เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “เสด็จปู่ หากทรงรับปาก เงินจะมิใช่ปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? เจ้าคิดจะควักกระเป๋าตัวเองมาชดเชยส่วนที่ขาดหายไปหรือ?”ไท่ซั่งหวงถามด้วยใบหน้าสงสัย“ควักกระเป๋าตัวเองย่อมไม่เป็นปัญหาพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะฤดูเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์อีกแค่หกเดือน หากหม่อมฉันไม่ออกเงิน จะมิสามารถทำอย่างที่พูดได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ดังนั้นหม่อมฉันสามารถสำรองเงินนี้ได้ แต่หม่อมฉันมีเงื่อนไขเหมือนกัน”“ข้อแรก หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว หม่อมฉันต้องได้เงินส่วนนี้กลับคืนมาพ่ะย่ะค่ะ เพราะหม่อมฉันต้องนำรายได้ของเมืองการค้าทั้งสามเมืองจำนวนมากมาชดเชยท้อง หากหม่อมฉันชดเชยส่วนที่ขาดหายต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ไม่เหมาะสม”“ข้อที่สอง ต้องให้มู่หรงโหลวพี่ชายชายาของหม่อมฉันรับหน้าที่รองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้าย รับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด มีเพียงเช่นนี้หม่อมฉันจึงจะวางใจมอบเงิน”“อื่ม เหมือนว่าจะไม่เลว ตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้ายว่างเว้นมานานกว่าครึ่งปีพอดี มู่หรงโหลวคือคนของตระกูลมู่หรง ชำนาญการจัดการบัญชี ทั้งทำงานที่เมืองจัวมานานอย่างนั้น เหมาะจะดำร
เห็นขุนนางใหญ่เอนเอียงไม่น้อย ไท่ซั่งหวงรู้สึกตกตะลึงยิ่งนักเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชวงศ์ต้าเฉียนมาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นคนเช่นไรบ้าง? ไม่เคยเห็นสถานการณ์ใดบ้าง?การดำเนินงานด้วยวิธีการร้ายกาจย้อนทิศทางนี้ของฉินอวิ๋นฟานทำให้เขาตกตะลึงไม่หยุด ทำให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานใช้ข้อได้เปรียบเด็ดขาดของตัวเองจูงจมูกบรรดาขุนนางผู้คร่ำหวอด แล้วยังถึงขั้นที่ทำให้ขุนนางใหญ่ทั้งหลายปกป้องเขาได้?นี่ต้องมีจิตใจระดับไหน? มีฝีมือขั้นไหน? มีสติปัญญาในการวางแผนเช่นไร จึงจะวางแผนอยู่ในกระโจม ตัดสินแพ้ชนะไกลหมื่นลี้ได้เช่นนี้? การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ การต่อสู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งในราชสำนัก ภายใต้การผลักดันของฉินอวิ๋นฟาน ทุกอย่างแสดงออกมาจนสิ้น ทำให้ไท่ซั่งหวงได้เปิดหูเปิดตาโดยแท้หากมองภาพราชสำนัก นอกจากพวกฉินอวิ๋นฮุย ถังเจิ้นไห่ที่สีหน้าไม่สู้ดี นอกนั้นบ้างกำลังดูเรื่องสนุก บ้างกำลังรอบทสรุป!“ในเมื่อคนส่วนมากไม่มีความเห็นกับการเสนอของฟานเอ๋อร์ เช่นนั้นก็สนับสนุนมู่หรงโหลวดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้ายตามที่ฟานเอ๋อร์ต้องการก็แล้วกัน” ไท่ซั่งหวงเอ่ยเสียงหนัก “แน่นอน ด้วยความพยาย
เมื่อฉินอวิ๋นฟานกล่าวออกมา ทุกคนในที่นั้นอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ขุนนางมากมายยากจนทั้งชีวิต จะซื้อเรือนสักหลังก็ยังเกินกำลัง ใช่ว่าเรือนราคาแพง หากเบี้ยหวัดของพวกเขามิอาจทำให้พวกเขามีกำลังซื้อได้แน่นอน พวกทุจริตมีคนหนุนหลัง สวามิภักดิ์ต่อขั้วอิทธิพลตระกูลใหญ่ย่อมซื้อเรือนไหว ส่วนขุนนางระดับสองขึ้นไป ราชสำนักจะมีจวนที่พักให้โดยเฉพาะ โดยมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันตามระดับดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงใช้แนวคิดบางแนวคิดของสมัยใหม่มอบสวัสดิการให้กับเหล่าขุนนางมือสะอาดด้วยวิธีการตามปกติ ต่อให้ไม่สามารถดึงพวกเขาเข้าพวกได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นขุนนางตงฉินของต้าเฉียน สามารถทำงานให้ต้าเฉียนอย่างเต็มกำลัง“จริง จริงรึ?!”ท่ามกลางขุนนางที่ฮือฮา จู่ ๆ ก็มีชายร่างกายผ่ายผอมอ่อนแออายุประมาณสี่สิบเอ่ยปากถามฉินอวิ๋นฟานด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากรอบตาแดงระเรื่อ“ท่านคือ?”ฉินอวิ๋นฟานจ้องขุนนางวัยกลางคนตรงหน้า ทำหน้าประดักประเดิด ในความทรงจำของเจ้าของร่างมิได้บันทึกขุนนางเหล่านี้อยู่ นับจากเขาทะลุมิติมาก็จำคนในราชสำนักได้ไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนจะเป็นสมัครพรรคพวกที่เขาสั่งสมทีละน้อย“ข้าน้อยรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวาหม่าอว
“นี่ นี่มิเท่ากับการจ่ายเงินเป็นรายเดือนหรือ?!”หม่าอวิ๋นเฟยพูดด้วยความเหลือเชื่อ “ต่อให้จ่ายด้วยเบี้ยหวัดหนึ่งในห้า แต่นั่นก็ยังเยอะกว่ารายได้ในปัจจุบันของเราตั้งเยอะ? อีกอย่าง อีกอย่างยังจะได้เรือนอีกหลังหนึ่ง?”ยามนี้ ขุนนางทั้งหลายในที่นั้นต่างนิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว นี่คือความมั่งคั่งที่ตกลงมาจากสวรรค์ ได้เรือนมาหลังหนึ่งแบบแทบไม่มีความกดดันใด ๆ“เอ่อ คือว่า รัชทายาท หากมีเรือนอยู่แล้ว ยังจะได้รับสวัสดิการนี้ได้อีกหรือไม่ขอรับ?”“นั่นสิ รัชทายาท แม้เราส่วนมากจะมีที่พักอยู่แล้ว แต่ผ่านมานานไร้การซ่อมบำรุง ทรุดโทรมมาก หากได้เรือนที่พักแห่งหนึ่งนั่นจะยิ่งสมบูรณ์แบบขอรับ!”“ก็นั่นนะสิ ในเมื่อราชสำนักจะสร้างเรือนให้ เช่นนั้นพวกเราก็สมควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมนี่!”ขุนนางใหญ่บางคนกำลังอิจฉา แสดงความละโมบโลภมากออกมาจนสิ้น พวกเขาไม่อยากพลาดโอกาสได้บ้านราคาถูกเช่นนี้หรอกนะ แทบจะได้มาเปล่า ๆ นี่ยังเป็นสินทรัพย์ถาวร ยิ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ยังสามารถสืบทอดให้ลูกหลานได้!ฉินอวิ๋นฟานจ้องขุนนางในราชสำนักที่โลภมิแหนงหน่ายทั้งหลาย ในใจเต็มไปด้วยความรังเกียจ หรือว่าพ
วันนี้ร่ายความผิดร้ายแรงสามประการของฉินอวิ๋นฟานมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นฉินอวิ๋นฟานฉายเดี่ยวอยู่คนเดียวเล่า? แถมยังทำให้เขาได้ตำแหน่งระดับสามและตำแหน่งระดับสองที่สำคัญ ตอนนี้ยังจะดึงคนเข้าพวกได้อีกกลุ่มหนึ่ง?“ทูลไท่ซั่งหวง กระหม่อมคิดว่าแผนการของรัชทายาทไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้นถังเจิ้นไห่รีบก้าวออกมาพูดสกัด “อนาคตมีปัจจัยไม่แน่นอนมากมาย หากให้คำมั่นผลประโยชน์มากมายเช่นนี้แต่แรก ถึงเวลารายได้ไม่แน่นอน ผู้ใดจะเป็นคนออกเงินพวกนี้กันเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”ในเมื่อสวัสดิการและนโยบายนี้ของฉินอวิ๋นฟานเตรียมไว้เพื่อขุนนางยาจก เช่นนั้นก็หาทางสกัด เพราะถึงจะเก็บคนพวกนี้ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ ก็จะไม่ให้ฉินอวิ๋นฟานสำเร็จดังหวังเช่นกัน!ทว่าพวกเขาประมาทความมั่นใจและฝีมือของฉินอวิ๋นฟานเกินไป ยิ่งพวกเขาเป็นเช่นนี้ ขุนนางมือสะอาดก็ยิ่งเอนเอียงไปทางฉินอวิ๋นฟาน ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อฉินอวิ๋นฟาน!“มีอะไรไม่เหมาะสม? เบี้ยหวัดหลายเท่าก็ให้แล้ว ยังจะติดเงินเล็กน้อยนี้?”ไม่รอให้ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก จางเต้าหลินก็ก้าวออกมาอยู่ฝั่งฉินอวิ๋นฟานอีกครั้ง เขาเอ่ยเสียงหนัก “แม้ราชสำนักจะไม่ออ
“อ้อ?”ไท่ซั่งหวงสีหน้าชะงัก รูม่านตาหดเล็กฉับพลัน หรือว่าก่อนหน้านี้จะเป็นการปูทางของฟานเอ๋อร์? เขายังมีจุดประสงค์อื่น? หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้านี่จะร้ายเกินไปแล้ว!อยู่มาจนป่านนี้ กลับเดาทางลูกไม้ที่งัดออกมาไม่มีวันหมดของฟานเอ๋อร์ไม่ออก? เดิมนึกว่าฟานเอ๋อร์แค่จะใช้ผลประโยชน์แลกกับตำแหน่งประจวบเหมาะ เขาอยากปูทางให้ฟานเอ๋อร์ขึ้นครองราชย์ จึงร่วมประสมโรงออกคำสั่งและนโยบายทางการเมืองบางประการไม่นึกว่าเจ้านี่จะส่งเสียงทางออก โผล่ทางตก? หวังใหญ่กว่านั้น?“ปฏิรูปและจำกัดอย่างเหมาะสมสักหน่อย?”ฉินอวิ๋นฮุยเกิดลางสังหรณ์ร้าย เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบถาม “น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่ายังไง? คิดจะมาไม้ไหนอีก?”เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เมินฉินอวิ๋นฮุย แต่หันไปยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดกับไท่ซั่งหวงแทน “เสด็จปู่ โบราณว่าไว้ พูดแต่อุดมคติแต่ไม่พูดถึงแนวทางการปฏิบัติที่ จะไม่เป็นการลวงหลอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อื่ม คือเหตุผลเช่นนี้!”ไท่ซั่งหวงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยขุนนางทั้งหลายต่างหันไปมองฉินอวิ๋นฟาน ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฟานจะมาไม้ไหนกันแน่ เจ้านี่ไม่เดินตามทางปกติ ทุกคน
อีกอย่าง ถึงขุนนางพวกนี้จะไม่ได้เพิ่มเบี้ยหวัดและสวัสดิการ ก็คงไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองฉกเงินเข้ากระเป๋า นี่มิเท่ากับยื่นหัวไปให้ตัดหรือ?!เขาตอบด้วยหน้าตาเหยเก “เสด็จปู่ตรัสถูกต้องแล้ว ในฐานะที่เป็นขุนนางของต้าเฉียน การเคารพกฎระเบียบ ทำงานอย่างสุจริตคือหน้าที่ที่ขุนนางทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติ”“คนอื่นเล่า? มีใครไม่เห็นด้วยหรือไม่?”ความมั่นใจล้นทะลักออกมาจากใบหน้าของฉินอวิ๋นฟาน เขาเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง กวาดสายตามองทุกคน ความน่าเกรงขามหนักหน่วงนั้นทำให้ทุกคนครั่นคร้ามถึงที่สุด เงียบเป็นเป่าสาก“ไม่ ๆ ๆ จะมีความเห็นได้ยังไง? นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องทำอยู่แล้วขอรับ!”“นั่นสิ! รัชทายาทวางใจได้เลย พวกเราเป็นขุนนางต้าเฉียน ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทำงานในหน้าที่และตั้งใจบริการประชาชนของต้าเฉียนแน่นอนขอรับ!”“รัชทายาทเพิ่มเบี้ยหวัดให้เรามากขนาดนั้นแล้ว พวกเราย่อมทำงานเต็มที่ จะทำเรื่องละเมิดกฎหมายได้อย่างไรเล่า!”......ในที่นั้นมีใครบ้างที่ไม่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ? พวกเขาเชี่ยวชาญการอยู่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างที่สุด คือเรื่องที่ทำบ่อยที่สุด ต่อให้ฉินอวิ๋นฟานไม่ร้องขอ พวกเขา
ครั้นฉินอวิ๋นฟานเสนอขึ้นมาก็คือจะให้ลิ่งหูเสี่ยวดำรงตำแหน่งเจ้ากรมโยธา ไท่ซั่งหวงหนังตากระตุกรัว ๆ หกกรมของต้าเฉียนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงมีอำนาจสูงส่ง ยิ่งเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่ต่าง ๆดังนั้นคนที่นั่งตำแหน่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก ว่างได้ แต่จะเลือกคนอย่างไม่คิดให้รอบคอบไม่ได้เด็ดขาด อนึ่งต้องสร้างความสมดุลรอบด้าน มิเช่นนั้นจะทำให้ตระกูลใหญ่บางตระกูลไม่พอใจอย่างหนักใช่ว่าเขาไม่ยินดีช่วยฉินอวิ๋นฟาน แต่เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ต่อให้เขารู้ว่าลิ่งหูเสี่ยวมีความสามารถจริง และเหมาะกับตำแหน่งนี้มาก ทว่าเขาไม่สามารถตกปากรับคำฉินอวิ๋นฟานได้โดยง่าย“รัชทายาท ท่านจะโลภเกินไปแล้วกระมัง?”ถังเจิ้นไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานลงมือกับตำแหน่งเจ้ากรมโยธา จึงก้าวออกมาแบบไม่ลังเล ท่านอ๋องตัดสินใจขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว ย่อมต้องพยายามคว้าทุกตำแหน่งที่มีประโยชน์ต่อพวกเขามาให้หมดฉินอวิ๋นฟานทั้งตั้งเมืองการค้าสามเมือง ทั้งปฏิรูประบบการเกษตรทั้งหมด เรียกได้ว่ามอบกำไรให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเป็นกอบเป็นกำ ส่วนเขาไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไป เช่นนั้นพวกเขาจะตกเป็นฝ่
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ