ทั้งที่เมื่อครู่ฟาดฟันกันราวจะรบชิงเมือง แต่เมื่อนอนแนบกายกันและสบตากันในระยะประชิดเช่นนี้ซ้ำชายหนุ่มยังอมยิ้มจ้องหน้าด้วยแล้ว จู่ๆกากีก็เกิดกระดากอายขึ้นมา จนต้องควานหาผ้ารีบคลี่ออกปิดคลุมกายไว้ เฉินอี้เฟิงนายน้อยแสนอ่อนโยนหัวเราะเอ็นดู “เขินอะไรกันเล่าแม่นาง ไม่ต้องอายกระไรแล้ว ตอนนี้เราถือเป็นผัวเมียกันอย่างสมบูรณ์ เจ้าเป็นฮูหยินของข้าแล้ว เมื่อได้กลับเมือง ข้าจะจัดพิธีแต่งงานให้สมกับกำเนิดมหัศจรรย์และความงามหยาดสวรรค์ของเจ้า ไม่ให้น้อยหน้าใคร” เมื่อคนข้างกายพูดถึงอนาคต กากีก็คิดตามอยู่ครู่หนึ่งทอดถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลงๆ เธอรู้ดีว่าตามเนื้อเรื่องแล้ว เธอไม่มีทางจะได้ร่วมเรือลำนี้ไปได้จนตลอดรอดฝั่ง แต่ดูเหมือนถึงอย่างไรเธอก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดตัวแปรอะไรในนิยายเล่มนี้ได้มากนัก จึงยอมรับสภาพและไม่โต้แย้งอะไรอีก หลังจากคืนนั้น เช้ามา นายน้อยเฉินอี้เฟิง ได้ตรวจตราดูเสื้อผ้าชุดบุรุษเนื้อผ้าเบาสบายมิดชิด มาดัดแปลงให้เล็กลง เพื่อนำมาให้กากีสวมใส่ ให้นางสวมหมวกใบเล็กๆที่มีผ้าบางคลุมหน้า พานางออกมาด้านหน้าห้องพัก แล้วประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ต่
โดยไพ่พิเศษที่ว่านั้นจะเป็นไพ่ที่มีภาพวาดประกอบเป็นท่าทางต่างๆในการร่วมเพศ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยเห็นไพ่เช่นนั้นปรากฏที่ใดมาก่อน เขาจึงมีความคิดนึกสนุกขึ้นมา “กากี เจ้าอย่าว่าข้าอุตริวิตถารเลยนะ แต่ข้ามีความปรารถนาตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว ว่าใคร่จะได้เห็นและเป็นเจ้าของไพ่หรรษานี้ เคยคิดฝันเอาว่า เมื่อข้ามีฮูหยินแล้วก็ใคร่จะทดลองทำไพ่นี้ขึ้นมาเองเพื่อเพิ่มความสำราญระหว่างกัน” กากีหัวเราะ นึกในใจว่าชายหนุ่มยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกันสินะ ชอบดูภาพ ดูคลิปวาบหวิวในเวลาส่วนตัว “หมายความว่าเจ้าต้องการจะเขียนภาพการร่วมรักท่าทางต่างๆของเราเก็บไว้อย่างนั้นหรือ งั้นก็ตามใจเจ้าเถิด ใครจะไปว่ากระไรได้ เรื่องส่วนตัวอย่างนั้นข้าไม่ก้าวก่ายหรอก” “เจ้าเข้าใจถูกอยู่ครึ่งเดียวน่ะสิ” เฉินอี้เฟิงพูดด้วยท่าทางเกรงใจ ก่อนอธิบายเพิ่มว่า ตัวเขาเองนั้นนิยมชมชอบเสพชมภาพวาดภาพเขียนลายเส้น ทั้งทิวทัศน์และภาพเหมือนต่างๆ และตระกูลของเขาเองก็ได้สนับสนุนชุบเลี้ยงศิลปินเขียนภาพเพื่อการกุศล อยู่เสมอ แต่ไม่ได้มีฝีไม้ลายมือในการวาดภาพเอาเสียเลย จึงเป็น
ในยามรุ่งสาง แสงอุษาเรื่อเรืองอ่อนแตะเส้นขอบฟ้า ขณะที่ร่างนางกากียังหลับสนิทเคียงข้างมิตรรักร่วมเตียงเคียงหมอนอย่างนายสำเภาแสนสุภาพเฉินอี้เฟิง จิตวิญญาณของสีฝุ่นเป็นร่างเลือนรางคล้ายควันสีขาวก็พลันลุกขึ้นนั่งแยกออกจากกายหยาบ ออกเดินย่ำไปทั่วห้องพักนั้นอย่างงุนงงสงสัย ดั่งเหยียบย่างอยู่บนเส้นแบ่งของความจริงกับความฝัน ความรับรู้และไม่รับรู้ สีฝุ่นในร่างเดิมคือหญิงสาวร่างอวบจัด สวมชุดผู้ป่วยแขนสั้น กางเกงขายาวสีเขียวอ่อนผมหน้าม้า ยืนอยู่ต่อหน้ากระจกเงาบานใหญ่ที่กากีเพิ่งสวมตู้โตว์มาโพสท่าเล่นเมื่อตอนหัวค่ำ เสียง...ใช่ เสียงอีกแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่จะสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างตัวเธอกับโลกทั้งสองใบนี้คือเสียงของอะไรสักอย่าง จากเสียงแหลมเล็กที่ระบุแน่ชัดไม่ได้ เริ่มค่อยๆชัดขึ้น “ฝุ่น...ไป” เสียงนั้น เป็นเสียงแม่แน่แท้ กระซิบกระซาบอยู่ใกล้ๆ “แม่ แม่จ๋า แม่อยู่ไหน” สีฝุ่นพยายามตามหาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระจกเงาบานใหญ่ ตามประสบการณ์ที่เคยดูละครไทยมา หลายเรื่องข้ามมิติผ่านกระจกเงานี่แหละ ว่าเสียงกลับลอยมาจากทิศทางอื่น โถกำยานขนาดใหญ่ที่ตั้งข้
ดวงตาของนายโจรที่จ้องมองเข้าไปในภาพวาดนั้นลุกโพลงด้วยความตื่นเต้น อกใจดิ้นโครมครามในอกราวจะขาดใจตายเสียให้ได้ ยิ่งเพ่งยิ่งเหมือนหญิงงามร่างอรชรดั่งอัปสรนั้น กำลังเคลื่อนไหวหายใจเข้าออกระทดระทวยร่ำร้องเรียกหาอยู่ตรงหน้า ยิ่งเมื่อแนบภาพกับจมูกสูดดมกลิ่น ก็ราวกับแนบจมูกตนเข้ากับเนื้อนาง ทั้งซอกถัน บั้นเอว หอมรัญจวนใจอะไรปานนี้หนอ ฝีมือวาดภาพของฉางตี๋ก็ไร้ที่ติราวกับภาพมีชีวิต “นางอยู่ที่ใด รีบไปนำตัวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” นายเรือโจรคำรามเสียงทุ้มต่ำในลำคอตาไม่ละไปจากภาพนั้น “ท่านนายโจรขอรับ” เฉิงอี้เฟิงก้าวออกมาเผชิญหน้าอย่างใจเย็น “อย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ ภาพนั้นก็คงเป็นเพียงภาพวาดนางในจินตนาการของเด็กชายที่เพิ่งเข้าวัยหนุ่ม หาได้มีมูลสำคัญอันใดไม่” นายเรือโจรแสยะยิ้มใต้ผ้าคลุมหน้า “ข้าเป็นผู้เสพภาพวาด ข้ารู้ดี เจ้าเด็กนี่เป็นนักวาดภาพเหมือน มิใช่พวกนักวาดภาพตามจินตนาการ หากไม่มีต้นแบบจะเขียนขึ้นมาเองได้ไฉน หมึกที่เขียนนี้ก็ยังสดใหม่ ซ้ำกลิ่นที่ติดอยู่นี่ก็ยังบอกความจริงกับข้ามากกว่าถ้อยคำโกหก นางในภาพนี้มีตัวตนและต้องอยู่บนเรือนี่ ไปเอาตัวนางมาเดี๋ยวนี้ หาก
“พวกเราจะปกป้องฮูหยิน เราจะสู้จนตัวตาย ปกป้องนายหญิงกากี อย่าให้ใครชิงตัวนายหญิงได้” หญิงสาวที่ตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยได้รับความรู้สึกห่วงใยจากคนจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนตื้นตันใจขึ้นมาจนน้ำตาร่วง พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ฉินอี้เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าปวดร้าว เศร้าใจที่ตนทำอะไรไม่ได้เลย “กากี เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ข้าเป็นสามีของเจ้า ข้าย่อมต้องมีหน้าที่ปกป้องเจ้าจนกว่าตัวจะตาย นายโจร ข้าเชื่อว่าท่านก็มีคุณธรรมในแบบของท่าน ได้โปรดละเว้นเมีย และลูกเรือของข้า เอาชีวิตของข้าไปแทนนางเถิด ตายเพื่อแลกกับคนที่รัก ข้าไม่เสียดายเลย” นายน้อย นายน้อยเฉิน ลูกเรือหลายคนกรูกันจะเข้ามาช่วย ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าปักกลางอกลูกเรือที่วิ่งนำหน้า พร้อมดาบขนาดใหญ่จากฝักดาบของนายโจรสุลัยมานตวัดรวดเร็วมีจ่อประชิดที่ลำคอขาวสะอาดของนายสำเภาหนุ่ม เสียงร้องเรียกกันอลหม่านให้ลูกเรือถอยระคนกับเสียงหัวเราะชอบใจของเหล่าโจร “จะเอาอย่างนั้นก็ได้” สุลัยมานพูดพลางหัวร่อ แล้วพูดต่อด้วยพลังเสียงดังกัมปนาท เมฆที่เพิ่งเคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์ยิ่งทำให้ร่างนายโจรที่ตัวใ
หลังขึ้นเรือโจรสลัดแล้ว แม่งามกากีถูกมหาโจรสุลัยมานลากตัวแยกข้าไปในห้องหนึ่งบนเรือที่ถูกกันไว้เป็นสัดส่วนคร่าวๆ ในขณะที่ซินแสหวางและสมุนไพรห่อใหญ่ที่พกมาด้วยถูกพาตัวไปอีกฟากของเรือเพื่อช่วยดูลูกเรือโจรที่ป่วยและบาดเจ็บจากการต่อสู้ ในห้องเล็กๆที่กากีถูกมือขนาดยักษ์ผลักดันตัวเข้าไปนั้น เป็นห้องที่กั้นด้วยแผ่นไม้ตีเป็นกระดานหยาบๆปะทับไปมา มีฟูกนอนที่มีเสื้อผ้าและข้าวของกองระเกะระกะอยู่ตรงกลาง กลิ่นอาหารเก่าและกลิ่นสุราอับเปรี้ยวโชยฟุ้งอยู่ในนั้น “เอ้า พวกเอ็งจัดการแบ่งสมบัติและอาหารกันตามสัดส่วน ของจากเรือสำเภาลำนี้ ใครอยากได้อะไรก็เอาไป ข้าไม่เอาอะไรทั้งนั้น ข้าจะอยู่กับเมียข้า ใครอย่าเสือกเท้าเข้ามารบกวนเด็ดขาด” เสียงออกคำสั่งนั้นดังกัมปนาท หลังจบเสียง ด้านนอกก็เอะอะเฮโลดีใจ ค้นอาหารและสินค้ากันอย่างสนุกสนาน หญิงสาวใจร่วงวูบเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูลงกลอนแน่นหนาอยู่ด้านหลังหนาวไปถึงหัวใจยิ่งเมื่อตระหนักว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เธอเอาแต่ยืนภาวนา ขอให้ร่างกายและจิตใจของตนเป็นกากีเสียให้เต็มตัว ไม่ให้มีส่วนเสี้ยวของสีฝุ่น ชายหนุ่มร่างยักษ์
ยอมเป็นเมียข้าดีๆ ข้าจะถนอมเจ้าเท่าที่จะทำได้ และประกาศว่าเจ้าเป็นเมีย ลูกน้องข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอย่างน้อยเจ็ดวันตามกฎของเรือโจรสุลัยมาน หรือหากเจ้าดึงดันจะขัดขืน ข้าก็จะขืนใจเจ้าสำเร็จอยู่ดี แต่ช่องสวาทของเจ้าจะฉีกขาดเลือดตกใน แลข้าก็จะต้องโยนเจ้าออกไปให้ลูกเรือทั้งลำรุมโทรมเจ้าทุกช่องทางที่พวกมันจะเอาลำเนื้อเหม็นอับของพวกมันเสียบแทงเจ้าในทุกร่องทุกรูที่เสียบแทงได้ เจ้าจะขาดใจตายในไม่ถึงชั่วยาม แลพวกมันก็จะชำเราศพของเจ้าต่อจนพอใจ เช่นเดียวกับสตรีทุกคนที่เราเคยฉุดคร่าเอามาได้ ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่โง่นักดอกจริงหรือไม่ ฮ่า” คราวนี้หญิงสาวขนลุกทั้งตัว และแม้ไม่เต็มใจนางก็ฝืนตัวเองลดการดิ้นรนขัดขืนลง และยอมให้จอมโจรดึงมือตนไปรวบรอบแท่งเนื้อปีศาจสีดำกำยำขรุขระนั้นพลางคิดในใจว่า พวกผู้ชายนี่มันเป็นบ้าอะไรกันไปหมดถึงชอบให้ผู้หญิงเอามือไปจับดุ้นตัวเองก่อนเผด็จศึก ท่อนเนื้อใหญ่หนาจนกำมือเล็กๆบอบบางกำไม่รอบ ซ้ำเส้นเลือดปูดโปนราวอสรพิษเลื้อยรัดรอบอยู่ เต้นตุบตับร้อนระอุอยู่ในมือ ราวกับมันมีชีวิตจิตใจของตัวเอง ส่วนปลายแท่งบุรุษเริ่มมีน้ำหยาดใสเหนียวลื่นออกมาหล่อเลี้ยงส่งกลิ
ในเวลาเพียงไม่นานตั้งแต่ที่สีฝุ่นหล่นลงมาอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้หญิงสาวได้ผ่านประสบการณ์ที่เข้มข้น ทุลักทุเล และเหลือเชื่อมากเสียจนเธอเองก็ไม่คิดว่าใครจะเคยจินตนาการถึง ตั้งแต่การถวายตัวต่อพระเจ้าเหนือหัวพรหมทัต การเข้าคอร์สอบรมปรนนิบัติบุรุษ ถูกครุฑลักตัวไปเมืองหิมพานต์ ได้อยู่กับผู้ชายที่เธอรัก หรืออย่างน้อยที่สุดก็เข้าใจว่าตัวเองรัก ถูกปฏิบัติอย่างทารุณโหดร้ายเหมือนเป็นวัตถุทางเพศ มาเจอผู้ชายกะล่อนที่ล่อลวงผู้หญิงด้วยคำหวานและใบหน้าหล่อเหลาซ้ำยังมีมนต์คาถา ถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงแพศยา ถูกลอยแพ ขึ้นไปอยู่บนเรือสำเภาจีน ถูกฉุดคร่ามาอยู่บนเรือโจร แม้ร่างกายและความเป็นนางกากีที่ดูเหมือนจะมีระบบควบคุมอัตโนมัติติดมากับร่าง ทำให้สามารถสลับโหมดไปเสพสังวาสกับผู้ชายมากหน้าหลายตาโดยปล่อยตัวปล่อยใจได้อย่างอิสระมีความสุขสมโดยไม่ได้มีความรู้สึกทางศีลธรรมหรือการต่อต้านของจิตวิญญาณสีฝุ่นมารบกวนมากนักแต่บางสิ่งที่อธิบายได้ยากยิ่งก็ก่อตัวขึ้นและทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจ สีฝุ่นที่ตอนนี้อยู่ในภวังค์เคลิบเคลิ้มกึ่งหลับกึ่งตื่น เริ่มรู้สึกคล้าย
แม่ของเธอยิ้มกว้าง ดวงตาสดชื่น ความสุขแผ่เต็มใบหน้าแม้ร่างกายจะซูบผอมหลังจากต้องเฝ้าไข้เธอมายาวนาน เอ่ยตอบน้ำตาคลอ “ให้อ้วนเป็นช้างแม่ก็เลี้ยงไหว ขอแค่ลูกแม่ปลอดภัย อย่าเป็นอะไรไปอีกก็พอแล้ว” แตงกวาถลามาถึงโรงพยาบาลเพียงเพื่อจะพบว่า โรงพยาบาลห้ามเยี่ยมเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เธอจึงต้องนั่งอยู่ที่ด้านล่างของโรงพยาบาล แล้ววิดีโอคอลคุยกับเพื่อนรัก “แก สรุปเรื่องตอนนั้นที่แกกลับมาในร่างนางแบบวิกตอเรียซีเคร็ท น่ะ เรื่องจริง ฉันไม่ได้ฝัน ไม่ได้บ้าใช่ไหม” แตงกวาถาม หลังจากเห็นเพื่อนสบายดีแล้ว และกำลังกินเอแคล์รที่เธอซื้อมาฝากผู้ช่วยพยาบาลไปเยี่ยม “อืม แกไม่ได้บ้า แต่เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อเนอะ ลืมๆไปเหอะ” สีฝุ่นพูดขณะเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อาการหลังผ่าตัดเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็วหมออนุญาตให้กินอาหารได้ตามปกติ นั่นคือข่าวดีที่สุดของเธอ “จะว่าไป แกเสียดายบ้างไหมวะ ที่ไม่ได้อยู่ในร่างสวยเริ่ดเหมือนนางฟ้าแบบนั้นแล้ว” เพื่อนสาวถามตาเคลิ้มๆ “ฉันยังอยากได้เลยแก สิบล้านค่าหมอผ่าไม่รู้จะพอไหมให้ได้สักครึ่งนั่น” สีฝุ่นตอบแบบไม่ลัง
ข้าจะรักษาเจ้าให้ได้กากี เจ้าอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้ารักเจ้า ข้ารักลูกของเรา เจ้าห้ามตาย ข้าจะรักษาเจ้ากากี ได้ยินข้าไหม เจ้าต้องรอดให้ได้” กากีคลี่ยิ้ม คำรักนั้นอ่อนหวานนัก ช่างอบอุ่นและจริงใจยิ่ง เป็นความรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานคล้ายมีดอกไม้ทิพย์กลีบบอบบางกลิ่นหอมละมุนบานสะพรั่งอยู่ในอกตน นางคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยประโยคสุดท้าย “ข้าก็รักเจ้า กาฬปักษี ข้ารักเจ้า” หลังจากนั้นร่างกายคล้ายถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ นางกระตุกเฮือก ไขว่คว้าเอามือหนานุ่มแสนอบอุ่นนั้นมาแนบที่ใบหน้าก่อนที่หยาดน้ำตาสุดท้ายจะไหลรินลงบนมือนั้น เป็นความอบอุ่นสุดท้ายก่อนชีพนางจะดับลง ฝ่ายนาฏกุเวร แบกดวงใจอันปวดร้าวเดินทางกลับพาราณสี ทุกข์โทมนัสด้วยความสิ้นหวัง กากี แม่งามเอ๋ย ยอดดวงใจพี่ นางในดวงใจที่เฝ้าถนอมรักไว้ใจดวงใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับรัก แม้หักหาญราญเอากายนางเป็นเมีย ปรนนิบัตินางด้วยกามวิเศษ แม้หมายจะเชิดชูให้นางเป็นถึงมเหสีเอก นางก็กลับไม่สนใจ ซ้ำรังเกียจอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยรังเกียจ กล้ากระทั่งทำให้ตนเองพิการอัปลักษณ์เพื่อคนไร้
บรรดาเหล่าพลธนูทั้งนั้นที่มาด้วย เห็นกระจะตาแล้วว่ากากีกำลังท้องแก่จึงเกิดความเวทนา ต่างลังเลไม่กล้ายิง แต่เมื่อถูกสั่งซ้ำโดยหัวหน้านายกอง จึงได้แต่ฝืนยิงอย่างไม่เต็มใจนักกาฬปักษีด้วยความที่หูตาไว ได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศก็รีบโอบกากีหลบซุกกับอกตน หันหลังรับลูกธนูแทนนางไปทุกดอก ธนูแต่ละดอกถูกยิงมาโดยไม่เต็มใจ จึงเข้าเป้าอย่างไม่แม่นยำนัก ถูกแขนขาเอาบ้าง ตกลงพื้นบ้าง ทว่าดอกหนึ่งปักทะลุเข้าที่แผ่นหลังตรงอกหมอกาฬปักษีจนเจ็บปลาบ จุกแน่นหายใจไม่เข้า ทรุดลงนั่งกับพื้นกากีกรีดร้อง ร่ำเรียกชื่อชายคนรักสะอึกสะอื้น พยายามคิดหาหนทางรักษากาฬปักษี แต่ก็คิดไม่ออก ได้แต่กอดร่างชายคนรักที่ใกล้จะหมดสติร้องไห้อยู่อย่างนั้น เคราะห์กรรมซ้ำซัด ครรภ์แก่นั้นถึงกำหนดคลอด พิษครรภ์ต่างสายพันธุ์ทำให้ธาตุไฟปั่นป่วนทั่วร่างกายของกากี แสบร้อนไปสิ้นทั้งภายในภายนอก ปวดหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจร้อนผ่าว ดวงตาขาวเริ่มมีเส้นเลือดแตกหลายเป็นสีแดงฉาน หัวใจของนางอยู่ที่การช่วยคนรักเท่านั้น นางจึงฝืนร่างกาย วิ่งกลับขึ้นไปบนบ้าน คว้ามีดได้ ก็กลับลงมาใช้กำลังที่เหลือ ดันลูกธนูให้ทะลุออก แล้วตัด
ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นย่ำ พระอาทิตย์กำลังทอแสงสุดท้าย พระเจ้านาฏกุเวรก็มาถึงอาศรมของหมอเทวดากาฬปักษี กำลังพลต่างโอบล้อมอยู่ห่างๆ ส่วนตัวคนธรรพ์ลงจากหลังม้าเดินเข้าไปคนเดียว กากีและกาฬปักษีได้ยินเสียงม้ามาแต่ไกล แต่ไม่ได้เอะใจว่าอาจเป็นผู้ที่นำอันตรายมาให้เข้าใจว่าเป็นผู้ทุกข์จะมาขอความช่วยเหลือรักษาโรค จึงไม่ได้หนีไปทางไหนได้แต่เตรียมหยูกยาอยู่ที่ชานหน้าบ้าน นาฏกุเวรเมื่อเห็นร่างตะคุ่มๆสวมชุดดำอยู่คู่กัน ร่างอรชรนั้น ต้องเป็นกากีไม่ผิดแน่ หัวใจแทบกระดอนออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น “กากี พี่มาแล้ว” นาฏกุเวรร้องเรียกเสียงสั่น กากีที่โพกผ้าคลุมหัวปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่งเย็นวาบจากท้ายทอยไปถึงเท้า เพราะจำได้ดีว่านั่นคือเสียงใคร นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยใจหวาดหวั่น กาฬปักษีเงยหน้าขึ้นดูด้วยดวงตาข้างที่ได้มาจากกากี เมื่อเห็นบุรุษรูปกายงามราวเทพบุตรลงมาจากสวรรค์ เสียงไพเราะอ่อนหวาน และเครื่องทรงทองอร่ามสว่างไสวไปหมดทั้งตัวก็นึกรู้ได้ทันที “พระเจ้านาฏกุเวรหรือนั่น” เขารำพึงพลางรีบดึงตัวกากีให้ถอยไปอยู่ด้านหลังตน พระเจ้านาฏกุเวรตวาด
แม้แต่ตัวนางกากีเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยดั่งว่านี่เป็นประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกของตน ตื่นใจ อ่อนหวาน หวั่นไหว ยิ่งเมื่อทั้งสองเริ่มช่วยกันเคลื่อนกายไหวโยก ขยับส่ายสับสะโพก เสือกท่อนเอ็นขนาดเขื่องเคลื่อนเข้า ออกในกายนาง แต่ละครั้งที่ดึงออกแทบถ่ายถอน ก่อนเหวี่ยงสับกระชับ เผียะลงมา ทำเอานางผวาใจแทบหยุดเต้น ปากแนบปาก นมแนบนม ท้องแนบท้อง ในอาณาเขตถ้ำทอง เสียงผิวเนื้อเปียกแฉะด้วยน้ำหล่อลื่นกระทบกันดั่งคนปรบมือถี่กระชั้น สองมือหนานุ่มเกาะยึดสะโพกอรชรไว้แน่น โถมร่างเข้าไปในกายนางครั้งแล้วครั้งเล่า ปทุมถันขาวปลั่งสว่างไสวเคลื่อนไหวกระเพื่อมเป็นจังหวะยิ่งเร้ากำหนัดให้พุ่งสูง เหงื่อกาฬไหลพลั่งดั่งจะขาดใจ หยาดเหงื่อร้อนฉ่าไหลหยดลงบนท้องน้อยของนางแน่งน้อยกากีที่กำลังผวาเฮือกฮุบความสุข วินาทีถัดจากนั้น หมอหนุ่มกาฬปักษีก็พาตนไปถึงที่สุดแห่งกาม คำรามครางในลำคอเสียงแหบพร่า ปล่อยน้ำรักขุ่นข้นเหนียวลื่นพุ่งเท้าเต็มท้องน้อยแม่โฉมงามร่างอรชรที่นอนระทวยอยู่เบื้องล่างตน ด้วยสัญชาตญาณประหลาดของสตรี กากีรู้สึกว่า การร่วมเสพสังวาสกับหมอกาฬปักษี หนุ่มน่ารักใจดีคนนี้ เป็นมากกว่า
นหนึ่งขณะฝนตกหนัก แม่งามกากีวิ่งออกไปเก็บกระจาดสมุนไพรที่ตากแห้งไว้ หมอหนุ่มกาฬปักษีก็แสร้งรีบตามออกไปบ้าง แสร้งลื่นล้มจนเสื้อผ้าเลอะเทอะดินโคลนและเปียกปอนน่าสงสาร กากีเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองขึ้น “จะวิ่งออกมาทำไมกัน สมุนไพรพวกนี้จะมีค่าเทียบเท่าเจ้าหรือก็หาไม่ มารีบเข้าอาศรมเถิด ข้าจะช่วยผลัดผ้าและเช็ดตัวให้” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในหนังสือเล่มนี้ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของสีฝุ่นเองด้วย ที่เป็นฝ่ายเปลื้องผ้าบุรุษ การที่ชายหนุ่มท่วงทีผึ่งผายสมส่วนยืนตระหง่านนิ่งอยู่ โดยที่เขาไม่อาจมองเห็นนางได้ กลับกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น กากีค่อยๆเปลื้องผ้าโพกหัวและเสื้อสีดำสนิทดั่งขนนกกาออก ในแสงสว่างยามฝนตกพร่างพราวด้านนอก แสงตกกระทบนุ่มนวลมองเห็นรายละเอียดของผิวเนียนเรียบสวยสีน้ำผึ้ง ใต้เสื้อผ้าเหล่านี้ซ่อนปิดกล้ามเนื้อหน้าอกและต้นแขนเป็นลอนกล้ามกำยำชวนสัมผัส กลิ่นผิวเนื้อบุรุษโชยหอมคล้ายกลิ่นผ้าห่มตากแดดผสมกลิ่นไอน้ำ นางกายหอมพินิจดูอย่างพินิจพิจารณาโดยไม่ต้องกังวลสายตาของเขา ความรู้สึกอ่อนไหวทางกามารมณ์เริ่มบ่มขึ้น นางได้แต่กัดปากตนเองไว้ด้วยค
ทุกเย็นหลังกากีเช็ดหน้าตาเนื้อตัวแล้ว กาฬปักษีหมอหนุ่มใจดีจะนำเสื้อผ้าใหม่แห้งสะอาดมาให้ แล้วช่วยล้างแผลที่ต้นขาอย่างทะนุถนอม บางครั้งหากเผลอแตะต้องเนื้อต้นขาเธอแรงจนกากีสะดุ้ง เขาก็จะสะดุ้งไปด้วย หญิงสาวก็จะร้อนผ่าวแก้มแดงเรื่อ ดวงตามองเธอด้วยความห่วงใยอย่างที่เริ่มเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนไข้อื่น แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากใดๆให้อึดอัด เธอเริ่มอุ่นวาบๆในใจเวลาเขาอยู่ใกล้ๆ ผู้ชายน่ารักเป็นอย่างนี้เอง เธอคิด โชคดีที่ความเป็นกึ่งเทพของกากีทำให้แผลของนางหายเร็ว และฟื้นคืนกำลังได้โดยง่าย กลิ่นกายและเรือนร่างกลับมาหอมรัญจวนใจอีกครั้ง รวมทั้งฤทธิ์ยวนกามาที่เหมือนฟีโรโมนแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ยากนักที่กาฬปักษีจะหักห้ามใจไม่ให้นึกคิด แต่เขาก็เก็บอาการตนไว้อย่างอดทน ความจริงแล้ว ชายหนุ่มชื่นชมกากีที่เป็นผู้รอบรู้น่าทึ่ง ไม่เกี่ยงความยากลำบาก ไม่รังเกียจบาดแผลหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคน่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองยังบาดเจ็บแต่ก็นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ นิสัยใจคอเมื่ออยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกสบายใจ เรื่องรูปโฉมโนมพรรณอันงามของนางนั้นแน่นอนว่างามเลิศพิภพ ในบางอิริยาบทที่เผลอตาไปมองก็ทำเอาอกใจเต้นไห
จนถึงสุดถนนที่เป็นชายป่า เมื่อก้าวพ้นหมู่บ้านออกไปแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ก่อนหน้าก็สงบลง หญิงสาวรู้สึกโล่งใจที่กลับมาได้ยินเสียงนกร้อง และภาพต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวชัดเจนไม่พร่าเลือนเหมือนเมื่อครู่ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นดูก็ยังเห็นชัดปกติ ลูบไล้ดูรูปร่างหน้าตาตนก็ยังเป็นนางกากีวิไลโฉม กลิ่นกายลึกล้ำหอมรื่น แปลกจัง ทำไมมันไม่เลือนไปเหมือนตอนแรกล่ะ หรือว่าสถานที่นี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของเรื่องราวในหนังสือไปแล้ว เธอเลยปลอดภัยงั้นเหรอ หญิงสาวใช้เวลาเดินครุ่นคิดตามลำพังอยู่พักใหญ่ แต่คิดไม่ตกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง จนในที่สุดเธอก็คิดว่า ในเมื่อเนื้อเรื่องในหนังสือมาถึงตอนจบแล้ว ไม่มีตอนให้ไปต่อ หากจบชีวิตในโลกนี้ได้ อาจหลุดออกไปก็ได้ นึกแล้วก็มองหาคบไม้เหมาะๆ เจอกิ่งไม้ที่ทอดตัวขนานพื้นอยู่สูงไปราวสี่เมตรแล้วปีนขึ้นไปด้านบนปลดผ้าคลุมหน้าออกมัดเข้ากับคบไม้แล้วผูกคอตัวเอง เอามันง่ายๆแบบนี้แหละ หญิงสาวรูปโฉมงามสะคราญหายใจเข้าลึก รวบรวมพลังใจ เอาเถอะ ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าถ้าตายในหนังสือนี่จะทำให้ตัวตนข้างนอกตายไปด้วย บางทีนี่อาจจะเป็น
หญิงสาวทั้งสอง นันทากับกากี ถูกพาวิ่งลงบันไดไปสู่ห้องใต้ดินก่อนพบประตูลูกกรงขนาดเล็กเชื่อมต่อเข้าไปในทางลับ ทหารองครักษ์สี่นายรีบวิ่งเข้าไปไขประตูบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองไพศาลีสีหน้าเป็นทุกข์ ประคอง ใบหน้ากากีอย่างถนอม “กากีคนดีของพี่ ตอนนี้ข้าศึกตีเมืองไพศาลีแตกแล้ว พวกมันกำลังบุกยึดวัง พี่ทิ้งข้าราชบริพารและชาวเมืองไม่ได้ พี่นี้ไร้คุณสมบัติจะครองเจ้าแท้ แต่แม้ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่ได้รักและเป็นสวามีของเจ้า เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ชาตินี้คุ้มแล้วที่ได้เกิดมา นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พี่จะได้ตอบแทนและดูแลเจ้าให้พ้นจากอันตราย หากเจ้าจะจดจำพี่ มิต้องจดจำท้าวทศวงศ์เจ้าเมืองไพศาลี ให้จดจำบุรุษหนึ่งที่รักและภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าบุรุษคนใดในหล้า หากดวงวิญญาณพี่ยังรับรู้ได้ พี่ก็จะตามไปปกป้อง” แล้วก็หันไปหาเจ้าหญิงนันทาเทวีที่ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าแดงก่ำ “นันทาน้องรัก เจ้าจงหนีออกไปเสียกับกากี ตลอดชีวิตที่พี่มีเจ้าเป็นน้องรักมานี้ ดวงใจพี่มีแต่ความสุขสดใสแช่มชื่นเสมอสมดังชื่อของเจ้า จงไปอยู่ให้รอดแลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนพี่ด้วยเถิด” นันทาเทวีส่ายหน้าสะอื้