“เจ้าจะพายเรืออ้อมคุ้งน้ำอยู่ไย อยากรู้สิ่งใดก็ถามมา” ฮวงหลงหัวเราะในลำคอ ท่วงท่างามสง่าเป็นธรรมชาติ เขาคลายเม็ดหมากดำในมือไม่วางในกระดานแล้วหันมาสบตากับสายตาใคร่รู้ของเจ้าของเรือนที่เขามาอาศัยชั่วคราว หากไม่ใช่เพราะคำขอของซิ่นฮวาที่ทำให้เขาและนางต้องมาที่แคว้นหาน และเขาเห็นความผิดปกติบางอย่าง เดิมทีเขาไม่ใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้ แม้เขาจะคุ้นเคยกับเยี่ยนหรงเหยาแต่มนุษย์ผู้นี้มิได้ล่วงรู้นามจริงของเขา ไม่มีสิทธิ์เรียกเขามาปรากฏกาย มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่แวะเวียนมาทักทายเป็นบางครั้งบางคราว สิบเจ็ดปีก่อนเขาประมือกับมังกรเพลิงแตกแถวตนหนึ่ง และเกือบทำผิดพลาดเพราะหลงรักหญิงสาวผู้หนึ่งเข้าจนเกือบถอนใจไม่ทัน เป็นความผิดพลาดที่เขาตั้งปณิธานว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ใครเลยจะคิดว่าเจ้าเด็กน้อยตัวกลมเหมือนก้อนแป้งนุ่มนั้นมองเห็นเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา แต่เดิมเขาคิดว่าเป็นเพราะความเป็นเด็กน้อยของนางที่มักเรียกหาเขาบ่อยๆ ทว่าเมื่อเจ้าก้อนแป้งนุ่มเติบโตเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ดวงตาของนางยังคงจับจ้องที่เขา จนบัดนี้นางเป็นหญิงสาวที่งดงามสายตาของนางยังเฝ้ามองเพียงเขา หลายครั
“ส่านเตี้ยน” “ขอรับ” “เจ้าไปคอยดูแลซิ่นฮวาเถิด” “เอ่อ...” ส่านเตี้ยนอึกอัก “แต่นายท่านร่างกายยังไม่ฟื้นกำลังดีนัก ให้ข้าน้อยอยู่รับใช้ใกล้ชิดมิดีกว่าหรือขอรับ” “ประเดี๋ยวข้าก็ดีขึ้น” เทพมังกรดินผู้อยู่ในร่างมนุษย์หนุ่มรูปงามยืนขึ้น เขาปรายตามองไปทิศทางที่เยี่ยนหรงเหยาเดินกลับเข้าเรือนพักผ่อนของตนไปแล้ว “ข้ายังมีเรี่ยวแรงเรียกฝนให้เจ้าเด็กนั่นได้” วิหคสวรรค์ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เขาติดตามเทพมังกรดินมาสามร้อยปี ไยจะไม่เข้าใจว่า ‘เจ้าเด็กนั่น’ หมายถึงใคร แม้จะไม่แสดงออกแต่ก็มีความห่วงใยเต็มเปี่ยม เทพธิดางดงามบนแดนฟ้ามีมากมายแต่นายของเขาไม่เหลือหางตาไว้มองเลยสักนิด แต่กับหญิงสาวซุกซนผู้นั้นกลับตามใจเกือบทุกเรื่อง ส่านเตี้ยนเห็นผู้เป็นนายลุกขึ้นออกก้าวเดิน เขาก็รีบเอ่ยปากถาม “นายท่านจะไปไหนหรือขอรับ” “เดินเล่น” “เดินเล่น?” ส่านเตี้ยนมีสีหน้างงงวย แต่เมื่อได้รับคำตอบเป็นดวงตาคมกริบจึงได้แต่ก้มหน้าถอยห่างไปสองสามก้าวก่อนกลายร่างเป็นวิหคสวรรค์ทำให้ไม่มีผู้ใดมองเห็น สิ่งที่ฮวงหลงกังวลมิใช
“ข้ากลัวว่าตัวเองจะช่วยพวกเขาไม่ได้” ซิ่นฮวาสารภาพไปตามจริง นางรู้ว่าเทพมังกรดินสัญญาแล้วว่าจะทำให้ฝนตกลงมา แต่สภาพบ้านเมืองที่ไม่ต่างจากเมืองร้างเช่นนี้ นางจะทำให้ฟื้นคืนได้อย่างไร “แม้ว่าตุนหวงจะเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทราย แต่เราไม่เคยแร้นแค้นขนาดนี้” “ความตั้งใจดีของท่านหญิงย่อมส่งผลสัมฤทธิ์เป็นแน่” หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงหันมาจ้องหน้าคนพูด กันอี๋ถูกดวงตาคู่งามจ้องมองแบบจู่โจมรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทันทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งไปราวกับตัวเองเป็นก้อนหิน จนเมื่อหญิงสาวยิ้มกว้างออกมาแล้วเขาจึงรู้สึกตัว “ขนาดข้ายังไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เจ้ากลับมั่นใจในตัวข้า” ซิ่นฮวาโคลงศีรษะไปมา แล้วก้าวเดินต่อไป “จำได้ว่าตอนที่นั่งรถม้าเข้ามา เห็นคฤหาสน์หลังหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่เขียวขจีผิดกับที่อื่นมาก” องครักษ์หนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ท่านหญิงหมายถึงบ้านตระกูลเยี่ยนหรือ? จำได้ว่าตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารทุกวัน วันละหนึ่งมื้อ” “น่าจะใช่นะ ข้าจำชื่อไม่ได้แต่คิดว่าน่าจะเดินมาทางนี้” “ถูกต้องแล้ว เดินตรงไปข้างหน้าก็ถึงแล้วข
“ขออภัย ข้าไม่ค่อยแข็งแรงออกไปต้อนรับแขกอย่างแม่นางมิได้” ซิ่นฮวาสะดุ้งโหยง มองไปตามทิศทางของเสียง หลังม่านไม้ไผ่เรียบง่ายนั้นมีการเคลื่อนไหว และตามด้วยเสียงไอหนักๆ อีกระลอกจนซิ่นฮวาอดทนไม่ไหว รีบเดินเข้าไปหมายจะช่วยทุบหลังหรือไม่ก็รินน้ำให้เขาดื่ม แต่เมื่อเท้าของนางมาถึงม่านไม้ไผ่ที่ยาวเกือบแตะพื้นห้องนั้น คนด้านหลังเอ่ยออกมาเสียก่อน “ข้าเจ็บป่วยหนัก แม้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อแต่แม่นางอย่าเข้ามาเลย” “เจ้าไม่มีสาวใช้หรือบ่าวไพร่ค่อยดูแลหรือ? ให้ข้ารินน้ำหรือทุบหลังให้ดีหรือไม่” “ขอบคุณแม่นาง แต่ข้าดื่มยาไปแล้ว สักครู่คงดีขึ้น” ซิ่นฮวาได้ยินเขาพูดจบก็ไอแรงๆ อีกหลายครั้ง จนเงียบเสียงไปในที่สุด “ดูท่าทางท่านจะมิแปลกใจที่มีคนแปลกหน้ามายืนสนทนาด้วยเช่นนี้” เสียงหัวเราะดังมาจากหลังม่านไม้ไผ่ “ถ้าแม่นางเป็นขโมยคงไม่มีเวลามาชื่นชมระหัดวิดน้ำของข้าหรอกกระมัง” หญิงสาวเม้มปาก แสดงว่าคนผู้นี้รู้ตั้งแต่ที่นางและกันอี๋มาถึงแล้ว “เจ้าว่านี่เป็นระหัดวิดน้ำของเจ้า เจ้าทำเองรึ” “จะพูดว่าทำเองคงไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายข
นางส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขา โดยไม่รู้ว่านี่เป็นรอยยิ้มแรกที่นางมอบให้ ไม่ใช่ยิ้มแบบฝืนใจยิ้มให้เช่นทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นและแสร้งกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้ด้วยการก้มมองร่างบอบบางที่ยืนแทบชิดกับเขาอยู่นั้น ศีรษะของนางแค่ปลายคางของเขา ดวงตากระจ่างงดงามดึงดูดจนไม่อาจถอนสายตาได้ เขาเผลอไผลนึกถึงรสจุมพิตที่ช่วงชิงนางมา แม้เป็นการกระทำที่ไร้ความเป็นสุภาพชน แต่เขายอมรับว่านางหอมหวานเกินกว่าจะห้ามใจได้ “เอ่อ..” ซิ่นฮวารู้สึกตัวว่าถูกจ้องมองนางเกินไปก็กลอกตาไปมา เกรงว่าเขาจะรู้ว่านางเพิ่งกลับจากลอบออกนอกจวน “คือ...ข้าเดินเล่นแล้วหลงทางมาที่นี่” “เช่นนั้นข้าจะไปส่ง” “ไม่เป็นไร เจ้าแค่บอกทางข้าก็ได้” “ได้อย่างไร ท่านหญิงเป็นแขกคนสำคัญของแคว้นหาน” เขาคลี่ยิ้มเจ้าเสน่ห์ “เจ้าไม่เข้าไปดูน้องสาวแล้วรึ” นางพยายามเบี่ยงเบน “ข้าส่งท่านหญิงแล้วจะกลับมาดูน้อง” ซิ่นฮวาได้แต่หลับตาโอดครวญในอก เอาเถิด อย่างไรอย่าให้เขาจับได้ว่านางเพิ่งกลับมาจากลอบหนีไปนอกจวนก็พอแล้ว ร่างของบุรุษสูงใหญ่เดินนำพาหญิงสาวรูปร่างบอบบางอ
เมิ่งเหลียนเสวี่ยนพยักหน้ารับรู้ ชักมือกลับมาหยิบตลับเล็กๆ จากแขนเสื้อส่งให้ซิ่วอิ่ง หญิงรับใช้ยื่นมือมารับอย่างรู้หน้าที่ “นำไปให้เมิ่งหย่าจิ้ง นางรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ต้องเร็วหน่อยก่อนเริ่มพิธีบวงสรวงเทพมังกรดิน” “เจ้าค่ะ” นางเก็บตลับไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง “เรื่องนี้ต้องเร่งดำเนินการ เจ้ากลับไปเถิด แล้วคอยตักเตือนนางอย่าให้เล่นสนุกจนลืมหน้าที่” “เจ้าค่ะนายหญิงใหญ่” ซิ่วอิ่งถอยหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองร่างหญิงรับใช้เดินหายไปลับตาแล้วจึงย้ายสายตามาที่เสี้ยวเอ้อและหลงจู๊ นางยกมือโบกไล่ไปมา เพียงเท่านี้สองคนก็ประสานมือคารวะแล้วเดินออกไปอย่างไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก นางลุกขึ้นยืนแล้วย้ายมานั่งบนตักของบุรุษหนุ่ม ยกมือขึ้นไล้ปลายนิ้วกับใบหน้าของเขา “ข้าเดินทางมาเนื้อตัวมีแต่เหงื่อและฝุ่นดิน เจ้าจะปรนนิบัติข้าอาบน้ำได้หรือไม่” เหลียงซื่อฮั่นช้อนตัวหญิงสาวอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย แม้เขาเดินลากเท้าขวาแต่ไม่เป็นอุปสรรคในการอุ้มหญิงงามเดินจากศาลาหกเหลี่ยมไปยังเรือนพักที่แยกตัวอย่างโดดเดี่ยวด้านหลัง ทุกก้าวท
การเคลื่อนไหวรุนแรงของทั้งสองร่างทำให้น้ำล้นออกมานอกอ่าง เหลียงซื่อฮั่นรับรู้ถึงร่างที่เกร็งกระตุกและบีบรัดเขารัดร่างนางแน่นเพื่อให้นางได้รับความสุขสมในครั้งนี้ เขาจับเรียวขาที่โอบเอวของเขาออกยกขึ้นพาดบ่าของตนดันร่างนางไปชิดขอบอ่างขยับสะโพกออกแล้วดันกลับเข้าไปใหม่อย่างแรง เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดเคล้าเสียงครวญของหญิงสาว ร่างหนาขยับสะโพกรุนแรงรัวเร็วจนน้ำกระฉอก “เร็วอีก แรงอีก ข้าต้องการเจ้า” เมิ่งหลานเสวี่ยนหลับตาทว่าภาพใบหน้าหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ดวงตาสงบเยือกเย็นและเส้นผมสีเงินยวง การเคลื่อนไหวท่วงท่าสง่างามที่ทำให้นางเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล และทำให้ตนพลาดพลั้งเสียทีจนได้รับบาดเจ็บ หากเป็นบุรุษผู้นั้นกำลังกระแทกกระทั้นนางอยู่เช่นนี้ รสชาติคาวใคร่ของเขาจะเป็นเช่นไร เพราะการรักษาเหลียงซื่อฮั่นทำให้นางเสียพลังไปมากทำให้ต้องบำเพ็ญตบะนานนับสิบปี นางรู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาและมีความแค้นสุมแน่นอก ทุกครั้งที่ร่วมสวาทเสพสังวาทนั้นเขามักเปิดเปลือยจิตใจด้านมืดให้นางได้สัมผัส นางไม่ได้อยากช่วยเขาแก้แค้นแต่เพราะต้องการเสพพลังจากมนุษย์จึงร่วมมือกับเขา ชายผู้นี้เจ้า
“เช่นนั้น น้องเหมยเอ๋อร์พาพี่สาวเดินเล่นสักครู่ดีหรือไม่” ซ่งซีเหมยได้ยินซิ่นฮวาเรียกนางอย่างสนิทสนม ซ้ำยังแทนตัวเองว่าพี่สาว เด็กหญิงรีบพยักหน้ารับแล้วเป็นฝ่ายจูงมือซิ่นฮวาให้เดินไปที่ศาลากลางน้ำ แสงแดดกระทบผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดผ่านแผ่วเบาขับไล่ไอร้อนออกไปได้มาก หญิงสาวต่างวัยสองคนจูงมือมานั่งที่เก้าอี้ ซ่งซีเหมยส่งยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก แก้มทั้งสองกลายเป็นก้อนกลมๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก “ข้าชอบที่นี่มาก เมื่อก่อนพี่ชายพาข้ามานั่งเล่นบ่อยๆ พี่เหว่ยหนานบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะยิ่งนัก” “อย่างนั้นรึ” ซิ่นฮวาทำหน้าประหลาดใจ คนผู้นั้นมีเวลาสนใจเรื่องดนตรีด้วยหรือ? แต่...ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดจะไปใส่ใจทำไมกัน ซ่งซีเหมยรีบพูดต่อ “เพราะบิดาไม่ค่อยสบาย พี่ชายข้าจึงต้องรับภาระหน้าที่ดูแลราษฎรแคว้นหาน ป่านนี้แล้วพี่ชายข้ายังไม่ภรรยาหรือแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียงก็ไม่มีนะ” คราวนี้เป็นซิ่นฮวาที่ไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร คงมิใช่ว่าน้องสาวกำลังออกโรงเป็นแม่สื่อตัวน้อยเสียเอง นางย้ายสายตาไปทางปี้เอ๋อร์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ใกล้ๆ ส่วนกันอี๋แสร้งทำเป็นไ
เจ้ากลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเถิด” เมิ่งหลานเสวี่ยนจำใจให้น้องสาวกลับไปสู่ร่างจำแลงแปลงเป็นซิ่นฮวาอีกครั้ง “คนผู้นั้นแต่งกับข้าด้วยใบหน้านี้” เมิ่งหย่าจิ้งชี้ใบหน้าตัวเองที่เป็นซิ่นฮวา “เขาไม่ได้แต่งกับข้าเมิ่งหย่าจิ้ง!” “เด็กโง่ เขากราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าย่อมแต่งกับเจ้าสิ” นางปลอบใจน้องสาว แม้เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้ แต่ถ้าเมิ่งหย่าจิ้งได้ใช้ชีวิตเป็นภรรยาบุรุษผู้มีปราณแข็งแกร่งอย่างน้อยสักสิบหรือยี่สิบปี นางจะเพิ่มพลังให้ตนเองมากยิ่งขึ้น ส่วนจะ ‘รัก’ หรือไม่นั้น เป็นความโง่งมที่นางมั่นใจว่าน้องสาวของตนจะไม่ตกลงไปในบ่วงกรรมนั้น เมิ่งหลานเสวี่ยนปรายตามองไปยังเหลียงซื่อฮั่นแล้วเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าไม่ไปดูแม่นางซิ่นฮวาหน่อยหรือ? ยังไม่มีผู้ใดส่งอาหารให้นางเลยนี่” “แค่อดข้าวไม่กี่มื้อไม่ตายง่ายๆ กระมัง” แน่นอนว่าคนที่เคย ‘อดยาก’ อย่างเขาย่อมรู้ดี ยิ่งเคยใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงใด แต่เมื่อชีวิตต้องตกอับพลิกผัน ไม่มีแม้หมั่นโถวสักชิ้นให้กัดกินมันแสนทรมานเพียงใด “แต่ข้ายังจำเป็นต้องใช้นางอยู่” เมิ่งหลานเสวี่ยนหัวเราะร่วน แล้วมองมายังตะก
“หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องทำอย่างไรจึงจักขับไล่ปีศาจงูดำออกไปได้” อ๋องหยงอี้พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา ทั้งที่เมื่อครู่เขายังสามารถลุกนั่งดื่มน้ำชาสนทนากับเมิ่งหลานเสวี่ยนและคุณชายเหลียงซื่อฮั่นได้ราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน “การกำจัดกลิ่นอายปีศาจงูดำออกไปได้นั้นย่อมมีวิธี แต่หนทางนั้นต้องให้คนสองคนเสียสละตนเองอย่างยิ่ง” “แม่นางเมิ่ง หากมีสิ่งใดที่พอช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์ภัยในครั้งนี้ได้ โปรดแจ้งมาเถิด” เขาหงุดหงิดกับอาการอ้ำอึ้งของเมิ่งหลานเสวี่ยน “เสียสละอันใดและใครคือสองคนที่แม่นางกล่าวถึง” “คนสองคนนั้นคือคุณชายซ่งและแม่นางซิ่นฮวา” เมิ่งหลานเสวี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ คำพูดของนางทำให้ซ่งเหว่ยหนานนิ่งงันและค่อยๆ หันไปสบตากับซิ่นฮวา “ข้าหรือ?” เมิ่งหย่าจิ้งเบิกตาโตแสร้งเป็นตกใจ “หากข้าช่วยอะไรได้ยินดีทำทั้งสิ้น” “ท่านทั้งสองต้องเชื่อมเส้นวาสนาเข้าวิวาห์ร่วมหอกัน” “วิวาห์?” ซ่งเหว่ยหนานขมวดคิ้ว เขาปรารถนาจะแต่งงานกับซิ่นฮวา แต่ก็ต้องการให้นางแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจมิใช่ต้องฝืนใจเช่นนี้ “เหตุใดต้องวิวาห์?” “ท่านทั้งสองมีดวงชะตาของผู้มีบุญ หากได้แต่งงานมีความสัมพันธ์ทา
ปี้เอ๋อร์ที่ยืนมองดูอยู่ด้านหลังถึงกับสูดลมหายใจลึก ท่านหญิงน้อยของนางซุกซนเพียงใดนั้นนางผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่คลอดจากครรภ์พระชายาย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ทว่ากิริยาเมื่อครู่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงน้อยกระทำเป็นแน่ แต่กระนั้นนางก็เดินตามออกมาด้วยท่าทีนอบน้อม รักษาระยะห่างปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินคล้องแขนบุรุษ ต่อให้ท่านหญิงซิ่นฮวามีใจให้บุรุษใดย่อมไม่ทำกิริยาเช่นนี้แน่ รวมทั้งท่าทางแปลกพิกลที่นางรู้สึกได้นั้นยิ่งทำให้นางงุนงงสับสนราวกับไม่ได้ซิ่นฮวาที่นางรู้จัก ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วสองเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองทางเด็กหญิงตัวน้อยที่เคยตามติดซิ่นฮวาไม่ยอมห่าง แต่บัดนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ นางสูดลมหายใจลึกเรียกกันอี๋ที่เดินอยู่ข้างนางให้หยุดเดิน “มีอะไรหรือท่านน้าปี้เอ๋อร์” ปี้เอ๋อร์มองซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้า...เอ่อ...เวลานี้ท่านชายซิ่นหลิงอยู่ไม่ไกลแคว้นหานใช่หรือไม่” กันอี๋มองหญิงรับใช้คนสนิทของพระชายาอย่างงุนงงแต่พยักหน้ารับ “เจ้าสามารถส่งข่าวแจ้งท่านชายซิ่นหลิง?” “มีเรื่องใดกันแน่” กันอี๋
ซ่งเหว่ยหนานยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เหตุการณ์บ้านเมืองยังวุ่นวาย เรื่องในจวนก็ไม่แพ้กัน นึกถึงสิ่งที่ตนสัญญากับซิ่นฮวา ไม่ว่านางจะเรียกฝนได้หรือไม่ เขาก็จะปกป้องนาง แน่นอนว่าหัวใจของเขาพร้อมปกป้องนาง แต่ท่าทางแปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เขาสับสนเหลือเกิน ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับปัญหาต่างๆ นานาที่โถมถั่งเข้ามานั้น หางตาเหลือบเห็นท่าทีประหม่าของซ่งซีเหมยที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกให้เข้ามา “มีเรื่องอันใดหรือ?” ซ่งเหว่ยหนานยื่นมือไปรั้งร่างเล็กมานั่งบนตักส่งยิ้มอ่อนโยน “เอ่อ...” ซ่งซีเหมยมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าคนอื่นมักกล่าวถึงพี่ชายของนางว่าน่ากลัวและน่าเกรงขาม แต่เมื่ออยู่กับนางแล้วเขาเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนเสมอ “ว่ามาเถิด” “เมื่อครู่น้องเข้าไปคารวะท่านพ่อแต่ในห้องของท่านพ่อมีสตรีอยู่ข้างกาย” “สตรี?” ผู้ใดกันที่เข้าไปเยี่ยมบิดาของเขาโดยที่เขาไม่รู้เช่นนี้ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “นางเคยมารักษาข้าและท่านพ่อเมื่อหลายเดือนก่อน” ซ่งเหว่ยหนานนึกออกได้ในทันที “แม่นางเมิ่งหลานเสวี่
“สถานที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก” เขายื่นมือมาเบื้องหน้า เล็บยาวเรียวแหลมดูน่ากลัว “ไปกับข้า ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ยอมให้ผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าได้อีก ข้าจะรักเจ้า” “ระ...รัก...รักหรือ?” บุปผาน้อยได้แต่ทวนคำอย่างงุนงง เขารักนางหรือ? เพราะรักจึงมาหานางบ่อยๆ มาพูดจาหยอกล้อนางกระนั้นหรือ? เสียงทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยย้ำนักอย่างชัดเจน “ข้ารักเจ้า” “แต่...ข้า...ไม่ได้รักท่าน” นางพูดจากใจจริง แล้วตระหนักได้ว่า... “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ? ท่านกลายเป็นปีศาจเพราะข้า?” “ไม่...ไม่ใช่เพราะเจ้า” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “สถานที่หลอกลวงเช่นนี้ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซาก! เปิดประตูสวรรค์ให้เหล่าปีศาจได้มาสังสรรค์กันเต็มที่!” “อย่า! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางอ้อนวอน หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางต้องรับผิดชอบ! “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้” “แล้ว...ถ้าข้าไปกับท่าน ท่านจะปิดประตูสวรรค์ได้หรือไม่ ไม่ให้เหล่าปีศาจขึ้นมาที่นี่” ดวงจิตที่ถูกปีศาจร้ายครอบครองแล้วนั้น ย่อมไม่สนใจว่าตนเองต้องรักษาคำพูด ทำได
นางได้แต่กะพริบตาปริบๆ นางไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่ว่า แม้นางเป็นเพียงบุปผาน้อยที่เติบโตอวดกลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ แต่นางมีความรู้สึก มีจิตใจ มิต่างจากผู้อื่นเลยสักนิด แต่เพราะนางตื่นตะลึงกับความอ่อนโยนและใส่ใจของเขาทำให้นางมิได้เอ่ยตอบ จนกระทั่งร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนและเดินจากไป นางจึงรู้สึกตัวได้แต่มองเขาด้วยสายตาละห้อย เขาเป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน... เขามองเห็นนาง... บุปผาน้อยได้แต่เก็บซ่อนความตื่นเต้นดีใจ ทว่าอาการของนางอยู่ในสายตาเทพผู้อื่นกลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก นางอยู่อย่างเจียมตัว มีเพียงสายตาที่เฝ้ามองติดตามร่างของเขา มังกรดินไม่ได้มาที่ตำหนักเทพหนี่วาบ่อยๆ แต่นางมักเงี่ยหูฟังทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพผู้นั้นเสมอ เรื่องที่นางแอบมองและชื่นชมเทพมังกรดินกลายเป็นเรื่องพูดคุยสนุกปาก หยอกล้อนางให้นางได้แต่ยิ้มเจื่อน ทำอย่างไรได้ นางเป็นเพียงดอกไม้ที่อยู่ตรงริมทางเดินเช่นนี้ คนที่อยากพบไม่มาหา คนที่มาหากลับเป็นคนที่ไม่อยากพบ บุปผาน้อยไม่อาจหลบซ่อนตนเองได้ นางไม่รู้ทำไมเทพมังกรเพลิงตนนั้นจึงชอบมาหานางบ่อยๆ แม้เขาระวังไม่เข้าใ
ฮวงหลงได้แต่งุนงนกับสิ่งที่ได้ยิน จะเป็นเพราะเขาได้อย่างไรกัน เป็นเขาที่เคยเตือนให้มังกรเพลิงตนนั้นมีสติ ใครเลยจะรู้ว่ามังกรเพลิงตนนั้นจะอาละวาดที่ตำหนักของเทพหนี่วา เขาในฐานะแม่ทัพผู้ปกปักแดนสวรรค์จึงต้องนำพลทหารล้อมจับมังกรเพลิง ในใจของเขายังคิดว่ามังกรเพลิงตนนี้จะกลับใจได้ ทว่ามันกลับยอมให้จิตมารกลืนกินกลายเป็นปีศาจมังกรเพลิงหลบหนีลงมาโลกมนุษย์ เขาให้เวลาตามหาอยู่หลายปีจนพบว่ามันเร้นซ่อนกายในท่อนแขนของชินอ๋องเฟยเทียน “ข้าได้ยินมาจากพี่ใหญ่หรอกนะ” จวิ้นอี้เห็นท่าทางงุนงงของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “เหตุที่เทพมังกรเพลิงอาละวาดเพราะอาจหาญไปหลงรักดอกไม้ของเทพหนี่วา เทพหนี่วาเกรี้ยวโกรธมาก เพียงลมหายใจแผ่วเบาของมังกรเพลิงก็ทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยวเฉา สั่งห้ามเทพมังกรเพลิงเข้าใกล้เด็ดขาด เจ้าเองก็เป็นผู้รับบัญชาจากเทพหนี่วาคอยคุมกันมิให้เทพมังกรเพลิงเข้าใกล้ตำหนักของเทพหนี่วา ใครเลยจะรู้ว่าเทพมังกรเพลิงตนนั้นสั่งสมความไม่พอใจไว้มากมายนัก ถูกจิตมารโน้มน้าวใจจนกลายเป็นปีศาจ ในวันที่เทพมังกรเพลิงบุกที่ตำหนักของเทพหนี่วาครั้งสุดท้าย เพลิงโทสะของมังกรเพลิงทำให้แปลงดอกไม้ถูก
ฮวงหลงจึงตัดสินใจเรียกให้บ่าวรับใช้เชิญเทพมังกรจวิ้นอี้ออกมาพบ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำตามสิ่งที่เขาต้องการ หลังจากสอบถามจากบ่าวไพร่รู้เพียงแค่ว่าเทพมังกรจวิ้นอี้อยู่ในห้องนอนและสั่งห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรายงาน เป็นเหตุให้เขาเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่นี่ ในฐานะพี่น้องร่วมบิดา เขาเคยมาเยี่ยมเยือนจวิ้นอี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยก้าวเข้าไปในเขตส่วนตัวอย่างห้องนอน แต่เมื่อเขาขยับเท้า บรรดาบ่าวไพร่และทหารก็กรูกันไปเตรียมป้องกันห้องนอนของผู้เป็นนาย เขาจึงคาดเดาได้ว่าห้องนอนนั้นอยู่ทิศทางใด ร่างสูงก้าวเดินพรวดพราดไปจนถึงที่หมาย ทหารนับสิบรายล้อม เขายกมือขึ้นกลางอากาศเตรียมวาดท่อนแขนของตน ทว่าบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของคนที่ก้าวเท้าออกมาอย่างเชื่องช้าและดูเกียจคร้านทำให้ทุกคนหันไปมอง บ่าวรับใช้ต่างหมุนตัวหลบให้ผู้เป็นนาย นายทหารลดกระบี่ลงและทำความเคารพผู้เป็นนาย เทพมังกรจวิ้นอี้ยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ถอยออกไป มือหนึ่งยังยกขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาวของตนเองก่อนจะหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชา จวิ้นอี้สบตากับฮ
หญิงสาวพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้เข้มแข็ง นางลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไม่มองภาพในกระจกเวทมนตร์นั้น ไม่ได้...นางต้องปกป้องทุกคน นางจะเอาแต่คร่ำครวญไม่ได้ แต่ก่อนอื่นนางต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน การที่นางส่งเสียงไม่ได้ และมาอยู่ก้นสระน้ำเช่นนี้ สตรีที่จำแลงรูปร่างหน้าตาได้เหมือนนางทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังมีเรื่องเสพปราณมังกรอีก ‘ฮวงหลง’ นางส่งเสียงเรียกเทพมังกรดินอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงขยับปากแต่ไร้เสียง นางสูดลมหายใจลึกข่มความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกาย เขาปกป้องนางมาตลอดสิบเจ็ดปี ครั้งนี้นางจะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นอันตรายเพราะนาง ‘โอ๊ย!’ ร่างบางทิ้งตัวทรุดลงไปนั่ง นางปวดหัวใจอย่างรุนแรงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมอกซ้าย คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้พยายามผลักดันออกจากด้านใน ตรงหัวใจของนาง หญิงสาวหลับตาข่มความปวดร้าวในอก นางรู้ว่าตนเองเฝ้ามองเทพมังกรดินตั้งแต่ครั้งแรกที่นางลืมตา ทว่ายามนี้ นางรู้สึกได้ว่านานกว่านั้น มิใช่เพียงแค่สิบเจ็ดปี แต่ยาวนานนับร้อยๆ ปี คล้ายเคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน คล้ายเลือนลาง