“ยอดเยี่ยมไปเลย!”ก็ขณะที่ทั้งสองกำลังลังเลอยู่ จู่ ๆ ก็มีคนอดใจไม่ไหวกินคำหนึ่ง พบว่านี่มันเป็นของสุดยอดในแดนมนุษย์ มิใช่หนึ่งใน เขาโพล่งปากเดี๋ยวนั้นพอทุกคนได้ยิน ยังจะลังเลอะไรอีก รีบลงมือกันทันที กินกันอย่างบ้าคลั่ง“มันคือเลิศรสในแดนดิน อร่อยยิ่งนัก!”“ข้าเกิดมาจนโตขนาดนี้ ไม่เคยกินของอร่อยเท่านี้มาก่อน น่าประทับใจจริง ๆ!”“รู้สึกเหมือนทั้งหมดนี้เป็นความฝัน คิดไม่ถึงว่ายังได้กินอาหารอร่อยๆ ในตอนที่มีชีวิตอยู่อย่างนี้!”.......ทุกคนกินกันจนน้ำตานองหน้า ฉินอวิ๋นฟานรู้สึกปลื้มใจมากการเปลี่ยนความคิดของคนคนหนึ่งมันยากเหลือเกิน เมื่อสิ่งหนึ่งก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในสมองเขา คิดเปลี่ยนมันมีอยู่แค่วิธีเดียว นั่นก็คือให้เขาไปทดลองด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมันก็เหมือนกับผู้ชายที่ไม่เคยเจอผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง จู่ ๆ จะให้เขาหลับนอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร และยังจะผลักไสด้วย แต่พอเขาได้สัมผัสสิ่งดี ๆ จากผู้หญิงแล้ว ก็จะเหมือนกับเสพติด ไม่มีวันเลิกได้สิบนาทีให้หลัง ฉินอวิ๋นฟานเรียกหลิวเป้ยพี่น้องสามคนและพวกเซียวหยางรวมหกคนมาท
ครั้นเห็นเหมียวชิงอีและเติ้งซูหมิงในชุดลำลอง สองตาของฉินอวิ๋นฟานก็เบิกโพลงจนทั้งกลมทั้งใหญ่ รูปร่างอ่อนช้อย ผิวพรรณเรียบเนียนปานหิมะนั่น ทำให้คนน้ำลายไหลน่าเสียดาย เหมียวชิงอีใช้ผ้าผืนบางปิดบังใบหน้าตลอด ทำให้คนจินตนาการไม่สิ้นสุด กับสิ่งที่เป็นปริศนา ผู้ชายมักมีความปรารถนาที่จะค้นหา ฉินอวิ๋นฟานแทบอยากกระชากผ้าผืนนั้นเสียเดี๋ยวนี้กอปรกับเขาเพิ่งกินปลาไหลจานโต ฮอร์โมนทรงพลังกำลังเดือดพล่าน ท้องน้อยเร่าร้อนที่สุด“รัชทายาทต้าเฉียน ดึกอย่างนี้แล้วยังต้องการพบข้า ไม่ทราบมีธุระอันใดหรือ?”เหมียวชิงอีเอ่ยปากช้า ๆ“ไม่มีธุระหรือจะมาหาว่าที่ภรรยาของกระหม่อมสักหน่อยไม่ได้หรือ?”ฉินอวิ๋นฟานพูดหยอก“อ้อ? ท่านมั่นใจว่าจะได้แต่งกับข้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”เหมียวชิงอีถามอย่างนึกสนุก“นี่ไม่ใช่เรื่องมั่นใจ แต่กระหม่อมชอบพระองค์แล้ว ดังนั้นกระหม่อมต้องแต่งกับพระองค์ให้ได้ สำหรับเงื่อนไขสองข้อนั้น กระหม่อมมั่นใจเต็มร้อยว่าจะทำสำเร็จ”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “เพื่อแสดงออกถึงไมตรีที่มีต่อพระองค์ จึงเจาะจงลงมือทำอาหารเลิศรสจำนวนหนึ่งมาถวาย”ว่าแล้วฉินอวิ๋นฟานก็แกะห่อแล้วหยิบปลาไหลผัดพริก
เหมียวชิงอีจดจ้องด้วยความโมโหโทโส ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าเรียบสงบ เขาแค่มาส่งอาหารเลิศรสชั้นยอดที่ทำกับมือให้เหมียวชิงอีเท่านั้น พร้อมมายลโฉมของภรรยาตำหนักใหญ่ในอนาคต ไม่แน่ว่ายังอาจได้ตอดเล็กตอดน้อยอะไรสักหน่อยคิดไม่ถึงว่านางจะตกหลุมพรางในประโยคเดียว ทลายกำแพงของฉินอวิ๋นฟานโดยตรง ภรรยาที่แน่อย่างแช่แป้ง หากไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะเห็นหน้า?ท่าทางสูงส่งของเหมียวชิงอีทำให้ฉินอวิ๋นฟานไม่สบอารมณ์อย่างหนัก ถ้าจากมุมมองของบนเตียง ถูกข่มสักหน่อยกลับไม่เป็นไร แต่การข่มด้านจิตใจแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกเกลียดมากข้อเรียกร้องของแม่เจ้าประคุณที่มีความยากระดับนรก เขารับปากแล้ว แต่จะดูหน้าสักหน่อยไม่ได้หรือไง?จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นสุนัขเลียขา โบราณว่าไว้ หมาเลีย ๆ เลียจนหมดสิ้นทุกอย่างในท้ายที่สุด เขาฉินอวิ๋นฟานจะไม่เป็นสุนัขพันธุ์ปั๊กเพราะความงามของเหมียวชิงอีหรอก“ถ้ากระหม่อมบอกว่า หากพระองค์ไม่เปิดผ้าปิดพระพักตร์ กระหม่อมจะทิ้งแคว้นเหมียวล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานยกมุมปาก“เหอะ ท่านกำลังข่มขู่ข้ารึ? ยังนึกว่าจะทำข้อเรียกร้องสองเรื่องของข้าสำเร็จ?”กับการข่มขู่ของฉินอวิ๋นฟาน เหม
เติ้งซูหมิงเดินไปจะเอาปลาไหลผัดพริกกับปลาไหลน้ำแดงสองจานใหญ่ไปทิ้ง กลับถูกเหมียวชิงอีห้ามเอาไว้“เขายังกล้าทำเลย แล้วไฉนข้าจะไม่กล้ากิน? เขายังไม่กลัวต้องคำสาปเลย ไยข้าต้องกลัว?”พอพูดจบ เหมียวชิงอีก็เตรียมจะหยิบตะเกียบ แต่เติ้งซูหมิงขวางเอาไว้ “ฝ่าบาท เดี๋ยวเพคะ ให้หม่อมฉันใช้เข็มเงินทดสอบก่อนว่ามีพิษหรือไม่!”เติ้งซูหมิงหยิบเข็มเงินประณีตออกมาเล่มหนึ่งแล้วทดสอบกับของในจานหลายครั้ง กลับไม่พบความผิดปกติ เมื่อนั้นเหมียวชิงอีจึงเริ่มกินอย่างวางใจตอนนี้เอง เหมียวชิงอีจึงเอาผ้าปิดหน้าออก ทันทีที่ปลาไหลน้ำแดงเข้าปาก จิตวิญญาณสะท้าน เข้าปากนุ่มลื่น น้ำแกงบำรุงเข้มข้น กระตุ้นต่อมรับรสของนางไม่หยุด ความรู้สึกวิเศษเช่นนั้น ถูกปลาไหลน้ำแดงสยบได้ในพริบตา“สวรรค์! โลกนี้ยังมีอาหารรสเลิศเช่นนี้อยู่อีกหรือ?”เหมียวชิงอีโพล่งปากออกมาด้วยความตกใจ เติ้งซูหมิงใบหน้าสับสน คีบขึ้นมาแบบยากจะเชื่อเล็กน้อย แต่ทันทีที่เข้าปาก นางถูกสยบโดยสมบูรณ์แบบทันทีทันใดแค่ชั่วเดี๋ยวเดียว อาหารปลาไหลสองจานใหญ่ถูกทั้งสองกวาดเรียบ กระทั่งยังอยากลิ้มรสอีก“หมดแล้วหรือ? หมดไปแล้ว?”เหมียวชิงอีมองจานที่สะอาดหมดจนสอง
“เหมือนจะมีเหตุผล...”อู่จ้านขมวดคิ้ว มิน่าเสี่ยวฟานจึงใช้ท่าทีอย่างนี้กับนาง หากวิเคราะห์ดูดี ๆ รู้สึกว่าฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด“อีกอย่าง แม้แต่หน้าก็ไม่ให้ข้าเห็นก็คิดจะควบคุมข้า ข้าจะสนใจนางทำไม?”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้าเมินเฉย “ไป เอาของอร่อยไปให้จางเต้าหลินกัน!”อู่จานไม่เข้าใจ “เอ๋ เอาไปให้เขา? เหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้จักมักจี่อะไรกับเขานี่?”“ไปก็รู้จักเองไม่ใช่หรือ?”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่พูดอู่จ้านมุมปากกระตุก ในยามปกติระหว่างพวกเขาแทบจะเป็นคนแปลกหน้า กลางดึกกลางดื่นกลับไปส่งอาหารสองจานให้เขาที่บ้าน? บ้านเขาขาดของกินหรือ?มีการมอบของขวัญแบบนี้ที่ไหน? อีกอย่างยังให้ของที่คนขยาดมากอีก ถึงเวลาจะไม่ถูกคนตะเพิดออกมานะ?เมืองต้าเฉียนก็คือเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเฉียน และเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของต้าเฉียน ตอนที่ฉินอวิ๋นฟานกลับมาจากเหมียวชิงอีนั่นก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ตามท้องถนนยังมีแสงไฟสว่างไสว บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่งเนื่องจากภัตตาคารต้าเฉียนไม่สามารถรองรับคนสองพันคนกินอาหารได้ในคราวเดียว ดังนั้นจึงจัดวางเก้าอี้ตัวยาวริมถนนละแวกภัตตาคารต้าเฉียนกลิ่
“โอ๊ย เฮ้ย ใครกล้าเล่นสกปรก? กล้าตบข้าจากข้างหลัง?”ถูกคนตบหน้าแบบไม่มีสาเหตุ ซุนฉี่เชาหมุนตัวอยู่กลางอากาศ เหนือศีรษะปรากฏดวงดาวสีทอง เจ็บแสบครึ่งหน้า โมโหจนกัดฟันกรอดแทบจะเต้นเร่า ๆ“ข้าก็แตะต้องเจ้าแล้วนี่ไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”ฉินอวิ๋นฟานยกยิ้มตรงมุมปาก เดินไปอยู่ตรงหน้าซุนฉี่เชาด้วยใบหน้าเย็นชาทระนง ในดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ มันผู้ใดกล้าลบหลู่มู่หรงจิ่น มันผู้นั้นสมควรตาย!“เจ้า เจ้ามารดามันเป็นใคร กล้าตีข้า? ไม่รู้หรือว่าข้าคือคุณชายใหญ่ของตระกูลซุน?”ซุนฉี่เชาไม่รู้ว่าเป็นฉินอวิ๋นฟาน เห็นว่ามีคนวางก้ามเช่นนั้นโทสะยิ่งปะทุ แต่ตอนนี้เอง ชายหนุ่มในชุดผ้าต่วนรีบกระซิบเตือนเขา “เขา เขาก็คือรัชทายาทรัชกาลปัจจุบัน...”“อะไรนะ? เจ้า เจ้าก็คือฉินอวิ๋นฟาน?”พอรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็คือรัชทายาท ความฉลาดของซุนฉี่เชามาทันที รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ความโอหังกำแหงหายวับไปกว่าครึ่ง“เมื่อกี้ได้ยินใครบอกว่าข้าเป็นแค่ไอ้ปัญญาอ่อน? บอกว่าข้าไม่กล้าแตะขนเจ้าสักเส้น?”ฉินอวิ๋นฟานแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา“ขะ ขะ ข้าเป็นคนพูด แล้วยังไง?”ซุนฉี่เชาฝืนทำใจสงบ ทั้งยังเจอกับรัชท
“อะไรนะ? พนันด้วยภัตตาคาร? เจ้าแน่ใจนะ?”พอได้ยินว่าเดิมพันด้วยภัตตาคารฝั่งตรงข้ามกับหอวั่งเจียง ซุนฉี่เชาก็ตื่นเต้นกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันที บิดาหมายตาภัตตาคารนั้นของตระกูลมู่หรงมานานแล้วเคยขอซื้อด้วยราคาสูงหลายครั้ง แต่มู่หรงซื่อควานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ได้ที่ดินผืนนั้นมา บิดาของเขาคิดจนหัวร้างข้างแตก คิดทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สำเร็จไม่นึกว่าจะมีคนยกภัตตาคารให้ก่อน? นี่มิใช่ขนมอบหล่นมาจากฟ้าที่ทุกคนพูดกันบ่อย ๆ หรือ?“แน่ใจ!”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง“ได้ ลงชื่อพิมพ์นิ้วมือ!”ซุนฉี่เชาในยามนี้ตื่นเต้นสุดขีด กลัวว่าฉินอวิ๋นฟานจะกลับคำพูด รีบเอาหนังสือสัญญาออกมาแล้วลงชื่อพิมพ์ลายนิ้วมือเดี๋ยวนั้น ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน “เจ้าอย่าเสียใจภายหลังแล้วกัน ถึงตอนนั้นมู่หรงซื่อควานไม่ตกลงก็ต้องตกลง”“วางใจเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มร้าย ลงชื่อและพิมพ์นิ้วมือทันที คนละหนึ่งฉบับ หลังจากได้ไปแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ตบไหล่ซุนฉี่เชาและพูดว่า “พ่อเจ้าไม่เสียทีที่เลี้ยงเจ้าโตมาจนป่านนี้ ต่อไปต้องกตัญญูต่อเขาให้มากด้วยเล่า”“นั่นยังต้องให้พูดอีกหรือ”ซุนฉี่เชายืดตัวตรงพูด “ถ้าถึง
ทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานเปิดกล่องอาหาร จางเต้าหลินนัยน์ตาหดเล็ก นี่มิใช่มังกรงูที่ร่ำลือกันหรือ? กลับถูกฉินอวิ๋นฟานเอามาทำเป็นอาหารไปเสียได้?แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ กลับมีรสชาติหอมประหลาด คล้ายมีมนต์เสน่ห์ ทำให้คนน้ำลายสอฉินอวิ๋นฟานยิ้มเอ่ย “จางไท่เว่ย ท่านน่าจะรู้จักเจ้านี่กระมัง?”“มังกรงูในตำนาน!”จางเต้าหลินถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “รัชทายาทไม่ธรรมดาดังคาด แม้แต่ของพรรค์นี้ก็ยังกล้าแตะ ทำให้ข้าต้องมองใหม่จริง ๆ”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย “ชิมสักหน่อย?”“รัชทายาทเจาะจงมาจวนข้ากลางดึก หากไม่ลิ้มรสสักหน่อยจะมิเป็นการไม่ไว้หน้ารัชทายาทหรือ? ดมกลิ่นแล้วไม่เลวจริง ๆ”จางเต้าหลินไม่รีรอ หยิบตะเกียบคีบแล้ววางลงในปากทันที ทันทีที่สัมผัสกับรสชาติพิเศษนั้น จางเต้าหลินตัวกระตุก สวรรค์ รสดีเช่นนี้เชียวหรือ?“เจ้า เจ้าของสิ่งนี้รสดีเช่นนี้เลยหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มตอบ “มันคาวมาก หากทำไม่ถูกวิธีก็ยากจะกระเดือกลง แต่ข้ามีสูตรพิเศษ ถ้าใช้เป็นอาหารจานเด็ด จางไท่เว่ยคิดว่าจะเป็นอย่างไร?”“ต้องสะเทือนเลือนลั่นเป็นแน่!”จางเต้าหลินโพล่งปากออกมา ประเมินอาหารจากมังกรงูสองจานนี้ของฉินอวิ๋นฟานสูงมาก เข
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ