันที่หานอวี่เฟยจะตอบโต้ ซ่างกวนหลีก็ร้องอุทานราวกับแมวที่โดนเหยียบหาง “เช่นนี้ได้อย่างไร? ตกลงกันว่าถ้าชนะถึงจะให้ ในเมื่อเจ้ายอมแพ้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาฉลองพระองค์ของข้า!”เยี่ยนเว่ยฉือทำปากยื่น “ความจริงแล้วหม่อมฉันชนะ เพียงแต่มีบางคนไม่ยอมรับเท่านั้น”“เจ้าว่าใครไม่ยอมรับ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าฉ้อฉล!” หานอวี่เฟยโต้กลับด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองเยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า ถอนหายใจ “ท่านหญิงอิ๋นตาง อย่างไรท่านก็เป็นถึงแม่ทัพ ไม่รู้จักคำว่า ‘การทำสงครามไม่ควรเกรงกลอุบาย’ หรือ? แพ้ก็คือแพ้ เดิมพันแล้วก็ต้องยอมรับ”ขณะที่หานอวี่เฟยกำลังจะโต้เถียงอีกครั้ง เยี่ยนเว่ยฉือก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ข้าเป็นคนใจดี ในเมื่อท่านหญิงอิ๋นตางไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นก็เสมอกัน ถือว่ารอบนี้เป็นเสมอ พวกเราแข่งรอบที่สามต่อ หรือไม่ก็ให้เขามอบฉลองพระองค์ให้ข้าเสีย หากข้ายอมแพ้ พวกเราก็ยังแข่งรอบที่สามได้ หากอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอม...”เยี่
“ฮึ! เจ้ายังจะตอกย้ำอีก?” ซ่างกวนหลีมองซ่างกวนเจวี๋ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่ซ่างกวนเจวี๋ยยิ้ม ไม่ได้ใส่ใจ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขาดีมากซ่างกวนหลีถอดฉลองพระองค์ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนยัดใส่มือซ่างกวนเจวี๋ยซ่างกวนเจวี๋ยก็ไม่ถือสา ถือเสื้อผ้าเดินไปหาเยี่ยนเว่ยฉือ กล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอม “เจ้านี่ประหลาดเสียจริง ชอบเสื้อผ้าของชายอื่น”คำพูดนี้ราวกับว่าเยี่ยนเว่ยฉือมีเจตนาร้ายกับซ่างกวนหลีเยี่ยนเว่ยฉือยื่นมือไปรับเสื้อผ้า เลิกคิ้ว “องค์ชายสี่กล่าวผิดแล้ว หม่อมฉันไม่ได้ชอบเสื้อผ้าของชายอื่น แค่ชอบแย่งชิงของคนอื่น เอามา... ใช้ประโยชน์ก็เท่านั้น”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็ถือเสื้อผ้าเดินไปหาองค์ชายสามซ่างกวนจิ่น ยื่นให้ด้วยสองมืออย่างสุภาพ “หม่อมฉันดูแล้ว องค์ชายสามและองค์ชายรองสูงพอกัน มีเพียงรูปร่างที่ผอมบางกว่าเล็กน้อย นำฉลองพระองค์นี้กลับไปให้นางกำนัลในจวนแก้ไขเล็กน้อย ก็จะทำให้ท่านใส่ได้พอดี”ซ่างกวนจิ่นยืนงงอยู่ที่เดิมขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นก็ประหลาดใจมากหากจะบอกว่าในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ผู้ใดมีมนุษยสัมพันธ์แย่ที่สุด นั่นก็คือรัชทายาทซ่างกวนซีถ้าเช่นนั้นในบรรดาอ
อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเดินไปข้างหน้า ก้มศีรษะตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดหัวข้อไว้แล้ว การประลองรอบแรกเป็นการประลองด้านบุ๋น รอบที่สองเป็นการประลองด้านบู๊ รอบที่สามต้องการทั้งบุ๋นและบู๊ เมื่อคิดดูแล้ว ทั้งบุ๋นและบู๊ก็คือ ‘ปัญญา’ ดังนั้นรอบที่สามนี้จึงเน้นที่ ‘ปัญญา’ เป็นหลัก”“โอ้? ประลองอะไรกันแน่ ลองกล่าวมา” ฮ่องเต้คังอู่แสดงความสนใจอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ในงานเลี้ยงที่พระตำหนักจิ่วหลง กระหม่อมเคยกราบทูลฝ่าบาท โจรขุดสุสานที่ชื่อฮวาอวี๋ ได้ขโมยตำราลับสวรรค์ไร้อักษรของเป่ยอิ้น และปิ่นหางหงส์ทองคำของต้าหลี่ ปิ่นหางหงส์เป็นเครื่องประดับที่ตระกูลแพทย์ศักดิ์สิทธิ์ปรุงด้วยกรรมวิธีพิเศษ ผู้ใดก็ตามที่สัมผัสกับมัน จะไม่สามารถสัมผัสกับเถาเหลยกงได้ มิฉะนั้นจะมีผื่นแดงขึ้นเต็มตัว ทรมานอย่างมาก”ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้า ถามต่อ “หัวข้อที่เจ้ากำหนด เกี่ยวข้องกับปิ่นหางหงส์หรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น วันนั้นอ๋องจ่างซิ่นกล่าวว่า ‘ให้ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดสัมผัสกับน้ำที่แช่เถาเหลยกง’ ในมุมมองของกระหม่อม วิธีนี้ใช้ได้ผลดีมาก แต่ประชาชนในหลีมีจำนวนมาก ในการปฏิบัติจ
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ