“พี่ใหญ่ ท่านจะยังจะเอาหน้าตาอยู่หรือไม่? แพ้แล้วก็แพ้แล้วสิ ไฉนจึงแพ้ไม่ลงเล่า? นี่ท่านเห็นทุกคนหูหนวกตาบอดหรือ?”ก็ขณะที่องค์ชายใหญ่พยายามโต้แย้งอย่างสุดความสามารถ องค์ชายรองเดินออกมาด้วยใบหน้ากระหยิ่มใจ ถึงเขาจะแพ้ แต่ตอนที่ฉินอวิ๋นฟานต่อวรรคกลอนได้ เขากลับสุขีสโมสรยิ่งกว่าตัวเองชนะเสียอีก“เราไม่ได้แพ้ ใช่ ใช่ น้องเจ็ดเล่นโกง!”เวลานี้ใบหน้าองค์ชายใหญ่ร้อนผ่าว ชัยชนะแต่ละรอบสำคัญอย่างยิ่งยวด เขาต้องพยายามแย้งให้ได้ จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปไม่ได้แม้แต่หนเดียว“อย่างนั้นหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเบา ๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เหลียงคังจวิ้นแต่งต่อสิ ข้าสู้ต่อก็ได้ แต่... ถ้าครั้งนี้เจ้าต้องคิดกลอนคู่ที่ไม่มีคนรู้จึงจะดี ไม่อย่างนั้นมันจะอธิบายไม่ได้เอานา”“ได้! ท่านพูดเองนะ”เหลียงคังจวิ้นราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตได้ รับปากทันใด ตอนนี้เขาไม่หยิ่งยโสโอหังเหมือนเมื่อครู่แล้ว ทั้งยังจริงจังอย่างยิ่งด้วยครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก “หญิงงามจ้องหน้าต่างอ้างว้างครองตัวเป็นม่าย”“อะไรน่ะ? นี่ นี่ใช่กลอนคู่เล่นส่วนประกอบอักษรข้างหรือ? ใช้ส่วนประกอบอักษรข้างฝาสมบัติ ประกอบเป็นภาพภาพหนึ่ง
อุปนิสัยเช่นนี้หรือองค์ชายองค์อื่นจะเทียบติด?“คิดไม่ถึงจริง ๆ รัชทายาทจะมีความสามารถสูงเช่นนี้? เก็บงำสิบกว่าปี ช่างทำให้พวกเราประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแท้ ๆ”“มิน่ารัชทายาทถึงกล้าใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน มีระดับวรรณกรรมเช่นนี้นี่เอง ทำให้พวกเราเลื่อมใสยิ่งแล้ว!”“กลอนคู่ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นแบบอย่างการเรียนรู้ที่บรรดาเก้าแคว้นใหญ่แย่งชิงศึกษา คิดไม่ถึงต้าเฉียนเราจะมีสองอัจฉริยะมังกรหลบหงส์อรุณด้านวรรณกรรม ช่างเป็นบุญของต้าเฉียนเราโดยแท้”......ถ้าบอกว่ากลอนหนึ่งวรรคมิอาจสยบใจมวลชนได้ เช่นนั้นวรรคสองนี้ทำให้คนกราบกรานโดยสิ้นเชิง สายตาที่บรรดาขุนนางใหญ่มองฉินอวิ๋นฟานเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดฟ้ากับดินปัญญาอ่อนที่ชวนให้คนรังเกียจเดียดฉันท์ในสมัยก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์ทางวรรณกรรมสูงสุดในใจของพวกเขา “คิดไม่ถึง ระดับวรรณกรรมของน้องเจ็ดจะถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีก กลอนคู่เช่นนี้ยังต่อได้อย่างคล่องแคล่ว เช่นนั้นชัยชนะรอบนี้ก็ตกเป็นของผู้มีความสามารถแท้จริงแล้ว”องค์ชายรองมองฉินอวิ๋นฟานลึกซึ้งทีหนึ่ง เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออกทันใด
“รัชทายาทมากสามารถด้านวรรณกรรมดังคาด!”เหมียวชิงอีก็เป็นผู้รักกลอนเพลงเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกัน ระดับวรรณกรรมที่ฉินอวิ๋นฟานแสดงออกมาทำให้นางชื่นชมนัก แต่ก็ยังติดใจกับการที่เขาใช้พระชายาเป็นสิ่งเดิมพันอยู่ดี“ฮ่องเต้หญิงชมเชยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวิ๋นฟานค้อมตัวตอบเล็กน้อยพริบตาเดียวอ่านไปครึ่งก้านธูปแล้ว เหลียงคังจวิ้นยังแต่งวรรคต่อไม่ได้เหมือนเดิม ความหยิ่งผยองในดวงตาเขาสลายไปนานแล้ว แทนที่ด้วยความเศร้าสลดเต็มประดา“หมดเวลาแล้ว การประลองด้านบุ๋นรอบแรกองค์ชายใหญ่แพ้ รัชทายาทชนะ!”องครักษ์หญิงข้างกายเหมียวชิงอีประกาศผลเสียงดัง“องค์ชายใหญ่ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตายนะ!”เหลียงคังจวิ้นคุกเข่าลงตุบกับพื้นตรงหน้าองค์ชายใหญ่ กอดต้นขาของเขาแน่น พูดพลางร้องห่มร้องไห้ ขอร้องสุดชีวิต ตื่นกลัวสุดขีด“ช้าก่อน!”ขณะกำลังจะได้บทสรุป องค์ชายใหญ่หรี่ดวงตาทั้งสองพร้อมเอ่ย “หึ น้องเจ็ด เจ้าหลอกใครกัน? กลอนตายก็เอามาหลอกฮ่องเต้หญิงได้? ปั่นหัวเหล่าขุนนางหรือ? เจ้าคิดจะชนะด้วยวิธีการนี้หรือ? ไม่มีทางเสียหรอก”คำพูดเดียวทำให้เหลียงคังจวิ้นได้สติฉับพลัน ตะเกียกตะกายขึ้นมาเอะอะว่า “องค์ชายใ
ไท่ซั่งหวงพอใจกับการแสดงออกของฉินอวิ๋นฟานมาก ระดับวรรณกรรมเช่นนี้ เพียงพอแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและท่วงทำนองแคว้นใหญ่ได้จางเต้าหลินที่เงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนี้เขากำลังจ้องฉินอวิ๋นฟานด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เผยอารมณ์เหนือคาดออกมา“บ้าเอ๊ย!”ตอนนี้องค์ชายใหญ่กำลังเดือดดาลสุดขีด สีหน้าเขียวปัด เพื่อชัยชนะรอบนี้ แม้แต่หน้าตาเขายังละทิ้ง พยายามอยู่นานสองนาน ไม่นึกว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นตัวตลกคนนั้นสิ่งที่ทำให้เขาไม่ไม่ถึงยิ่งกว่าคือ ฉินอวิ๋นฟานกลับมีระดับวรรณกรรมน่ากลัวอย่างนี้ บุกจนเขารับมือไม่ทันเลย“องค์ชายใหญ่...”เหลียงคังจวิ้นขาอ่อนล้มพับกับพื้นตรง ๆ ใบหน้าปราศจากสีเลือด ตื่นตระหนกหวาดกลัวที่สุด เช่นคำพูดนั้น แรกเริ่มยโสเพียงใด ตอนนี้อนาถเพียงนั้น “ไสหัวไปซะ!”องค์ชายใหญ่ถีบเหลียงคังจวิ้นออกไป ในดวงตาคือความรังเกียจทั้งหมด มาถึงขั้นนี้แล้ว มากสามารถยังจะมีประโยชน์อันใดอีก? การประลองทุกรอบเกี่ยวพันถึงชะตาในอนาคต หากนั่งบัลลังก์ไม่ได้ทุกอย่างก็คือเพ้อเจ้อแพ้เท่ากับหมดสิ้นคุณค่าใช้สอย เขาไม่อยากเสียงอ่อนขอร้องรักษาชีวิตบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งในตอนที่กำลังแข่งขันดุเดือดอย่าง
ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าสงบ ไม่ลังเลใด ๆ ย่างเท้ามาถึงตรงหน้ามู่หรงจิ่นก่อนจะยิ้มบางเอ่ย “ได้ แต่โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากจะหลีกหนี”“อะไรนะ? ท่าน ท่านไม่ตรองสักหน่อยก็ตอบตกลงแล้วหรือ”“รัชทายาท ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่? เหลียงคังจวิ้นคือศัตรูของท่านนะ เป็นคนที่ลบหลู่ท่านกับพระชายารัชทายาทต่อหน้าผู้คน ท่านจะละเว้นชีวิตเขาหรือ?”“นี่พระชายารัชทายาทกำลังขอร้องแทนศัตรูของท่านอยู่นะ จะรับปากได้ยังไง?”......ทุกคนต่างประหลาดใจ เมื่อครู่ฉินอวิ๋นฟานยังมีท่าทีต้องเอาชีวิตเหลียงคังจวิ้นให้ได้ ทำไมแค่พระชายารัชทายาทเอ่ยขอคำเดียวก็ตอบตกลงแบบไม่คิดสักนิดแล้วเล่า?“น้องเจ็ด เจ้าบ้าไปแล้วกระมัง? เหลียงคังจวิ้นคือคนที่อยากจะเอาชีวิตเจ้านะ แล้วยังอยากได้ชายาของเจ้าด้วย เจ้าจะปล่อยคนประเภทนี้ไปอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ควรสั่งสอนชายาของเจ้าต่อหน้าทุกคนหรือ? ทำไมยังรับปากคำขอของนางอีก?”องค์ชายรองดวงหน้าฉงนสนเท่ห์ แล้วยังสงสัยด้วยว่าตัวเองหูฝาก อิสตรีออกสิทธิ์ออกเสียงในราชสำนักได้ที่ไหน? แล้วยังเป็นปรปักษ์กับสามีตัวเองอีก ผู้หญิงประเภทนี้เรียกได้ว่าขาดการอบรมฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจการถามอย่างสงสัยของทุกคน ทั
นางจะคิดได้ยังไงว่าฉินอวิ๋นฟานให้ความสำคัญกับนางขนาดนี้ กระทั่งไม่สนใจศักดิ์ศรี การที่รัชทายาททำเช่นนั้น มันทำให้หัวใจนางหวั่นไหวเล็กน้อยทันที“ขอบคุณรัชทายาทที่ละเว้นชีวิต ขอบคุณพระชายารัชทายาทที่ขอร้องให้ ขอบคุณขอรับ!”เหลียงคังจวิ้นตื้นตันใจคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง พ้นเคราะห์มาได้ อย่าพูดเลยว่าดีใจแค่ไหน ทว่าคำพูดต่อมาของฉินอวิ๋นฟานกลับทำลายความหวังของเขาอีกครั้ง“ข้าแค่บอกว่าไม่ฆ่าเจ้า ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าตื้นตันอะไร...”เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานยิ้มร้าย “ทหาร เอาตัวเหลียงคังจวิ้นไปตอนซะ”“อะไรนะ...”ครั้นได้ยินว่าจะถูกตอน เป้ากางเกงของเหลียงคังจวิ้นเย็นเฉียบทันที ไอเย็นยะเยือกแทรกเข้ากระดูกพุ่งขึ้นสมอง ล้มกองกับพื้นสีหน้าสิ้นหวังอีกหนท่ามกลางสายตาของทุกคน เหลียงคังจวิ้นเฉกเช่นสุนัขตัวหนึ่ง ถูกลากออกไปอย่างไร้อารมณ์ แม้จะเป็นองค์ชายใหญ่ก็ยังทำหน้าเย็นชาสามารถรักษาชีวิตของเหลียงคังจวิ้นได้ มู่หรงจิ่นใช้ความกรุณาและคุณธรรมที่สุดแล้ว ถ้านางยังขอร้องให้เหลียงคังจวิ้นอีก จะไร้มารยาทแล้วจริง ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฉินอวิ๋นฟานจะรับปากหรือไม่ แต่ไท่ซั่งหวงผู้อยู่สูง
การแข่งขันอยู่ตรงหน้า องค์ชายรองไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ต่อหน้าพวกเขากำลังชิงสิทธิ์ในการตอบคำถามก่อน แต่ความจริงคือการชิงตำแหน่งในราชสำนักระหว่างพวกเขาสองคน ตอนนี้เขากับองค์ชายใหญ่ยังคงอยู่ในลู่วิ่งเดียวกัน ย่อมไม่ยอมให้องค์ชายใหญ่ข่มได้“ความสามารถหรือ? เจ้าก็เป็นแค่คนที่เคยแพ้ข้า มีสิทธิ์อะไรมาช่วงชิงกับข้า? หลีกไป!”องค์ชายใหญ่พูดเสียดสี“ท่าน... ท่านเองก็เคยแพ้น้องเจ็ดมิใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรมาวางมาดต่อหน้าพวกเรา!”ถูกองค์ชายใหญ่ถากถางต่อหน้าสาธารณชน องค์ชายรองบันดาลโทสะ แม้รอบก่อนหน้านี้เขาจะแพ้องค์ชายใหญ่ก็จริง แต่ต่างก็เป็นผู้แพ้เหมือนกัน ยังจะทำตัวเด่นดังอะไร“พอที!”“ที่นี่คือราชสำนัก มิใช่สถานที่ที่ให้พวกเจ้าด่าสาดกัน!”ทั้งสองต่างไม่ลดราวาศอก ถกเถียงไม่จบไม่สิ้น ไท่ซั่งหวงสีหน้าอึมครึม ที่นี่คือราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊กำลังดูอยู่ อีกอย่างฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวทางชายแดนตะวันตกก็อยู่ด้วย มีอย่างที่ไหน?“เสด็จปู่!”ครั้นถูกเสด็จปู่ตำหนิ ทั้งสองใบหน้าเปลี่ยนสี รีบค้อมตัวปิดปาก ไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อทันทีเหมียวชิงอีมิได้ใส่ใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ แววตานางอยู่ที่ตัวฉ
“หมื่นลี้เพื่อสิ่งใด ตรวจตรากำแพงเมืองยาว”“ข้าใช่เปี่ยมด้วยสามารถ ล้วนด้วยบรรพบุรุษสร้างสม”“กลศึกรัดกุมแสนหมื่น ล้วนเพื่อปวงประชา”เสียงซึ่งมีน้ำหนักของฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยพลัง ครั้นเอ่ยปากก็พาทุกคนเข้าสู่สมรภูมิหมื่นขุนศึกอันยิ่งใหญ่ พาลให้ทุกคนเกิดอารมณ์ตื่นเต้นทั่วตัวครั้นสะบัดพู่กันก็คือลายเส้นอันชดช้อย การจรดพู่กันที่ราวกับเมฆาคล้อยสายน้ำไหลมีพลัง ร่ายรำอยู่บนกระดาษเซวียนจื่ออย่างต่อเนื่อง ประดุจม้วนภาพงามวิจิตร ฝากเลือดร้อนของกษัตริย์และแม่ทัพที่ปกป้องบ้านเมืองแคว้นเว่ยเมื่อกลอนแต่ละวรรคออกมาจากปากของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนเคร่งขรึมให้ความเคารพ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง แต่ฉินอวิ๋นฟานมิได้จบเพียงเท่านี้!“มิกล้าไม่คิดไม่กังวล นอนสุขสมอยู่ในวัง”“พบขุนศึกที่น้ำเหนือ ธงรบหมื่นคัน”“ขุนเขานทีราง ๆ ทอดตามองหญ้าไกล ๆ”“ตีฆ้องหยุดทัพ ลั่นกลองเคลื่อนพล”“พันทหารหมื่นขุนพล ม้าดื่มชลข้างกำแพงยาว”“สารทอัสดงเมฆครึ้ม จันทร์กระจ่างเหนือหอเมือง”“ม้าเร็วห้อตะบึง สงครามปะทุแจ้งเกิด”“ขุนนางพิทักษ์เมืองรายงาน พบข่านลำพัง”“ภูผาฟ้าครามควันสลาย แสงสาดตะวันฉายเหนือนภา”“สันติสุขได้
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ
“ปืนใหญ่สนามอิตาลี? ชื่อช่างน่ามหัศจรรย์นัก!” หลู่หนีพูดด้วยใบหน้าสับสน!ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้อธิบายมาก เขามองไปทางหลู่หนีแล้วพูดขึ้นอีก “ช่างใหญ่หลู่หนี ท่านทำเจ้าเหล็กนี้เถอะ ต้องระวังให้มาก จะดูแคลนอานุภาพของมันไม่ได้”“อ้อ? นี่คือสิ่งใดหรือ?”หลู่หนีรับภาพที่ฉินอวิ๋นฟานส่งมา ภาพนี้ไม่ใหญ่ ในนั้นมีแต่วัตถุทรงกลม ข้างบนมีแหวนอันหนึ่ง หลู่หนีเห็นแล้วทำหน้าฉงน“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าระเบิดมือ เอาไว้ใช้ป้องกันตัวในยามคับขันจะดีที่สุด ตอนท่านทำต้องป้องกันความปลอดภัย หากไม่เข้าใจอะไรก็มาถามข้าทันที”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย“ขอรับ! ข้าน้อยต้องตั้งใจทำแน่นอน!”ติดตามฉินอวิ๋นฟานมานานอย่างนี้ หลู่หนีรู้ดี หากฉินอวิ๋นฟานกำชับเช่นนี้ นั่นแสดงว่ามันต้องไม่ธรรมดา แม้มีขนาดเล็ก แต่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่กล้าประมาทสักนิด!“เอาละ ตอนนี้เหลือเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง จำเป็นต้องให้พวกท่านสามคนทำให้สำเร็จ!”จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็ขึงขังขึ้นมา เขาหยิบภาพเจ็ดแปดภาพมากองอยู่ตรงหน้าทุกคน ฉินอวิ๋นฟานวาดภาพพวกนี้เสร็จตั้งแต่อยู่ที่เมืองอู่โจว และสิ่งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาซึ่งมีค
“นายช่างใหญ่ทั้งสองเกรงใจแล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานรีบสองก้าวรวบเป็นหนึ่งไปข้างหน้า คว้ามือของพวกเขาเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างไมตรีจิต “เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไยต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียมพื้น ๆ พวกนี้ด้วย? รีบเชิญข้างในเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานมีไมตรีเช่นนี้ทำให้หลู่เซินและหลู่เหมี่ยวต่างตกใจอย่างไม่เคยประสบ ประทับใจอย่างยิ่ง ส่วนหลู่หนีที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วตาค้างไปเลย พลางตะลึงถอนใจในใจ ‘เจ้าหมอนี่ ไม่เห็นเหมือนเมื่อกี้นี้เลยนี่!’ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องหนังสือ หลังจากสนทนากันอย่างเรียบง่ายประมาณหนึ่งแล้ว การสนทนาของพวกเขาก็เข้าสู่ประเด็นหลัก และนี่ก็คือจุดประสงค์ที่ฉินอวิ๋นฟานเรียกหลู่หนีมาฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก “ช่างใหญ่หลู่หนี ที่ข้าตามพวกท่านมาเพราะมีงานสำคัญมากงานหนึ่ง และเป็นภารกิจยากเย็นแสนเข็ญจะมอบให้พวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะทำสำเร็จได้”“ภารกิจยากเย็นแสนเข็ญ?”เมื่อทั้งสามได้ยินก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา ที่พวกเขามาก็เพื่อทำงาน สามารถมีภารกิจสำคัญได้ย่อมเป็นเรื่องดี!“หลังจากดัดแปลงหน้าไม้ของเราแล้ว รูปโฉมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เอเคสี่สิบแปดพัฒนาอานุภาพได้น่ากลัวถึงขีดสุดแ
ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วถาม “ท่านก็รู้ ของที่พวกเราสร้างกันขึ้นมาล้วนเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำ ทันทีที่เล็ดลอดออกไปจะเป็นการโจมตีพวกเราถึงตาย ดังนั้นข้ายอมให้ช้าลงหน่อยก็ไม่กล้าให้คนที่ไม่คุ้นเคยสอดมือยุ่งเรื่องนี้”ฉินอวิ๋นฟานย่อมเชื่อถือหลู่หนีเต็มร้อยอยู่แล้ว เพราะพวกเขาร่วมมือกันหลายเดือนเต็ม ๆ อีกอย่างลูกสาวของหลู่หนีก็กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่หลู่หนีจะหักหลังแต่คนนอกไม่เหมือนกัน ทันทีที่พวกเขาขโมยเทคโนโลยีหลักของเขาไป นั่นได้เดือดร้อนแล้ว เมื่อเทคโนโลยีสุดล้ำอย่างเอเคสี่สิบแปดผลิตในบ้านเมืองอื่น เช่นนั้นโลกใบนี้จะบังเกิดกลียุคแล้ว “รัชทายาทวางใจได้ พวกเขาสองคนคือศิษย์พี่หกและศิษย์พี่เจ็ดของข้าน้อย พวกเราสามคนโตมาด้วยกันแต่เล็ก สนิทกันมาก เชื่อได้แน่นอน และฝีมือของพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าน้อยด้วย”หลู่หนีทุบอกรับประกัน “อันที่จริงที่อาจารย์ส่งพวกเขามาก็เป็นเพราะข้าน้อยเอ่ยปาก อย่างไรเสีย ลำพังข้าน้อยคนเดียวมีความจำกัดเรื่องความเร็ว ถ้าได้คนที่มีฝีมือดีมาช่วยเหลือ ต้องสำเร็จแบบทุ่นแรงได้มากแน่นอน”“อีกอย่าง อาจารย์ของข้าน้อยจัดเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพ ยึดมั่นกับการประดิษฐ์คิด
“นั่นสิ จุดยืนของฟานเอ๋อร์ในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก ข้าก็สนับสนุนเขาโจ่งแจ้งไม่ได้ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะต้องเจอกับอะไรสิน่า?”ไท่ซั่งหวงพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “หวังว่าในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะได้เห็นภาพต้าเฉียนสงบสุขร่มเย็น รุ่งเรืองแข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นข้าก็วางใจหลับตาได้แล้ว!”......หลังจากสะสางงานเสร็จ หวังอันสือและคนอื่น ๆ ก็ถูกฉินอวิ๋นฟานเชิญที่ไปจวนรัชทายาท ทั้งเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการรักษาพวกเขาโดยเฉพาะ“รัชทายาท ขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเซียงหลิง...”หลู่หนีเพิ่งตามฉินอวิ๋นฟานเข้าห้องหนังสือมาก็อ้าปากพูดในฐานะที่เป็นคนซึ่งปราศจากตำแหน่งพิเศษ การต่อต้านหน่วยงานใหญ่อย่างสำนักศึกษาหลวงคือการรนหาที่ตายอย่างมิต้องสงสัย ฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัวทันเวลา ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุตรสาว นี่ทำให้หลู่หนีทราบซึ้งใจยิ่งนักในอดีต เขาถูกการประดิษฐ์ของฉินอวิ๋นฟานสยบ ดังนั้นจึงเข้าร่วมกับฉินอวิ๋นฟาน กระนั้นเขาไม่อยากให้บุตรสาวกลายเป็นผู้หญิงของอีกฝ่าย ทว่าความจริงได้พิสูจน์แล้ว ฉินอวิ๋นฟานคือคนที่ควรค่าแก่การฝากฝังเพิ่งจัดการขุนนางทุจริตที่ปกป้องพวกพ้องเดียวกันฝูงหนึ่งเสร็จ ฉินอวิ๋นฟานยังต