6ปีที่แล้ว พระสันตะปาปาที่3นามว่ามาคิวลัสยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วเบาๆ “ท่านผู้นำศาสนา..ได้โปรดวางใจ สงครามที่จะเกิดขึ้นมาในจักรวรรดินั้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทั้งจักรวรรดิและเวสเทาต่างก็นับถือในพระเจ้าเหมือนๆ กัน เพราะอย่างนั้นต่อให้ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันให้ตายตกไปข้างหนึ่ง..วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่..” คาดินันแคนนอนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นมันก็ใช่ ทว่าแคนนอน เราต้องการมากกว่านั้นนะสิ..ในช่วงเวลาที่ทั้งสองมหาอำนาจกำลังบาดหมางและหันคมดาบสาดใส่กัน วิหารจะมองดูเฉยๆอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวอำนาจมาไว้ให้มากที่สุดอย่างนั้นหรือ..” ในช่วงเวลาที่ทุกหย่อมหญ้าแดงฉานไปด้วยเลือด ประชาชนทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สงครามจะจบลงและไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะชนะ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในยามนี้คือ..ศรัทธาและสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ วิหารต้องเกี่ยวเก็บช่วงเวลาที่แสนเศร้าของพวกประชาชนเอาไว้ แล้วแทนที่ความโศกเศร้าเหล่านั้นด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า “นำเด็กคนนั้นออกมาได้แล้ว เด็กที่เจ้าเก็บซ่อนเขาเอาไว้ก็เพื่อโอกาสนี้ไม่ใช่รึไง?” แคนนอนก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าการเก็บซ่อนเอสวาของเขานั้นจะไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของท่านผู้นำศาสนาได้ “เด็กคนนั้นยังต้องฝึกอีกเยอะครับ ข้าแค่เดาเท่านั้นเองว่าเขาคือเด็กในคำทำนาย แต่ทว่าก็ยังไม่แน่ชัดเพราะว่าเขา..ยังไม่แสดงให้ข้าเห็นถึงพลังวิเศษอะไรเลย” พระสันตะปาปาหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาเดินเข้าไปตบลงบนไหล่ของแคนนอน “นี่คือ..คำสั่งแคนนอน ให้เขาเฉิดฉายและเปล่งประกายออกมาในเมืองเล็กๆ ที่เจ้าอยู่ แสงแห่งความหวังพวกนั้นจะนำพาเขาให้มาที่นี่ที่วิหารแห่งนี้เพื่อมาเป็นกำลังอันสำคัญให้ข้า..เขาคือเด็กที่อยู่ในคำทำนายอย่างแน่นอนข้ามั่นใจ และข้าก็คิดว่าเจ้าเองก็คงจะมั่นใจเช่นเดียวกัน..” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของท่านผู้นำศาสนา ทำให้แคนนอนรู้สึกได้ถึงพลังความกดดันที่กดทับลงมาบนไหล่ของเขา “ครับ..ท่านผู้นำศาสนา” มีคำทำนายได้ถูกพระราชทานมาจากพระสันตะปาปาที่2ก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ เด็กที่เป็นดั่งลมหายใจของพระเจ้าจะลงมาจุติบนโลกในนี้ ตามหาเด็กคนนั้นให้พบแล้วเลี้ยงดูเขาให้ดีเพื่อให้วิหารมีอำนาจรุ่งเรืองสืบต่อไป ทว่าหากไม่พบเจอหรือว่าเด็กคนนั้นมิได้เดินทางมาที่วิหาร..วิหารศักดิ์สิทธิ์จะสิ้นชื่อและเมื่อนั้นเหล่าปีศาจจะผุดขึ้นมาจากดินและเบ่งบานไปทั่วจักรวรรดิเพื่อกลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ ความหายนะ จะเกิดขึ้นมาในทุกหย่อมหญ้า อันที่จริงในยามที่พระสันตะปาปาที่3ขึ้นเป็นผู้นำศาสนา นี่ก็เป็นความหายนะแล้ว..มาคิวลัสใช้เงินมากมายไปกับสตรีและมีภรรยามากกว่า3นาง มีลูกนอกสมรสอีกนับไม่ถ้วน ประชาชนเอือมระอาและสิ้นศรัทธาไปนานแล้ว แต่เขากลับคิดจะใช้เด็กน้อยที่แคนนอนตามหามาด้วยความยากลำบากเพื่ออุดรอยรั่วในความชั่วช้าของตัวเอง.. เอสวา..เด็กน้อยที่แสนน่าสงสาร แคนนอนพบเจอเอสวาครั้งแรกในตอนที่เด็กน้อยมีสภาพบาดเจ็บรุนแรง ถูกทุบตีจนเขียวช้ำไปทั่วทั้งตัวจากมารดาผู้ให้กำเนิด “เจ้าโกรธแค้นมารดาของเจ้าหรือไม่เด็กน้อย” เอสวาตอบกลับมาในสภาพที่แทบไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆ เลย “ข้าไม่โกรธท่านแม่หรอกครับ ท่านแม่เจ็บปวดมากกว่าข้าเยอะเลยในช่วงเวลาที่ท่านหาเงินมาซื้ออาหารให้ข้า” ในบางครั้งเด็กน้อยเกิดความสงสัยว่าหากไม่มีเขา ท่านแม่จะสบายมากกว่านี้รึเปล่า หากไม่มีเขาท่านแม่ก็ไม่ต้องทำงานหนัก..เช่นนั้นเพื่อท่านแม่แล้ว การไม่มีเขาน่าจะดีกว่า เอสวานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบนานมากพอสมควร เขานั่งมองผืนน้ำที่ถูกลมพัดจนเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา และเมื่อดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในนั้น.. เพื่อตาย เพื่อที่จะตายและเพื่อให้ท่านแม่มีความสุข แคนนอนพบเจอร่างของเอสวาพอดี ในช่วงเวลาที่สายน้ำพัดพา เขาไม่รู้ว่าเด็กน้อยจมน้ำนานมากแค่ไหน และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเอสวาถึงถูกทำร้ายมากขนาดนั้น เขาแตะลงไปที่ปลายจมูกของเอสวาปรากฏว่าเด็กน้อยสิ้นลมหายใจไปนานมากแล้ว เนื้อตัวเย็นจัดจากการจมน้ำเป็นเวลานาน..ทว่าในใจของแคนนอนนั้นเกิดความเศร้าโศกขึ้นมา เขานั่งลงพร้อมกับอธิษฐานและวิงวอนต่อพระเจ้า “เด็กน้อยผู้นี้..น่าสงสารมากเหลือเกิน ได้โปรดให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเถิดครับ ครั้งนี้ข้าจะดูแลเขาเอง..ไม่ให้เขาพบเจอกับความเจ็บปวดเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา” ในทุกความสิ้นหวังนั้นมีโอกาสอยู่เสมอ แคนนอนไม่อยากจะเชื่อสายตาเช่นกันว่าเขาจะพบเจอเอสวาที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ถึงแม้ว่าจะเบาบางแต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่แสนอบอุ่นของพลังศักดิ์สิทธิ์ นี่คือเด็กน้อยในคำทำนายไม่ผิดแน่ เขาพาเอสวากลับไปหามารดาของเอสวา และจ่ายเงินก้อนโตให้แก่สตรีผู้นั้น แน่นอนว่านางรับเงินก้อนนั้นแทนที่จะจับแขนของลูกชายที่ยื่นมือไปหานาง “อย่าพาเขา..กลับมาที่นี่อีกนะคะ พาเขาไปให้ไกลที่สุด อย่าให้ข้าเห็นหน้าเขาอีก!!” คำสุดท้ายที่มารดาของเอสวากล่าวกับลูกชายนั้นโหดร้ายมากทีเดียว นับจากนั้นเป็นต้นมาเอสวาก็อยู่ในวิหารด้วยความดูแลของแคนนอน..และเป็นเพชรที่เปล่งประกายมากที่สุดในโบสถ์เล็กๆ หลังนี้ เอสวาช่วยเหลือผู้อื่นและปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าอย่างเคร่งครัดจนแคนนอนรู้สึกหายเหนื่อยไปได้เยอะ ทว่าเมื่อเขาอายุได้19ปี เอสวากลับไปหาท่านแม่ของเขาอีกครั้งโดยที่แคนนอนเองก็ไม่รู้ ท่านแม่ที่แก่ชรานั้นไม่ได้ทำอาชีพโสเภณีอีกแล้ว แต่ทำหน้าที่ทำความสะอาดซ่องโสเภณีและร้านสุรา กาลเวลาทำให้ท่านแม่ผู้งดงามของเขานั้นไม่งดงามอีกต่อไป เอสวานั่งลงข้างๆ ท่านแม่ที่กำลังล้างจานท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา “เหนื่อยไหมครับ?” หญิงผู้นั้นมองหน้าเอสวาก่อนที่นางจะพยักหน้า “เช่นนั้น..ท่านควรได้พักแล้วนะครับ ท่านไม่ควรมาทำงานท่ามกลางอากาศเช่นนี้..ข้าจะช่วยให้ท่านได้พักผ่อนนะครับ” อีกฝ่ายไม่พูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ มารดาของเขายังคงนั่งล้างจานต่อไป ส่วนเอสวา..เขานั่งเงียบๆ ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วเดินทางกลับไปที่โบสถ์ วันรุ่งขึ้นแคนนอนรีบวิ่งมาหาเขาพร้อมกับจดหมายในมือ “เอสวา..ข้าไม่อยากจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับเจ้าเท่าไหร่นัก เเต่เจ้าก็ควรจะรับรู้เอาไว้สักหน่อยว่าท่านแม่ของเจ้านั้น..เสียชีวิตแล้ว” เอสวาเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เขาจะกุมสร้อยไม้กางเขนของตัวเองเอาไว้ “ช่างน่า..เสียใจมากเหลือเกินครับ”
กว่าจะรู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดไป ก็คือวันที่สายเกินกว่าจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วฉันทำได้เพียงมองร่างของตัวเองที่กำลังถูกหมอปั๊มหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเรียกคืนลมหายใจที่หายไปกลับคืนมา แต่ทว่าหมอท่านนั้นถึงแม้ว่าจะทำสุดความสามารถแต่พวกเขาก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพให้กับคนตายได้..ฉันตาย..แม่งเอ๊ย!! ถ้ารู้ว่าตัวเองจะมาตายง่ายๆ แบบนี้ฉันคงจะใช้ชีวิตที่อยากใช้ไปแล้ว เพราะเติบโตขึ้นมาในสถานสงเคราะห์ เมื่อโตขึ้นมาฉันถึงได้พยายามหาเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองได้กลับไปในสถานที่เช่นนั้นอีกฉันตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อวิ่งหนีความจนที่ตามติดเป็นเงา ฉันตั้งใจว่าจะทำงานเพื่อเก็บเงินซื้อบ้านสักหลังที่เป็นของตัวเอง จะได้ทำงานน้อยลงเผื่ออายุมากขึ้นจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตครอบครัวและมีความรักกับเขาดูบ้างแต่ฉันดันตายก่อน..ตายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย“เจ้ามนุษย์ที่แสนโง่เขลาเอ๋ย ข้ามีชีวิตที่ยาวนานนับนิรันดรแต่กลับไม่เคยเห็นใครมีชีวิตที่จืดชืดและไร้สีสันเช่นเจ้ามาก่อนเลย”พอกะพริบตาอีกครั้งจากที่เมื่อครู่ฉันยืนอยู่ในโรงพยาบาลแต่ทว่าในยามนี้ฉันกลับกำลังยืนอยู่ในสถานที่ที่ว
ท่ามกลางสงครามที่แสนโหดร้าย ผู้คนล้มตายเพราะความขัดแย้งที่รุนแรงของสองอาณาจักร สงครามยืดเยื้อมานานหลายปี ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หนีไม่พ้นชาวเมืองที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสภาพของสตรีผู้นี้ ครั้งแรกที่เขาเห็นนางดู..น่าสงสารมากทีเดียว ใบหน้านั้นงดงามจับตายิ่งนัก เรือนผมสีเงินเช่นนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ จากชาวบ้านทั่วไป ความงดงามที่ฉายชัดถึงแม้ว่าจะอยู่ในชุดที่ซอมซ่อและสกปรกเช่นนั้น นางคงจะเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็ลูกสาวของขุนนางอย่างแน่นอนแต่ดูเหมือนสติของนางจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก..เอสวายื่นมือไปปิดตาของสตรีผู้นั้นเอาไว้ เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการทำให้เธอนอนหลับลงไป แล้วก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในการทำความสะอาดชุดที่เธอกำลังสวมอยู่เพื่อให้เธอได้ปลดเปลื้องในทุกความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตานั้น และให้เธอได้พักผ่อนเสียทีเขาเดินออกไปด้านนอกโดยไม่ลืมวางถาดขนมปังเอาไว้ในห้อง โบสถ์เองก็อยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่เหมือนกัน เราไม่ได้มีอาหารเอาไว้แจกจ่ายให้แก่ประชาชนทุกคน..แต่เอสวาเลือกที่จะส่งมอบอาหารในส่วนของเขาให้แก่สตรีที่กำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน....................“เจ้านี่..
ที่โรงอาหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังนั่งรอการแจกจ่ายอาหาร ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อที่จะมองหาท่านบาทหลวงเอสวา เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนพวกนั้นที่กำลังแจกจ่ายถ้วยยาให้แก่ชาวบ้าน ราวกับมีแสงสว่างส่องลงมาให้เห็นเฉพาะเขาท่ามกลางผู้คนอื่นๆ เธอมองเห็นแค่เพียงเขาเท่านั้นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกลิ่นหอมนี้อีกแล้ว..กลิ่นหอมหวานเย้ายวนที่ชวนให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหายอยาก เธออยากจะลองสัมผัสเขาสักครั้งหนึ่งอยากลองแตะลงไปบนมือที่หยาบกร้านของเขาดูสักหน่อยว่ามันจะเป็นเช่นไรในยามที่เราได้ทดลองจับมือกัน“ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลยครับเลดี้..จะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดี”อ่า..ชื่องั้นเหรอ เท่าที่จำได้ตาลุงคนนั้นเรียกเธอว่า..“โรแอนด์ค่ะ ท่านมาลิคสามารถเรียกข้าว่าโรแอนด์ได้เลย”มาลิคส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตรให้แก่เธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมที่ด้านหลังของโรแอนด์ราวกับมีดอกกุหลาบโผล่ขึ้นที่ด้านหลังของเธอเสมอเลย เหมือนกับมีออร่าระยิบระยับอยู่บนใบหน้างามจนยากแก่การละสายตา แต่ทว่าเท่าที่เขาฟังมาจากเอสวา โรแอนด์ดูเหมือนจะเป็นสตรีที่ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เพ
“โรแอนด์..เจ้ามาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ?”มาลิคเดินออกมาหาโรแอนด์เมื่อเขาเห็นเธอกำลังยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ที่ทางเดิน“ข้า..ข้าแค่มาอาบน้ำน่ะ”มาลิคขมวดคิ้วในทันที“จริงอยู่ที่ข้าแนะนำให้เจ้าอาบน้ำดึกๆ แต่ทว่านี่ก็ดึกมากเกินไปโรแอนด์ เจ้าอาจจะไม่สบายได้”โชคดีจริงๆ ที่ถือตะกร้าเสื้อผ้าออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเธอทำตัววุ่นวายได้“แล้วพวกท่านไม่นอนอย่างนั้นหรือคะ..นี่ก็ดึกมากแล้ว..”มาลิคเดินนำโรแอนด์ไปยังที่อาบน้ำ“บาทหลวงมีพลังเวทโรแอนด์ พวกเราดึงเอาพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมาใช้แทนความเหนื่อยล้าได้ เพราะแบบนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้ สักเจ็ดวันพวกเราถึงจะนอนกันสักครั้งหนึ่ง ผลัดกันนอนน่ะ”วะ..ว่าไงนะ เจ็ดวันถึงจะนอน? นี่มันบ้าไปแล้ว เธอเหลือเวลาอีกสองวันเท่านั้นหากไม่ได้กินฝันของใครสักคนเธอจะถูกส่งไปยังปรโลก..ไม่เอาแบบนั้นได้ไหม!!“แล้ว..เมื่อไหร่ท่านเอสวาถึงจะนอนคะ”มาลิคยกมือขึ้นมาลูบผมของโรแอนด์เบาๆ“เจ้านี่เป็นห่วงเอสวามากเลยนะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะหมอนั่นอดนอนได้นานมากกว่าคนอื่นๆ เขาจะนอนสองสัปดาห์ต่อหนึ่งครั้งน่ะ เอสวาเกิดมาเป็นลูกรักของพระเจ้าล่ะโรแอนด์ พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัว
เป็นเขา/เป็นเธอ..ได้ยังไงกัน!!โรแอนด์นิ่งอึ้งไปหลายนาที ในขณะที่ เอสวาหันไปทางอื่นเพื่อที่เขาจะได้ตั้งสติก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มันคือเรื่องปกติในยามที่บุรุษเกิดความต้องการขึ้นมา การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย เพราะอย่างนั้นเขาไม่ต้องแสดงท่าทีหรือว่าอาการวิตกกังวลขนาดนั้นก็ได้..เพียงแต่ว่าเขาเป็นบาทหลวงนะสิ การกระทำเพื่อสนองต่อความใคร่มันคือเรื่องปกติของบุรุษก็จริงอยู่ แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติของบาทหลวงผู้รับใช้พระเจ้าเนี่ยนะสิ ฉะนั้นแล้วการลบความทรงจำของโรแอนด์นั่นน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดฉันยกมือขึ้นมาจับมือของเขาเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงได้วางมือลงบนหน้าผากของฉัน แต่พอมาลองคิดมาคิดไป นี่มัน..เข้าทางฉันเลยนี่หว่า!เขาไม่ได้เป็นบาทหลวงผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่เข้าใจ ในเนื้อแท้ของจิตใจ เอสวายังคงมีความต้องการที่เหมือนกับบุรุษทั่วไปอยู่ และเพราะอย่างนั้นนี่คือโอกาสล่ะ!“ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้นค่ะ”เอสวาเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ“โรแอนด์..เจ้าเห็นถึงตรงไหนกัน”เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนที่จะถามคำถามพวกนั้นออกมาด้วยความไม่มั่นใจ“เห็นว่าท
ฉันแตะฝ่ามือลงไปบนกล้ามท้องของเขาผ่านชุดบาทหลวงสีดำสนิทนั่น..“ยินดีต้อนรับสู้ห้วงความฝันที่ยาวนานนับนิรันดรค่ะ..ท่านเอสวา”ถึงแม้ว่าจะพยายามต้านทานมากแค่ไหน แต่ทว่าเอสวาก็ไม่สามารถเอาชนะเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองได้เลย เขาล้มตัวลงบนโซฟาที่ทำจากไม้ และโรแอนด์มองดูเอสวาที่กำลังนอนหลับด้วยรอยยิ้มเธอมีเวลาสองชั่วโมงในการเข้าไปในความฝันของเขา เพราะแบบนั้นแล้ว เธอจะตั้งใจกลืนกินความฝันของเขาไม่ให้หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว“.....”โรแอนด์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเธอเข้ามาในความฝันของเอสวา ที่นี่ไม่ได้สว่างเจิดจ้าเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้ แต่มันมืดครึ้มและอึมครึมเหมือนกับว่าฝนจะตกลงมา เธอบินไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตามหาเจ้าของความฝัน เขาอยู่ที่ไหนกันนะ อย่าให้เธอหาเจอนะ แม่จะจับมัดกับเก้าอี้ไว้เลย“สวย..จังเลยนะครับ”เสียงนั้นทำให้โรแอนด์หยุดชะงักในทันที เมื่อเธอมองเห็นเด็กน้อยที่กำลังเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเธอ เขามีเส้นผมและดวงตาสีดำ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขามากเป็นพิเศษ อย่าบอกนะว่านี่คือมินิเอสวา เอสวาตอนเด็กงั้นเรอะ!! ให้ตายสิถึงแม้ว่าเธอจะเป็นปีศาจแต่ว่าเธอก็มีจรร
ตลอดชีวิตที่ผ่านของมาของฉัน ฉันไม่เคยสนใจสิ่งไหนเลยนอกจากการหาเงิน ทำงาน หาเงิน ทำงานอีกและหาเงินให้มากเข้าไว้ ฉันไม่เคยสนใจเพื่อนร่วมงานหรือว่าผู้ชายคนไหนเลยด้วยซ้ำ เพราะมีความตั้งมั่นในใจว่าฐานะของฉันมันควรจะมั่นคงซะก่อน ความรักที่ดีและครอบครัวที่ดีถึงจะตามมาทว่าเมื่อมองเห็นตัวเองตายด้วยการทำงานหนัก โรคภัยรุมเร้าจนมันยากเกินเวลาที่จะรักษา สุดท้ายแล้วการพยายามอย่างหนักมาทั้งชีวิตมันสูญเปล่าไปหมดเลย เมื่อสิ่งที่ได้รับตอบแทนมามันคือความตาย..ในยามนี้ฉันคือปีศาจซักคิวบัส มีเหตุผลอะไรกันที่จะต้องมาคอยนึกถึงเรื่องของผู้อื่น มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาคอยเห็นใจคนอื่น ในเมื่อ..ฉันควรจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองสักครั้งหนึ่ง..“ถอดออก..ได้ไหมคะ”เธอเอ่ยถามพร้อมกับถอดเสื้อคลุมสีดำของเขาออก ชุดบาทหลวงนี้ปกคลุมมิดชิดกระทั่งลำคอและข้อมือ แทบไม่มีส่วนไหนเลยที่โผล่พ้นออกมาจากชุดที่สวม แต่ทว่า เอสวายังคงสามารถทำให้เธอหลงใหลเขาได้ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในชุดบาทหลวงนี้เขาดึงรั้งร่างกายของเธอเข้าไปใกล้ ลมหายใจของเขาสัมผัสใบหูของเธอ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเขาลูบไล้เบาๆไปตามแผ่นหลัง เขาสัมผัสลงไปบนปีกสีดำนั้น“ข้าควรจะ.
เอสวากระแอมออกมาเบาๆ เพื่อเรียกสติของตัวเอง ในยามนี้เราทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่า แต่ทว่าดูเหมือนเราจะก้าวข้ามขั้นตอนไปสักหน่อยเขาจับมือของเธอให้ขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน“ข้าได้ยินมาว่า ในยามที่บุรุษและสตรีจะกระทำเรื่องอย่างว่าร่วมกัน พวกเขาอาจจะต้องจุมพิตกันก่อน..”เธอมองหน้าเขา โรแอนด์มองหน้าของเอสวาด้วยความรู้สึกลุ่มหลงจนงงว่าใครกันแน่ที่เป็นปีศาจและใครกันแน่ที่กำลังพยายามหลอกลวงอีกฝ่าย เขาหรือว่าเธอกันแน่ที่เป็นผู้ล่อลวง..มันมึนคงไปหมดแล้วละสิ“ท่านเอสวา..รู้เยอะจังเลยนะคะ”เอสวาขบเม้มริมฝีปากไปมา“อันที่จริง เราแค่ทำไปตามสัญชาตญาณก็พอ เหมือนกับสัญชาตญาณของทารกที่เมื่อเกิดแล้วต้องร้องไห้ ในยามหิวจะต้องดูดนมของมารดา..แบบนั้นเลยโรแอนด์ ทำตามที่เจ้าและข้าต้องการได้เลย”หากเขาเอ่ยถามออกมาว่าในยามนี้เธอต้องการสิ่งใดอยู่ โรแอนด์อยากบอกว่าเธออยากจะลองสัมผัสลงไปที่ริมฝีปากของเขาสักครั้งยังไม่ทันจะได้คิดต่อ มือของเธอก็ถูกยกขึ้นมาแตะลงไปบนกลีบปากของเขาเสียแล้ว เธอมองลงไปบนริมปากที่กำลังเผยอออกเล็กน้อย เพื่อยินยอมให้เธอสัมผัสมันแต่โดยดี มือของเอสวาถูกยกขึ้น วงแขนของเขารวบร่างกายของเธอใ
6ปีที่แล้วพระสันตะปาปาที่3นามว่ามาคิวลัสยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วเบาๆ“ท่านผู้นำศาสนา..ได้โปรดวางใจ สงครามที่จะเกิดขึ้นมาในจักรวรรดินั้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทั้งจักรวรรดิและเวสเทาต่างก็นับถือในพระเจ้าเหมือนๆ กัน เพราะอย่างนั้นต่อให้ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันให้ตายตกไปข้างหนึ่ง..วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่..”คาดินันแคนนอนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม“เรื่องนั้นมันก็ใช่ ทว่าแคนนอน เราต้องการมากกว่านั้นนะสิ..ในช่วงเวลาที่ทั้งสองมหาอำนาจกำลังบาดหมางและหันคมดาบสาดใส่กัน วิหารจะมองดูเฉยๆอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวอำนาจมาไว้ให้มากที่สุดอย่างนั้นหรือ..”ในช่วงเวลาที่ทุกหย่อมหญ้าแดงฉานไปด้วยเลือด ประชาชนทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สงครามจะจบลงและไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะชนะ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในยามนี้คือ..ศรัทธาและสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจวิหารต้องเกี่ยวเก็บช่วงเวลาที่แสนเศร้าของพวกประชาชนเอาไว้ แล้วแทนที่ความโศกเศร้าเหล่านั้นด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า“นำเด็กคนนั้นออกมาได้แล้ว เด็กที่เจ้าเก็บซ่อนเขาเอาไว้ก็เพื่อโอกาสนี้ไม่ใช่รึไง?”แคนนอนก้มหน้าลงเล็
โรแอนด์ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย ทุกครั้งที่ปลายนิ้วของเอสวาขยับ มันเหมือนกับว่าเขาค่อยๆ นำความสุขมาเติมเต็มภายในร่างกายของเธออย่างช้าๆ แม้จะอึดอัดอยู่บ้างแต่ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เลย ที่ชัดเจนมากกว่าอะไรทั้งหมดคือความรู้สึกวาบหวามที่อยากจะระบายปลดเปลื้องอีกนิดสิ! ขอร้องล่ะเธอรู้สึกเหมือนกับว่าอารมณ์กำลังจะระเบิดออกมาเลย โรแอนด์ช้อนสายตามองหน้าของเอสวาเพื่อร้องขอและวิงวอนต่อเขา ทว่าในช่วงเวลาถัดมาที่ฝ่ามือของเธอกลับสัมผัสได้ถึงหยดน้ำสีขาวขุ่นที่พุ่งออกมาจากส่วนนั้นของเขา ภาพเบื้องหน้าพลันพร่าเลือน ในความรู้สึกของโรแอนด์เหมือนกับว่าเธอกำลังพลัดตกจากที่สูงยังไงอย่างนั้นสวรรค์ที่เธอมองเห็นอยู่รำไร ยามนี้จางหายไปจนหมดสิ้น..ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นมา เธอกำลังนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวในบ้านพักของเอสวา ส่วนเขาเองก็กำลังลืมตาขึ้นมามองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีดอกกุหลาบ“..นี่ท่านจะมาอายตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา!!”เขาเลื่อนฝ่ามือมาปิดปากของเธอเอาไว้ในทันที น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าในแบบที่เขียนบรรยายเอาไว้ในหนังสือ แต่ร่างกายของเขากลับปกติดีทุกอย่าง อาการเหนื่อยล้าจางหายเป็นปลิดทิ
เอสวากระแอมออกมาเบาๆ เพื่อเรียกสติของตัวเอง ในยามนี้เราทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่า แต่ทว่าดูเหมือนเราจะก้าวข้ามขั้นตอนไปสักหน่อยเขาจับมือของเธอให้ขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน“ข้าได้ยินมาว่า ในยามที่บุรุษและสตรีจะกระทำเรื่องอย่างว่าร่วมกัน พวกเขาอาจจะต้องจุมพิตกันก่อน..”เธอมองหน้าเขา โรแอนด์มองหน้าของเอสวาด้วยความรู้สึกลุ่มหลงจนงงว่าใครกันแน่ที่เป็นปีศาจและใครกันแน่ที่กำลังพยายามหลอกลวงอีกฝ่าย เขาหรือว่าเธอกันแน่ที่เป็นผู้ล่อลวง..มันมึนคงไปหมดแล้วละสิ“ท่านเอสวา..รู้เยอะจังเลยนะคะ”เอสวาขบเม้มริมฝีปากไปมา“อันที่จริง เราแค่ทำไปตามสัญชาตญาณก็พอ เหมือนกับสัญชาตญาณของทารกที่เมื่อเกิดแล้วต้องร้องไห้ ในยามหิวจะต้องดูดนมของมารดา..แบบนั้นเลยโรแอนด์ ทำตามที่เจ้าและข้าต้องการได้เลย”หากเขาเอ่ยถามออกมาว่าในยามนี้เธอต้องการสิ่งใดอยู่ โรแอนด์อยากบอกว่าเธออยากจะลองสัมผัสลงไปที่ริมฝีปากของเขาสักครั้งยังไม่ทันจะได้คิดต่อ มือของเธอก็ถูกยกขึ้นมาแตะลงไปบนกลีบปากของเขาเสียแล้ว เธอมองลงไปบนริมปากที่กำลังเผยอออกเล็กน้อย เพื่อยินยอมให้เธอสัมผัสมันแต่โดยดี มือของเอสวาถูกยกขึ้น วงแขนของเขารวบร่างกายของเธอใ
ตลอดชีวิตที่ผ่านของมาของฉัน ฉันไม่เคยสนใจสิ่งไหนเลยนอกจากการหาเงิน ทำงาน หาเงิน ทำงานอีกและหาเงินให้มากเข้าไว้ ฉันไม่เคยสนใจเพื่อนร่วมงานหรือว่าผู้ชายคนไหนเลยด้วยซ้ำ เพราะมีความตั้งมั่นในใจว่าฐานะของฉันมันควรจะมั่นคงซะก่อน ความรักที่ดีและครอบครัวที่ดีถึงจะตามมาทว่าเมื่อมองเห็นตัวเองตายด้วยการทำงานหนัก โรคภัยรุมเร้าจนมันยากเกินเวลาที่จะรักษา สุดท้ายแล้วการพยายามอย่างหนักมาทั้งชีวิตมันสูญเปล่าไปหมดเลย เมื่อสิ่งที่ได้รับตอบแทนมามันคือความตาย..ในยามนี้ฉันคือปีศาจซักคิวบัส มีเหตุผลอะไรกันที่จะต้องมาคอยนึกถึงเรื่องของผู้อื่น มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาคอยเห็นใจคนอื่น ในเมื่อ..ฉันควรจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองสักครั้งหนึ่ง..“ถอดออก..ได้ไหมคะ”เธอเอ่ยถามพร้อมกับถอดเสื้อคลุมสีดำของเขาออก ชุดบาทหลวงนี้ปกคลุมมิดชิดกระทั่งลำคอและข้อมือ แทบไม่มีส่วนไหนเลยที่โผล่พ้นออกมาจากชุดที่สวม แต่ทว่า เอสวายังคงสามารถทำให้เธอหลงใหลเขาได้ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในชุดบาทหลวงนี้เขาดึงรั้งร่างกายของเธอเข้าไปใกล้ ลมหายใจของเขาสัมผัสใบหูของเธอ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเขาลูบไล้เบาๆไปตามแผ่นหลัง เขาสัมผัสลงไปบนปีกสีดำนั้น“ข้าควรจะ.
ฉันแตะฝ่ามือลงไปบนกล้ามท้องของเขาผ่านชุดบาทหลวงสีดำสนิทนั่น..“ยินดีต้อนรับสู้ห้วงความฝันที่ยาวนานนับนิรันดรค่ะ..ท่านเอสวา”ถึงแม้ว่าจะพยายามต้านทานมากแค่ไหน แต่ทว่าเอสวาก็ไม่สามารถเอาชนะเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองได้เลย เขาล้มตัวลงบนโซฟาที่ทำจากไม้ และโรแอนด์มองดูเอสวาที่กำลังนอนหลับด้วยรอยยิ้มเธอมีเวลาสองชั่วโมงในการเข้าไปในความฝันของเขา เพราะแบบนั้นแล้ว เธอจะตั้งใจกลืนกินความฝันของเขาไม่ให้หลงเหลือแม้แต่นิดเดียว“.....”โรแอนด์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเธอเข้ามาในความฝันของเอสวา ที่นี่ไม่ได้สว่างเจิดจ้าเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้ แต่มันมืดครึ้มและอึมครึมเหมือนกับว่าฝนจะตกลงมา เธอบินไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตามหาเจ้าของความฝัน เขาอยู่ที่ไหนกันนะ อย่าให้เธอหาเจอนะ แม่จะจับมัดกับเก้าอี้ไว้เลย“สวย..จังเลยนะครับ”เสียงนั้นทำให้โรแอนด์หยุดชะงักในทันที เมื่อเธอมองเห็นเด็กน้อยที่กำลังเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเธอ เขามีเส้นผมและดวงตาสีดำ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขามากเป็นพิเศษ อย่าบอกนะว่านี่คือมินิเอสวา เอสวาตอนเด็กงั้นเรอะ!! ให้ตายสิถึงแม้ว่าเธอจะเป็นปีศาจแต่ว่าเธอก็มีจรร
เป็นเขา/เป็นเธอ..ได้ยังไงกัน!!โรแอนด์นิ่งอึ้งไปหลายนาที ในขณะที่ เอสวาหันไปทางอื่นเพื่อที่เขาจะได้ตั้งสติก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มันคือเรื่องปกติในยามที่บุรุษเกิดความต้องการขึ้นมา การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย เพราะอย่างนั้นเขาไม่ต้องแสดงท่าทีหรือว่าอาการวิตกกังวลขนาดนั้นก็ได้..เพียงแต่ว่าเขาเป็นบาทหลวงนะสิ การกระทำเพื่อสนองต่อความใคร่มันคือเรื่องปกติของบุรุษก็จริงอยู่ แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติของบาทหลวงผู้รับใช้พระเจ้าเนี่ยนะสิ ฉะนั้นแล้วการลบความทรงจำของโรแอนด์นั่นน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดฉันยกมือขึ้นมาจับมือของเขาเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงได้วางมือลงบนหน้าผากของฉัน แต่พอมาลองคิดมาคิดไป นี่มัน..เข้าทางฉันเลยนี่หว่า!เขาไม่ได้เป็นบาทหลวงผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่เข้าใจ ในเนื้อแท้ของจิตใจ เอสวายังคงมีความต้องการที่เหมือนกับบุรุษทั่วไปอยู่ และเพราะอย่างนั้นนี่คือโอกาสล่ะ!“ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้นค่ะ”เอสวาเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ“โรแอนด์..เจ้าเห็นถึงตรงไหนกัน”เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนที่จะถามคำถามพวกนั้นออกมาด้วยความไม่มั่นใจ“เห็นว่าท
“โรแอนด์..เจ้ามาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ?”มาลิคเดินออกมาหาโรแอนด์เมื่อเขาเห็นเธอกำลังยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ที่ทางเดิน“ข้า..ข้าแค่มาอาบน้ำน่ะ”มาลิคขมวดคิ้วในทันที“จริงอยู่ที่ข้าแนะนำให้เจ้าอาบน้ำดึกๆ แต่ทว่านี่ก็ดึกมากเกินไปโรแอนด์ เจ้าอาจจะไม่สบายได้”โชคดีจริงๆ ที่ถือตะกร้าเสื้อผ้าออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเธอทำตัววุ่นวายได้“แล้วพวกท่านไม่นอนอย่างนั้นหรือคะ..นี่ก็ดึกมากแล้ว..”มาลิคเดินนำโรแอนด์ไปยังที่อาบน้ำ“บาทหลวงมีพลังเวทโรแอนด์ พวกเราดึงเอาพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมาใช้แทนความเหนื่อยล้าได้ เพราะแบบนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้ สักเจ็ดวันพวกเราถึงจะนอนกันสักครั้งหนึ่ง ผลัดกันนอนน่ะ”วะ..ว่าไงนะ เจ็ดวันถึงจะนอน? นี่มันบ้าไปแล้ว เธอเหลือเวลาอีกสองวันเท่านั้นหากไม่ได้กินฝันของใครสักคนเธอจะถูกส่งไปยังปรโลก..ไม่เอาแบบนั้นได้ไหม!!“แล้ว..เมื่อไหร่ท่านเอสวาถึงจะนอนคะ”มาลิคยกมือขึ้นมาลูบผมของโรแอนด์เบาๆ“เจ้านี่เป็นห่วงเอสวามากเลยนะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะหมอนั่นอดนอนได้นานมากกว่าคนอื่นๆ เขาจะนอนสองสัปดาห์ต่อหนึ่งครั้งน่ะ เอสวาเกิดมาเป็นลูกรักของพระเจ้าล่ะโรแอนด์ พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัว
ที่โรงอาหารเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังนั่งรอการแจกจ่ายอาหาร ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อที่จะมองหาท่านบาทหลวงเอสวา เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนพวกนั้นที่กำลังแจกจ่ายถ้วยยาให้แก่ชาวบ้าน ราวกับมีแสงสว่างส่องลงมาให้เห็นเฉพาะเขาท่ามกลางผู้คนอื่นๆ เธอมองเห็นแค่เพียงเขาเท่านั้นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกลิ่นหอมนี้อีกแล้ว..กลิ่นหอมหวานเย้ายวนที่ชวนให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหายอยาก เธออยากจะลองสัมผัสเขาสักครั้งหนึ่งอยากลองแตะลงไปบนมือที่หยาบกร้านของเขาดูสักหน่อยว่ามันจะเป็นเช่นไรในยามที่เราได้ทดลองจับมือกัน“ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลยครับเลดี้..จะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดี”อ่า..ชื่องั้นเหรอ เท่าที่จำได้ตาลุงคนนั้นเรียกเธอว่า..“โรแอนด์ค่ะ ท่านมาลิคสามารถเรียกข้าว่าโรแอนด์ได้เลย”มาลิคส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตรให้แก่เธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมที่ด้านหลังของโรแอนด์ราวกับมีดอกกุหลาบโผล่ขึ้นที่ด้านหลังของเธอเสมอเลย เหมือนกับมีออร่าระยิบระยับอยู่บนใบหน้างามจนยากแก่การละสายตา แต่ทว่าเท่าที่เขาฟังมาจากเอสวา โรแอนด์ดูเหมือนจะเป็นสตรีที่ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เพ
ท่ามกลางสงครามที่แสนโหดร้าย ผู้คนล้มตายเพราะความขัดแย้งที่รุนแรงของสองอาณาจักร สงครามยืดเยื้อมานานหลายปี ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หนีไม่พ้นชาวเมืองที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสภาพของสตรีผู้นี้ ครั้งแรกที่เขาเห็นนางดู..น่าสงสารมากทีเดียว ใบหน้านั้นงดงามจับตายิ่งนัก เรือนผมสีเงินเช่นนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ จากชาวบ้านทั่วไป ความงดงามที่ฉายชัดถึงแม้ว่าจะอยู่ในชุดที่ซอมซ่อและสกปรกเช่นนั้น นางคงจะเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็ลูกสาวของขุนนางอย่างแน่นอนแต่ดูเหมือนสติของนางจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก..เอสวายื่นมือไปปิดตาของสตรีผู้นั้นเอาไว้ เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการทำให้เธอนอนหลับลงไป แล้วก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในการทำความสะอาดชุดที่เธอกำลังสวมอยู่เพื่อให้เธอได้ปลดเปลื้องในทุกความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตานั้น และให้เธอได้พักผ่อนเสียทีเขาเดินออกไปด้านนอกโดยไม่ลืมวางถาดขนมปังเอาไว้ในห้อง โบสถ์เองก็อยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่เหมือนกัน เราไม่ได้มีอาหารเอาไว้แจกจ่ายให้แก่ประชาชนทุกคน..แต่เอสวาเลือกที่จะส่งมอบอาหารในส่วนของเขาให้แก่สตรีที่กำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน....................“เจ้านี่..