ฮึ่ม ๆ ๆ ๆ...“เสี่ยวฟาน คนมากันครบแล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งเตรียมจะโต้ตอบเซียวเทียนติ่ง อู่จ้านก็พาเหล่าทหารมาถึง เมื่อฉินอวิ๋นฟานเห็นบรรดาทหารที่เป็นระเบียบเรียบร้อยผ่านการฝึกอย่างมีแบบแผนก็คลี่ยิ้มถึงพอใจเขาเอ่ยเสียงเรียบ “ดีมาก อาจ้าน ตอนนี้ท่านรีบนำคนไปยังเมืองหลิงปี้ด้วยตัวเอง จับตัวคนที่เกี่ยวข้องในจวนเจ้าเมืองมาให้หมด ผู้ใดขัดขืน ฆ่าได้ทันที!”“รับทราบ!”อู่จ้านสีหน้าจริงจัง พาทหารสามร้อยคนและมือหน้าไม้ร้อยคนขี่ม้าศึกไปทางเมืองหลิงปี้อย่างว่องไวทันที!”ซี้ด...ครั้นเห็นภาพนี้ ชาวบ้านรอบด้านต่างใจเย็นไม่ได้แล้ว แม้เมืองหลิงปี้จะเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ เจ้าเมืองก็เป็นแค่ขุนนางราชสำนักระดับเจ็ด หากเป็นขุนนางราชสำนักที่กำกับดูแลโดยตรงฉินอวิ๋นฟานถึงขั้นลงมือกับจวนเจ้าเมืองหลิงปี้ด้วยความเร็วสายฟ้าแลบ เห็นชัดว่าต้องมีคนดวงจู๋ วิธีการของรัชทายาทช่างเป็นฝันร้ายของผู้กระทำมิชอบทุจริตจำนวนมากโดยแท้จังหวะที่เซียวเทียนติ่งเห็นทหารสามพันคนเต็ม ๆ มาถึงก็เข่าอ่อนทันที ความสิ้นหวังอัดแน่นอยู่ในใจ เขาเสียใจนัก ทำไมตัวเองต้องเอาตัวลงบ่อน้ำขุ่นนี้ด้วย? ทั้งเสียใจที่พูดกับถ้อยคำเหล่านั้นกับฉิ
“ขอบคุณรัชทายาทที่เป็นห่วง ข้าแค่ถูกตบหน้าทีเดียวเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมากหรอก”หลู่เซียงหลิงได้รับความห่วงใย อย่าให้บอกเลยว่ารู้สึกหวานชื่นแค่ไหน แม้นางจะถูกตบหน้าทีหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับที่ฉินอวิ๋นฟานเกรี้ยวโกรธหวานหลุดอีกหน ประหารผู้ใช้กำลังทันทีแล้ว บาดเจ็บเล็กน้อยนี้ไม่พอให้เอ่ยถึง“ก็บอกแล้วว่าต่อไปให้เรียกว่าพี่อวิ๋นฟานเหมือนจิ่นเอ๋อร์ เรียกรัชทายาทดูห่างเหินจังเลย ข้าไม่ชอบ!”ฉินอวิ๋นฟานพูดหน้าตาจริงจัง“อืม เซียงหลิงทราบแล้ว” หลู่เซียงหลิงเม้มริมฝีปาก พูดอย่างกระดากเล็กน้อย“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็ลองเล่ามาเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้ ข้าจะชำระคดีความตรงนี้นี่แหละ!”ฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน“อื้ม!”หลู่เซียงหลิงมาถึงข้างตัวหวังอันสือแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “อาจารย์หวัง พวกท่านเป็นยังไงบ้าง ยังไหวหรือไม่?”ตอนนี้หวังอันสือเจ็บปวดไปทั้งตัว ยังดีที่ไม่บาดเจ็บรุนแรง เขากะเผลกขาลุกขึ้นยืนแล้วจึงตอบหน้าเจื่อน “บาดเจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก”“เช่นนี้ก็ดี รัชทายาทให้ท้ายพวกเราด้วยตนเอง ในที่สุดความไม่เป็นธรรมของหวังเสี่ยวเหลยจะได้กระจ่างแล้ว”หลู่เซียงหลิงรีบพูด “พวก
เซียวเทียนติ่งห่อเหี่ยวใจโดยสิ้นเชิงแล้ว นิสัยกัดไม่ปล่อยของฉินอวิ๋นฟานทำให้เขาอัดอั้นตันใจถึงขีดสุดก่อนหน้านี้หลู่เซียงหลิงเกือบต้องแปดเปื้อนเพราะอ๋องน้อย ฉินอวิ๋นฟานวาวโรจน์กวานหลุดเขาเข้าใจได้ บัดนี้ชาวบ้านต่ำต้อยตายแค่คนเดียว ต้องถึงกับกัดไม่ปล่อยเชียวหรือ? เพื่อเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง จางหยิงชุนสามีน้องสาวญาติทางแม่ของเขาถูกฉินอวิ๋นฟานฆ่าตายอย่างคับข้องใจแล้ว หรือว่านี่ยังไม่พอ? ในฐานะที่เป็นรัชทายาทของต้าเฉียน แยกแยะไม่ถูกว่าใครคือคนกันเองหรือ?“เซียวเทียนติ่ง ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งบอกว่าข้าข่มเหงรังแกขุนนางต้าเฉียน บอกว่าข้าวางอำนาจบาตรใหญ่ บอกว่าข้าย่ำยีศักดิ์ศรีของผู้อื่น ไม่ผิดกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานมองไปทางเซียวเทียนติ่งแล้วถามต่อ และนี่ยังเป็นคำพูดที่เซียวเทียนติ่งเพิ่งกล่าวออกมาเองด้วย“ข้าน้อย...”นาทีนี้เซียวเทียนติ่งหัวใจหล่นตุบ อยากพูดแต่ก็หยุดอีก เขายังกล้าต่อปากต่อคำกับฉินอวิ๋นฟานที่ไหน? การแข็งข้อกับฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้ ผลลัพธ์เกรงว่ามีแต่ต้องตายสถานเดียว“เซียวเทียนติ่ง เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก เป็นเสาหลักของสำนักศึกษาหลวงต้าเฉียน เป็นเข็มศักดิ์สิทธิ์ของท้องสมุทร ก
ในที่สุดฉินอวิ๋นฟานก็ตระหนักถึงต้นตอของปัญหา เขาเอ่ยเสียงเย็น “นี่ก็คือเหตุผลที่พวกเจ้าขุนนางปกป้องกัน ทำผิดกฎหมายทั้งที่รู้ ไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”เซียวเทียนติ่งหรือจะไม่เข้าใจความคิดของฉินอวิ๋นฟาน? เขาส่ายหน้าพูด “พวกเราทุกคนต่างรู้ว่าการทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง และเข้าใจความคิดของท่าน แต่โลกในปัจจุบัน แคว้นใดบ้างที่ไม่เป็นเช่นนี้? ในสังคมที่ทะยานอยากในทรัพย์ ผู้ใดสามารถขัดเกลาคุณธรรมของตัวเอง?”“เมื่อปรากฏแสงดาวในโลกที่ถูกความมืดมิดปกคลุม นั่นก็คือความผิด หากไม่เลือกเดินทางตามกระแสหลักก็จะถูกเห็นว่าแปลกแยก ไม่มีวันงอกเงย ถูกกีดกันต่าง ๆ นานา กระทั่งยังอาจมีอันตรายถึงชีวิต”ตอนนี้ในใจของเซียวเทียนติ่งเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม เขาที่เพิ่งย่างเท้าขึ้นสู่เส้นทางอันรุ่งโรจน์ มีหรือจะไม่เคยมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่ความจริงกลับตีแสกกลางหน้าเขา ประสบการณ์ที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีทำให้อุดมการณ์ของเขาเลือนหายไปนานแล้ว กลายเป็นกรงเล็บข้างตัวเฮ่อชินอ๋องถ้อยคำนี้ของเซียวเทียนติ่งทำให้ฉินอวิ๋นฟานมิอาจสงบได้อยู่นาน พวกเขาอยู่ในมุมที่ต่างกัน แสดงความเห็นจากใจจริงต่อกันขณะเดียวกันฉินอวิ๋น
“นี่ นี่หมายความว่ายังไง?!”ครั้นถังเจิ้นไห่กล่าวออกมา เซียวเทียนติ่งพลันตกตะลึงตอนนี้ฉินอวิ๋นฟานเรียกได้ว่าเป็นดวงตะวันกลางฟ้า สร้างปาฏิหาริย์ด้านเศรษฐกิจครั้งแล้วครั้งเล่า หลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ท้องพระคลังเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที ทำให้คุณภาพชีวิตของตระกูลใหญ่ต่าง ๆ เพิ่มระดับถึงขีดสุดด้านดินแดน ฉินอวิ๋นฟานใช้กำลังเพียงคนเดียวชิงเมืองอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเส้นทางการค้าของต้าเฉียนกลับมาจากเงื้อมมือของราชวงศ์ต้าเยียนซึ่งเป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งของโลก มิหนำซ้ำยังทำลายแผนการร้ายของต้าเยียนอีกด้านชีวิตประชาชน ฉินอวิ๋นฟานควักกระเป๋าตัวเองเพิ่มสวัสดิการให้กับขุนนางใหญ่ต่าง ๆ พัฒนาเมืองจัวรอบด้าน บุกเบิกที่ดินเนินเขา เพียงฤดูกาลทำนาเดียวก็สามารถทำให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีด้านกฎหมาย ฉินอวิ๋นฟานปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ความสามารถในการปฏิบัติชวนให้คนตะลึงอย่างยิ่งยวด จัดการกับลูกหลานคหบดีเสเพลที่ประพฤติชั่วเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด ปราศจากการประนีประนอม เพิกเฉยต่ออำนาจเผด็จการแม้บรรดาตระกูลใหญ่จะไม่พอใจ มีความเห็นอย่างหนักกับฉินอวิ๋นฟาน หากภาพลักษณ์ในใจ
ฉินอ้าวมองเซียวเทียนแล้วยิ้มราบเรียบ ในเมื่อติ่งเซียวเทียนติ่งตัดสินใจจะไปแน่แล้ว เขาจะไม่รั้งตัวไว้อีก เขาเอ่ยเสียงเนิบ “ในเมื่อเจ้าไม่มีใจจะชิงอำนาจแล้ว เช่นนั้นก่อนจากไปก็แนะนำให้ข้าสักคนเถอะ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฮ่อชินอ๋อง หัวใจที่หนักอึ้งของเซียวเทียนติ่งก็วางลงได้สักที เขารู้ นี่คือเรื่องสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อท่านอ๋องแล้ว ความรู้สึกหลุดพ้นช่างดีแท้เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “รองหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงจางหยิงชุนเหมาะสมที่สุด แต่เขาถูกฉินอวิ๋นฟานฆ่าไปแล้ว รองหัวหน้าอีกคนก็เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่สามารถรับงานใหญ่ได้”“ตอนนี้ได้แต่เลือกจากหมู่อาจารย์ระดับหนึ่ง หากจะกล่าวตามความจริง หวังอันสือมีความสามารถที่สุดในหมู่อาจารย์ วิชาความรู้กว้างขวาง ความสามารถเหนือคน เหมาะจะดำรงตำแหน่งแทนข้าน้อยมากที่สุด แต่น่าเสียดาย เขามือสะอาด มีนิสัยยึดติด หยิ่งทระนง เกรงจะทำงานให้ท่านอ๋องไม่ได้โดยง่าย”“แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว เขาชื่อเจี่ยงฝานฝาน บิดาของเขาเจี่ยงหย่งกังเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นระดับห้าในสำนักราชเลขา รับผิดชอบบันทึกเรื่องสำคัญของต้าเฉียน เป็นคนสมถะ เคยทำงานให้กับอดีตฮ่องเต้ น่าจะดึงเข
“นั่นสิ จุดยืนของฟานเอ๋อร์ในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก ข้าก็สนับสนุนเขาโจ่งแจ้งไม่ได้ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะต้องเจอกับอะไรสิน่า?”ไท่ซั่งหวงพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “หวังว่าในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะได้เห็นภาพต้าเฉียนสงบสุขร่มเย็น รุ่งเรืองแข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นข้าก็วางใจหลับตาได้แล้ว!”......หลังจากสะสางงานเสร็จ หวังอันสือและคนอื่น ๆ ก็ถูกฉินอวิ๋นฟานเชิญที่ไปจวนรัชทายาท ทั้งเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการรักษาพวกเขาโดยเฉพาะ“รัชทายาท ขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเซียงหลิง...”หลู่หนีเพิ่งตามฉินอวิ๋นฟานเข้าห้องหนังสือมาก็อ้าปากพูดในฐานะที่เป็นคนซึ่งปราศจากตำแหน่งพิเศษ การต่อต้านหน่วยงานใหญ่อย่างสำนักศึกษาหลวงคือการรนหาที่ตายอย่างมิต้องสงสัย ฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัวทันเวลา ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุตรสาว นี่ทำให้หลู่หนีทราบซึ้งใจยิ่งนักในอดีต เขาถูกการประดิษฐ์ของฉินอวิ๋นฟานสยบ ดังนั้นจึงเข้าร่วมกับฉินอวิ๋นฟาน กระนั้นเขาไม่อยากให้บุตรสาวกลายเป็นผู้หญิงของอีกฝ่าย ทว่าความจริงได้พิสูจน์แล้ว ฉินอวิ๋นฟานคือคนที่ควรค่าแก่การฝากฝังเพิ่งจัดการขุนนางทุจริตที่ปกป้องพวกพ้องเดียวกันฝูงหนึ่งเสร็จ ฉินอวิ๋นฟานยังต
ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วถาม “ท่านก็รู้ ของที่พวกเราสร้างกันขึ้นมาล้วนเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำ ทันทีที่เล็ดลอดออกไปจะเป็นการโจมตีพวกเราถึงตาย ดังนั้นข้ายอมให้ช้าลงหน่อยก็ไม่กล้าให้คนที่ไม่คุ้นเคยสอดมือยุ่งเรื่องนี้”ฉินอวิ๋นฟานย่อมเชื่อถือหลู่หนีเต็มร้อยอยู่แล้ว เพราะพวกเขาร่วมมือกันหลายเดือนเต็ม ๆ อีกอย่างลูกสาวของหลู่หนีก็กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่หลู่หนีจะหักหลังแต่คนนอกไม่เหมือนกัน ทันทีที่พวกเขาขโมยเทคโนโลยีหลักของเขาไป นั่นได้เดือดร้อนแล้ว เมื่อเทคโนโลยีสุดล้ำอย่างเอเคสี่สิบแปดผลิตในบ้านเมืองอื่น เช่นนั้นโลกใบนี้จะบังเกิดกลียุคแล้ว “รัชทายาทวางใจได้ พวกเขาสองคนคือศิษย์พี่หกและศิษย์พี่เจ็ดของข้าน้อย พวกเราสามคนโตมาด้วยกันแต่เล็ก สนิทกันมาก เชื่อได้แน่นอน และฝีมือของพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าน้อยด้วย”หลู่หนีทุบอกรับประกัน “อันที่จริงที่อาจารย์ส่งพวกเขามาก็เป็นเพราะข้าน้อยเอ่ยปาก อย่างไรเสีย ลำพังข้าน้อยคนเดียวมีความจำกัดเรื่องความเร็ว ถ้าได้คนที่มีฝีมือดีมาช่วยเหลือ ต้องสำเร็จแบบทุ่นแรงได้มากแน่นอน”“อีกอย่าง อาจารย์ของข้าน้อยจัดเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพ ยึดมั่นกับการประดิษฐ์คิด
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ