จ้องมองการดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตายตูม!!!ระเบิดมือทั้งสิบระเบิดพร้อมกัน เกิดเสียงกัมปนาทดังสะท้อนเศษระเบิดมือกระเด็นออกไปสี่ทิศ ควันดำเจือกลิ่นฉุนและแสงไฟปิดฟ้าบังดวงตะวันอากาศถูกสะเทือน ระเบิดขยายออกไปเป็นวงกว้างไกลถึงหนึ่งร้อยเมตรเต็ม ๆ!ครั้งนี้ นิรนามไม่มีทางรอดแล้วเขาถูกระเบิดล้อมไว้หมดแล้ว ถูกระเบิดจนเป็นจุณเลือดเนื้อ โครงกระดูก กระเด็นลอยลิ่วขึ้นฟ้า จากนั้นก็แตกละเอียด หลอมรวมเข้ากับเปลวเพลิงและกลายเป็นควันไฟในที่สุด......จนถึงตอนนี้เสียงระเบิดจึงค่อย ๆ เงียบลงเสียงวิ้ง ๆ ข้างหูจึงสงบ...นาทีที่ระเบิด ฉินอวิ๋นฟานให้ทุกคนถอยออก ออกจากพื้นที่อันตรายก่อนที่หุบเขาจะถล่มลงมา“จบสักที”ฉินอวิ๋นฟานพิงก้อนหินเงาเรียบ หอบหายใจพูด “จัดการยากเสียจริง”คิดไม่ถึง แค่นิรนามคนเดียวก็ตัดเส้นทางไปของพวกเขาแล้วทั้งยังเกือบทำให้พวกเขาตายหมู่ดีที่เขาให้หน่วยเอเคสี่สิบแปดพกระเบิดมือก่อนออกเดินทาง มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าจะปราชัยแล้ว“เสี่ยวฟาน ดื่มน้ำ”อู่จ้านเดินกะเผลกมา ก่อนจะยื่นถุงน้ำให้“อาจ้าน ขาของท่าน...”“ไม่เป็นไร” อู่จ้านยิ้มพลางโบกมือ ตามด้วยนั่งอยู่ด้านข้างของฉ
ตระกูลเหอบรรยากาศน่าอึดอัดเหมือนเดิมทุกคนในห้องโถงเงียบกริบ ราวกับมีมวลเมฆดำปกคลุมเหนือศีรษะครู่หนึ่งเหอเหวินเย่าจึงเอ่ยปาก“ดูท่าแผนการทางเฮ่อชินอ๋องจะล้มไม่เป็นท่า”ก่อนหน้านี้ไม่นาน สายของพวกเขาได้ข่าวมาว่ามียอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งซุ่มสังหารฉินอวิ๋นฟานระหว่างทาง ทุ่มสุดตัวแล้ว หากผลลัพธ์สุดท้ายยังคงพ่ายให้กับฉินอวิ๋นฟาน“จิ...”ฉินอวิ๋นฮุยขมวดคิ้วมุ่น พูดด้วยใบหน้าอารมณ์ซับซ้อน “เจ้าบัดซบนี่ดวงแข็งจริง ๆ”พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเบื้องหลังยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเลย ยอดฝีมือร้ายกาจเพียงนี้ โดยรวมคงเป็นเฮ่อชินอ๋องที่แอบส่งไปแน่นอน พวกเขาแค่สันนิษฐาน...“คาดว่าฉินอวิ๋นฟานไปต้าเหลียงคราวนี้ คงไม่มีใครขัดขวางชั่วคราว”เหอเหวินเย่าดื่มน้ำชาคำหนึ่งและพรูลมคนอื่น ๆ ก็เงียบเหมือนกัน เหอกุ้ยเฟยนั่งอยู่อีกทางหนึ่ง เงียบจนแปลก ปราศจากท่วงท่าดังวันวาน“ก่อนหน้านี้น้าสามพูดถูก พวกเราไม่ลงมือเวลานี้คือถูกต้อง” ฉินอวิ๋นฮุยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปถึงชายตา แหงนหน้ามองฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆดำ“ขืนบุ่มบ่ามลงมือ คาดว่าพวกเราคงได้เจ็บเอง”ก่อนหน้านี้ส่งชายชุดดำไป หวังว่าจะเอาชีวิตของฉินอว
ครั้นได้ยินดังนั้นไท่ซั่งหวงจึงโล่งอกและพูด “ดูท่าวิกฤตครั้งนี้จะอันตรายกว่าที่ฟานเอ๋อร์เจอมาในสมัยก่อนมากสินะ”จากคำกล่าวของเฉาเจิ้งฉุน เขาสามารถรับรู้ถึงอันตรายและความลำบากนั้นได้ไม่ยากหากมิใช่เพราะฉินอวิ๋นฟานมีปฏิภาณไหวพริบ รู้จักใช้อาวุธร่วมกับลักษณะทางภูมิศาสตร์สะกดข่มสังหารยอดฝีมือลึกลับนั้นได้ เกรงว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะพูดยากจริง ๆ“กระหม่อมสั่งการลงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะสังเกตการณ์รัชทายาทอย่างใกล้ชิด รับรองความปลอดภัยของรัชทายาท...”เฉาเจิ้งฉุนกล่าวเสริมเพียงแต่หัวใจของเขาเริ่มสั่นคลอนแล้วมิสู้บอกว่าตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เล็กน้อยที่ฉินอวิ๋นฟานกับพวกเจอในครั้งนี้คือยอดฝีมือเขตเทวาเชียวนะ เกรงว่าความท้าทายที่ต้องเจอต่อจากนี้จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆที่เสี่ยวติงตังรอดมาได้ก็เพราะฉินอวิ๋นฟานทั้งหมด!บัดนี้คิดดูแล้ว นี่จะกลับตาลปัตรไปหน่อยคนที่ส่งไปคุ้มครองฉินอวิ๋นฟานในทีแรก กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้อย่างนั้น ทำให้เฉาเจิ้งฉุนหน้าร้อนผ่าวเพียงแต่การคุ้มครองฉินอวิ๋นฟานต่อจากนี้คงต้องใช้กำลังคนมากหน่อยจึงจะดี“ไท่ซั่งหวง เรื่องนี้บังเอิญนัก หากเกิดภัยคุกคามเช่นนี้ขึ้นอีก เกร
เนินกู่ถิงภายใต้ราตรีอันยาวนานคนมากมายนับพันตั้งกระโจมสุมไฟปักหลักอยู่ ณ แห่งนี้ควันคลุ้งที่ลอยตัวขึ้นในหุบเขาตรงหน้าได้สลายไปแล้ว แต่สิ่งที่มาแทนที่คือแสงไฟลุกไหม้พื้นที่กันดารนี้ฉินอวิ๋นฟานอิงต้นไม้ เล่นหีบเพลงปากในมือ สีหน้ากลับคืนมามากแล้วเห็นชัดว่าศึกในวันนี้คือความล้มเหลวของพวกเขาทุกคน...แม้จะจัดการกับคู่ต่อสู้ที่ขวางทางได้แล้ว แต่พวกเขาก็สูญเสียมากเหมือนกันทหาร ระเบิด แล้วยังความกล้าหาญในการย่ำหนทางข้างหน้าอีกหมอทหารที่ติดตามมากำลังทำแผลให้ผู้บาดเจ็บ อู่จ้านพันแผลที่ท้อง กำลังพิงต้นไม้อีกฝั่งพักผ่อนเซี่ยงเส้าเหยียนบาดเจ็บหนักไม่เบา แต่เขายังดูมีชีวิตชีวา คล้ายไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก ยังคงเฝ้ายามอยู่ด้านนอกเหมือนเดิมในกระโจม กลิ่นคาวเลือดและสมุนไพรคละคลุ้งหานซิ่นกำลังนับจำนวนทหารทีละคน หลังจากยืนยันในตอนท้ายแล้วจึงมารายงานกับฉินอวิ๋นฟาน“รัชทายาท ข้าน้อยนับคนที่บาดเจ็บล้มตายแล้วขอรับ...” หานซิ่นเปิดสมุดในมือออก เวลานี้เขาเหมือนกับกำลังอ่านบัญชีเป็นตาย สีหน้าไม่สู้ดี“ศึกครั้งนี้ฝั่งเราเสียชีวิตจากการต่อสู้สิบแปดคน บาดเจ็บเจ็ดสิบสองคน รวมกับองครักษ์อู่และอ
“รัชทายาท ยี่สิบลี้ข้างหน้าก็คืออาณาเขตของต้าเหลียงแล้วขอรับ”หานซิ่นยืนยันกับแผนที่แวบหนึ่ง ก่อนจะขี่ม้ามาถึงข้างตัวฉินอวิ๋นฟาน ชี้ไปตรงหน้าพร้อมพูด“ถึงได้สักที”ฉินอวิ๋นฟานบิดขี้เกียจ ตบเอวหลังที่ชักจะยืดตรงไม่ได้ชีวิตบนหลังม้าทรมานแท้ ๆดีที่อีกไม่ไกลก็ถึงจุดหมายแล้ว ระยะทางสั้น ๆ เขายังพอทนได้“เร่งความเร็ว รีบไปถึงก่อนตะวันจะตกดินเถอะ”......“ทำไมยังไม่มาอีกนะ”เมืองเหยียนหลิง ชายแดนต้าเหลียงเหลียงจื่อฝูเล่นผมยาวตรงจอนหูด้วยความเบื่อหน่ายเต็มประดา ทอดสายตามองไปไกล ๆ อย่างร้อนรนบนกำแพงเมืองวิสัยทัศน์ไร้ขีดจำกัด เห็นทิวทัศน์หลายสิบลี้...ทว่านางยืนอยู่ตรงนี้มาสองวันแล้วก็ยังไม่เห็นมีคนมา“องค์หญิงสิบสาม ข้างนอกอากาศเย็น หรือไม่พวกเราก็กลับไปอยู่ในห้องเถอะเจ้าค่ะ”นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยเสียงแผ่วตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว อุณหภูมิลดลงเร็วมาก เริ่มมีลมหนาวมาทว่าเหลียงจื่อฝูสวมเพียงชุดผ้าโปร่ง จะต้านทานลมหนาวได้อย่างไร“ไม่เป็นไร”เหลียงจื่อฝูโบกมือ ไม่คิดจะฟังเสี่ยวชิงกลับมองไปด้านหน้าสองสามทีด้วยความคาดหวังปากยิ่งพึมพำไม่หยุด “ฟานเอ๋อร์ เจ้าคงไม่เจอ
”คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับอันตรายมากมายอย่างนี้ตลอดทาง”ในเมืองเหยียนหลิง ขบวนรถยาวเป็นสายถึงจะเป็นแค่เมืองชายแดนเล็ก ๆ แต่ในตอนกลางคืนที่นี่ยังคงสว่างไสวครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะฐานที่เป็นพื้นที่การค้าของต้าเหลียง ปกติขบวนพ่อค้าจะต้องผ่านจุดนี้ เช่นกัน ในฐานะที่เป็นประตูหน้าของต้าเหลียง เหยียนหลิงย่อมคึกคักเป็นพิเศษ ต่างจากที่อื่น ๆฉินอวิ๋นฟานเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน ปลดปล่อยความอ่อนล้าทั่วสรรพางค์กาย ผ่อนคลายมากกลับเป็นเหลียงจื่อฝูที่เอาแต่ตกใจและถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ ทำจนเขาร้อนรุ่มขึ้นมาเล็กน้อยถ้ารู้แต่แรก เมื่อกี้เขาก็ไม่เล่าเรื่องให้นางฟังแล้ว เจ้าปากรั่วนี้พูดไม่หยุดจริง ๆ“อาจ้าน หานซิ่น พวกท่านไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว”ฉินอวิ๋นฟานเมินเหลียงจื่อฝูที่กำลังบ่นอยู่ข้าง ๆ แต่หันไปมองทางอู่จ้านและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังหลังจากเข้าเมืองเหยียนหลิง พวกเขายังคงตึงเครียดเหมือนเดิม คล้ายเตรียมตัวประจัญบานอย่างไรอย่างนั้น“เสี่ยวฟานไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก”อู่จ้านโบกมือ ตาเหยี่ยวสอดส่องเบื้องหน้าไม่หยุดบางทีถนนสายนี้อาจมีอันตราย ทำให้เขาระแวดระวังมากกว่าเดิม เวลานี้เดินตามฉินอวิ๋นฟา
นับจากเริ่มมีความทรงจำจนถึงเวลานี้ เขาไม่เคยเจอหน้าเสด็จน้าในภาพจำมาก่อน...การมาต้าเหลียงครั้งนี้อาจสานสัมพันธ์อันดีกับเหลียงเทียนอี้ได้ ไม่แน่ว่าจะมีส่วนช่วยแผนการใหญ่ของเขา“เอาละ ถึงแล้ว”ขณะกำลังคิด เหลียงจื่อฝูก็หยุดลงเป็นเวลาดึกแล้ว พวกเขาย่อมไม่เดินทางไปเมืองหลวงในยามวิกาลเช่นนี้ ดังนั้นเหลียงจื่อฝูจึงเตรียมโรงแรมห้าดาวในเครือต้าเฉียนเหิงไท่ที่เมืองเหยียนหลิงให้เข้าพักแน่นอน เครือโรงแรมเหล่านี้คือที่พักระดับสูงสุดในโลกปัจจุบัน ซึ่งจะได้ประสบการที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับฉินอวิ๋นฟานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อได้เข้าพักโรงแรมหรูหราเช่นนี้ มันช่างสุขีอะไรอย่างนี้“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”ครั้นเข้าประตูมาก็ได้ยินพนักงานต้อนรับหน้าประตูทักทายด้วยไมตรีพวกนางใส่ชุดผาว ยืนเรียงหน้ากระดาน เผยขาขาวเรียบเนียน กลายเป็นทิวทัศน์ที่ดึงดูดตามากผู้นำคือแม่นางเสี่ยวฮัวมัดผมหางม้า แต่งหน้าบาง ยามแย้มยิ้มจะมีลักยิ้มตรงมุมปากบาง ๆ“รัชทายาท พวกเราได้รับแจ้งว่าท่านจะเข้าพักนานแล้ว จะนำทางท่านเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ”เสี่ยวฮัวค้อมตัวด้วยความเคารพนบนอบ ก่อนจะนำทางฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆขึ้นล
“เช่นนั้นรัชทายาทก็พักผ่อนให้สบายเถอะเจ้าค่ะ เสี่ยวฮัวขอตัวก่อน”หลังจากพามาถึงหน้าห้องแล้ว เสี่ยวฮัวก็ค้อมอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินแช่มช้อยจากไป ทิ้งกลิ่นหอมบุปผาตลอดทางฉินอวิ๋นฟานใจลอยไปเล็กน้อย แต่ภายใต้การจับจ้องของดวงตากลมโตเป็นประกายคู่นั้นของเหลียงจื่อฝูก็เบือนหน้าไปแบบแข็งทื่อและเปิดประตูออก“เสด็จน้าสิบสาม ทำไม คืนนี้ท่านคิดจะพักกับข้าหรือ?”หลังจากเปิดประตูออก ฉินอวิ๋นฟานก็พูดพลางยิ้มร้าย “ข้าได้ยินว่าห้องนี้มีเตียงแค่หลังเดียว”“หัวเจ้าวัน ๆ คิดแต่อะไร?” เหลียงจื่อฝูพวงแก้มแดงระเรื่อ มอบลูกกรอกให้กับฉินอวิ๋นฟานทีหนึ่งเมื่อไม่มีคนนอก นางยิ่งสัมผัสใกล้ชิดกับฉินอวิ๋นฟานอย่างสบายใจ“แหม พยัคฆ์ไม่แสดงบารมีก็คิดว่าข้าเป็นแมวป่วยจริง ๆ”ฉินอวิ๋นฟานมิได้ขัดขืน กลับหยอกล้อเหลียงจื่อฝูโดยการเอื้อมมือไปจักจี้ใต้รักแร้ของนาง ทำจนเหลียงจื่อฝูหัวเราะตัวคดตัวงอไม่หยุด เหมือนการเล่นสนุกระหว่างเด็กน้อยสองคนที่สนิทสนม กระทั่งฉินอวิ๋นฟานไม่ทันระวังกระตุกถูกบาดแผลตรงท้องเข้าจึงสูดลมเย็นเข้าปากและหยุดมือ“เป็นอะไรไป? เจ็บมากหรือ?”เมื่อเห็นฉินอวิ๋นฟานทำหน้าบิดเบี้ยว รอยยิ้มบนใบหน้าของ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ