ไม่รู้ว่าเสียงปืนดังอยู่นานเท่าไร กระทั่งกำแพงของโรงเตี๊ยมกลายเป็นรูพรุนแล้วจึงหยุด“หยุด!”ฉินอวิ๋นฟานออกคำสั่งอีกหน เสียงปืนจึงเงียบลงยามนี้บนพื้นมีปลอกกระสุนกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด กลิ่นดินปืนฉุนกึกแสบจมูก!“อาเจ็ดเซี่ยง พวกท่านเข้าไปดูหน่อย” ฉินอวิ๋นฟานมองเซี่ยงเส้าเหยียนที่อยู่ด้านข้างแล้วออกคำสั่ง“รับทราบ!”เซี่ยงเส้าเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงชักกระบี่ในมือแล้วเข้าไปอย่างระมัดระวังผ่านไปครู่หนึ่งจึงลากตัวอู๋อีฝานกับอีกคนที่บาดเจ็บสาหัสออกมา“คนชุดดำที่เหลือถูกกระสุนตายหมดแล้ว เหลือแค่พวกเขาสองคนนี้นี่แหละที่รอดมาได้”เซี่ยงเส้าเหยียนรายงานสถานการณ์พลางโยนตัวอู๋อีฝานลงกับพื้นอู๋อีฝานในเวลานี้เส้นผมสยายกระเซอะกระเซิง ไม่มีท่วงทำนองก่อนหน้านี้แล้ว สะบักสะบอมถึงขีดสุด เสื้อผ้าบนกายขาดวิ่น สองขายังถูกกระสุนมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด“อื๊อ!”อู๋อีฝานนั่งเผละลงกับพื้น ไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้น ได้แต่ใช้สองตาแดงก่ำจ้องฉินอวิ๋นฟานเขม็งเขาไม่ยอม เขาแค้น!เพราะเหตุใดเขาจึงพ่ายแพ้แก่ฉินอวิ๋นฟานครั้งแล้วครั้งเล่า?ทั้งที่เขาเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อภารกิจลอบสังหารนี้ฝึกซ้
สำหรับนักรบพลีชีพที่เตรียมตัวตายแต่แรก ปากของเขาจะปิดสนิทเหมือนแผ่นเหล็กเชื่อมอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีทางถามได้ความอะไร ความจริงฉินอวิ๋นฟานพอรู้คร่าว ๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พูดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดมิสู้เก็บไปเสียให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลังว่าแล้วก็ปลายตามองไปทางเซี่ยงเส้าเหยียนที่อยู่ด้านข้าง “อาเจ็ดเซี่ยง ที่เหลืออีกคนยกให้ท่านก็แล้วกัน”“เข้าใจ”เซี่ยงเส้าเหยียนนัยน์ตาเย็นชาถึงขีดสุด ชักคมมีดยาวออกมาช้า ๆ“เดี๋ยวๆ ข้า ข้าจะสารภาพทั้งหมด!”“นี่เป็นคำสั่งของผู้นำตระกูลเหอกับองค์ชายรอง พวกเขาให้พวกเราลงมือ!”ชายชุดดำสูญเสียความซื่อสัตย์พื้นฐานไปแล้ว แต่อันที่จริงมิสู้บอกว่าต่อหน้าความตาย ความซื่อสัตย์มันไม่มีประโยชน์!แม้จะตัดสินใจแต่แรก ทว่าความสะพรึงกลัวจากการเผชิญหน้าต่อความตาย ไม่ว่าใครก็ต้องอยากอยู่ต่ออันเป็นความปรารถนาพื้นฐานอยู่แล้วบางที... ถ้าสารภาพทุกอย่างออกมาหมดอาจแลกประโยชน์ได้หน่อยสัก พยายามหาโอกาสให้ตัวเองมากหน่อยทว่า...ความคิดที่ชายชุดดำมีต่อฉินอวิ๋นฟานเรียบง่ายเกินไป“เหอะ... ที่เจ้าพูดมา ข้าก็รู้เหมือนกัน!”ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าคงเดิม ยืนกอดอกช
เหอกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างยังไม่สามารถดึงสติกลับมาจากภาพสยองขวัญศีรษะคนเลือดโชก ใบหน้าซีดเซียวปราศจากสีเลือดหลังจากได้ยินถ้อยคำของน้องสามเหอเหวินเย่าแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะจับมือฉินอวิ๋นฮุย“เสี่ยวฮุย ตอนนี้เชื่อฟังน้าสามของเจ้าเถอะ อย่าเลอะเลือนอีกเลย”นางเหลือฉินอวิ๋นฮุยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรอีก อยู่บนโลกนี้ไปก็ไม่มีความหมายแม้ว่าในใจส่วนลึกยังคิดแค้นฉินอวิ๋นฟานที่สังหารฉินอวิ๋นผู่ แทบอยากถือดาบแก้แค้นด้วยตัวเองแต่ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยน ย่ำแย่จนมิอาจรับมือได้อย่างสบาย ๆ อีกหากเกิดพลาดอะไรขึ้นมา เกรงว่าตระกูลเหอจะต้องประสบหมื่นเคราะห์มิอาจหวงคืนดังนั้นนางจึงระงับความอาฆาตแค้น จัดการอย่างใจเย็นจะเหมาะสมที่สุด“อื่ม...”ฉินอวิ๋นฮุยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ทำตามที่น้าสามบอกแล้วกัน ให้ฉินอวิ๋นฟานหลงระเริงอีกสักระยะ”ดูเหมือนว่าแผนการชิงบัลลังก์จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังถูกไท่ซั่งหวงตักเตือน ก็ไม่กระตือรือร้นอยากชิงบัลลังก์อย่างนั้นแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงพวกเขาที่ยังประวิงเวลาฉินอวิ๋นฟานเพื่อรอโอกาส แน่นอนว่ายังมีเฮ่อชินอ๋
ไท่ซั่งหวงพยักหน้าพูดหลังจากฉินอวิ๋นฟานแสดงฝีมือแข็งกร้าวออกมา ไท่ซั่งหวงยอมรับฉินอวิ๋นฟานนานแล้ว ตำแหน่งสูงสุดนี้ต้องเป็นของฉินอวิ๋นฟานอย่างแน่นอนฉินอวิ๋นฟานคือคนหนุ่มมากปณิธาน สติปัญญาเหนือคน แต่ยังอ่อนหัดนิด นี่จึงเป็นเหตุให้ฉินอวิ๋นฟานฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า เร่งรัดให้เติบโตเวลานี้มีคุณสมบัติในการเป็นฮ่องเต้ครบถ้วนแล้วและถึงเวลาแล้วจริง ๆ“จริงสิ ทางเจ้าหกมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?” จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หันไปถามกับเฉาเจิ้งฉุนแม้ที่กล่าวถึงคือองค์ชายหก หากที่สนใจจริง ๆ กลับเป็นความเคลื่อนไหวของเฮ่อชินอ๋องฉินอ้าวเฉาเจิ้งฉุนรู้ในทันใด เขาประสานมือพูด “ทูลไท่ซั่งหวง ระยะนี้ท่านอ๋องไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ?”ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ สีหน้าฉงนฉงาย “หรือว่าเขาจะให้ฟานเอ๋อร์ถึงต้าเหลียงอย่างสวัสดิภาพจริง?”นี่ต่างหากที่ทำให้เขาสนใจที่สุดตามหลัก ราชสีห์ที่เผยกรงเล็บจะไม่ปล่อยผ่านโอกาสโดยไม่ทำอะไรหากไม่วางมือไม่สนใจ ก็คือแอบทำงานใหญ่ลับ ๆชัดเจน ฉินอ้าวจัดเป็นอย่างหลัง“จับตาดูให้ดี ถ้ามีข่าวของเขาค่อยมารายงาน”ไท่ซั่งหวงโบกมือแล้วทิ้ง
สวบสาบ...เสียงฝีเท้าดังก้องระเบียงทางเดินมืดสนิทถังเจิ้นไห่เดินเร็วทะลุเรือนด้านหลัง เจอเฮ่อชินอ๋องฉินอ้าวอยู่ที่ใต้ต้นท้อในท้ายที่สุด “เมื่อครู่ทางตระกูลเหอส่งข่าวมา...”ถังเจิ้นไห่ประสานมือรายงานกับฉินอ้าวที่กำลังดื่มชาอย่างใจเย็น“ภารกิจลอบสังหารของชายชุดดำล้มเหลวแล้วขอรับ”ถังเจิ้นไห่อารมณ์ซับซ้อน สีหน้ายิ่งร้อนรนแต่ขณะเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าฉินอ้าวกลับมีสีหน้าสุขุม ปราศจากริ้วอารมณ์กับข่าวนี้สักนิด“ทุกอย่างอยู่ในความคาดหมายของข้า...”ฉินอ้าวเอ่ยพลางเป่าไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากปากถ้วย ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “แผนพวกนี้ของพวกเขาไม่สำเร็จหรอก”ถังเจิ้นไห่ได้ยินดังนั้นจึงผงะทันใด รีบสาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงใจเย็นเช่นนี้เล่าขอรับ?”ต้องรู้ว่าเวลานี้พวกเขาขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก!สัตว์ร้ายที่เผยกรงเล็บแต่ไม่สามารถตะครุบเป้าหมาย เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็คือสูญเปล่า!“ไม่ต้องรีบ”ฉินอ้าวกล่าวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าฉายรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “หรือเจ้าคิดว่าข้าจะหวังให้พวกเหอเหวินเย่าต่อกรกับฉินอวิ๋นฟานได้จริง?”มิสู้บอกว่าเขาไม่ได้ฝากความหวังกับอง
แต่เมื่อไม่มีตะวันร้อนแรงแผดเผาคนกลับเย็นสบายมากขึ้นไม่น้อย“อาจ้าน เมื่อวานได้พักผ่อนเต็มอิ่มหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานเหล่ไปมองอู่จ้านพลางถามเบา ๆ“เสี่ยวฟานเป็นห่วงแล้ว ต้องยอมรับเลยว่าเหล้าผลไม้ที่ทางโรงเตี๊ยมระยะร้อยลี้รสเยี่ยมจริง ๆ”อู่จ้านรับกับสายลมเย็นใบหน้าอิ่มเอิบ นึกถึงรสสุราหวานที่ดื่มเมื่อคืนไม่หยุดจะบอกว่าง่ายมันก็ง่ายจริง แต่ผสมผลไม้แช่อิ่มกันสุราฤทธิ์แรงก็พอแล้วแต่หลักสำคัญอยู่ที่กรรมวิธีของผลไม้แช่อิ่ม จะหวานเกินไปไม่ได้ ฝาดเกินไปก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อรสสัมผัสในภายหลังด้วยประการละฉะนี้ โรงเตี๊ยมระยะร้อยลี้จึงดังพลุแตก เมื่อแขกเหรื่อจากทุกสารทิศมาถึงจะต้องลิ้มรสสักกา ในตอนที่กำลังสนทนาอย่างผ่อนคลาย จู่ ๆ เซี่ยงเส้าเหยียนก็สังเกตอะไรได้ จึงแซงม้าขึ้นหน้ามาขวางอยู่ตรงหน้าพวกฉินอวิ๋นฟาน“อาเจ็ดเซี่ยง? มีอะไรหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวออกเสียงเซี่ยงเส้าเหยียนมีพลังยุทธ์และกำลังสูงสุดในหมู่พวกเขา หากมีอันตรายเข้ามาใกล้จากภายนอก เขาจะรู้ได้ในทันที“ไม่ค่อยถูก กลิ่นอายที่ส่งมาจากข้างหน้ามันประหลาด ๆ”เซี่ยงเส้าเหยียนหรี่ดวงตาลงแล้วมองประเมินด
เซี่ยงเส้าเหยียนในใจครั่นคร้าม เหงื่อกาฬหยดหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผากนี่มันเป็นมาอย่างไรกันแน่?แม้จะเป็นเขาผู้มีฝีมือสูงส่ง กลับถูกพลังที่เล็ดลอดออกมาของบุรุษตรงหน้าข่มได้?“รีบถอยเร็ว!”เมื่อเซี่ยงเส้าเหยียนตระหนักถึงอันตรายก็ดึงอู่จ้านให้รีบถอย พวกเขาถอยหลังไปสิบก้าวเต็ม ๆ“เกิดอะไรขึ้น?”อู่จ้านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเซี่ยงเส้าเหยียนตื่นตระหนกเช่นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจอกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจยังรับมือได้อย่างสบายใจเฉิบ“คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!”เซี่ยงเส้าเหยียนหน้าขรึม ชักกระบี่คู่กายออกมาอย่างเร็วรี่ใช้สิ่งนี้เป็นสัญญาณ ฉินอวิ๋นฟานที่ควบคุมอยู่ข้างหลังรู้สึกถึงความผิดปกติด้วย“ทหารทั้งหลายเตรียมตัวให้ดี!”ฉินอวิ๋นฟานออกคำสั่งชั่วขณะ กองพลที่อยู่เบื้องหลังต่างหยิบศาสตราวุธ เข้าสู่สภาวะพร้อมรบในพริบตา“ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะไม่ราบรื่นอย่างนั้น”ฉินอวิ๋นฟานพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพียงแต่เขารู้สึกประหลาดใจมาก ต่อให้เป็นการปองร้าย แต่ทำไมถึงมีแค่คนเดียว? หรือมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้กับทหารหลายพันและเอเคสี่สิบแปดได้จริง?ครั้นชายตามองไปที่สูงด้านบนของหุบเ
และเซี่ยงเส้าเหยียนก็เป็นเช่นนี้เขาที่ทะลวงเขตปรมาจารย์ได้หลายปี พยายามฝึกซ้อมอยู่เสมอ ลองเดินไปอีกขั้นเข้าสู่เขตเทวา ทว่าผ่านไปหลายปีอย่างไรก็ไม่เห็นผลนอกจากเซี่ยงเส้าหลงผู้นำตระกูล แม้จะเป็นเขาซึ่งมีพลังรบขั้นยอดก็ยากจะก้าวหน้าทว่ายามนี้ประสาทสัมผัสของเขารู้สึกถึงความกดดันและความขย่มขวัญที่มาจากเขตเทวาแค่พลังรอบตัวก็ราวกับกำลังรัดลำคอ ทำให้เขาหายใจไม่ออกอันตราย!อันตรายมาก!“หรือว่าตระกูลเหอส่งเจ้ามา?!”อู่จ้านกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตวาดออกไปเมื่อวานเพิ่งกำจัดพวกอู๋อีฝานที่มาดักฆ่า ไม่นึกว่าวันนี้จะมาอีกซ้ำยังเป็นยอดฝีมือระดับเขตเทวา!พลังล้ำลึกมิอาจคาดเดา มิใช่รับมือได้ง่าย ๆ!“เหอะ ๆ...”นิรนามแสยะยิ้ม ค้อมตัวหยิบวัตถุรูปร่างเหมือนพลองยาวซึ่งมีผ้าสีดำพันอยู่แล้วค่อย ๆ แกะออก “ใครส่งข้ามาก็ไม่สำคัญ เป้าหมายข้าคือฉินอวิ๋นฟานแค่คนเดียว พวกเจ้าไม่อยู่ในขอบเขตการล่าของข้า!”เสียงของเขาแผ่วเบานุ่มละมุนกลับพกพาจิตสังหารชวนให้คนขนพองสยองเกล้าพึ่บ...ครั้นแกะออก ผ้าต่วนสีดำที่พันพลองเหล็กอยู่ก็ลอยละลิ่วไปตามสายลมพลองเหล็กประกายทองวับวาว เปล่งประกายคมไม่สิ้นสุดดังปืนท
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ