หลิวเป้ยถามอย่างไม่เข้าใจ “รัชทายาทเชิญถาม”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย “เรื่องการบรรเทาภัยพิบัติ อย่างมากหนึ่งเดือนก็แก้ไขเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร? มีแผนการหรือไม่?”หลิวเป้ยตอบด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม “เฮ้อ ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องผู้ประสบเคราะห์ได้ข้าน้อยก็วางใจแล้ว หลังจากทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบสันติ ข้าน้อยคิดจะทำอาชีพเดิมต่อขอรับ เพราะอย่างไรก็ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัว”“สงบสันติ? เป็นไปไม่ค่อยได้กระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าลืมโศกนาฏกรรมห้าเมืองไปแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าต้าเยียนได้ห้าเมืองไปแล้วจะพอใจจริงหรือ?”“เมืองจัวอยู่ใกล้กับห้าเมืองเช่นนี้ ทันทีที่ต้าเยียนเปิดศึกกับต้าเฉียน จะต้องเสียเมืองจัวไปเป็นเมืองแรก เจ้าคิดว่าถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”“เอ่อ นี่...”พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าหลิวเป้ยเปลี่ยนเป็นปั้นยากในพริบตา พอนึกถึงห้าเมืองเมื่อปีกลาย หลิวเป้ยปวดใจยิ่งนักพี่ชายลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของเขาเคยทำการค้ากับห้าเมือง ความเป็นอยู่นับว่าดี แต่สงครามที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นคนต่างบ้านต่างเมืองที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือ ภรรยาของ
“สถานการณ์ค่ายทานหลางระยะนี้เป็นยังไงบ้าง?”ฉินอวิ๋นฟานวางแผนรายละเอียดเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติอีกเล็กน้อย หลังจากรับรองว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดจึงให้ทุกคนไปเตรียมงานหลังจากนี้ ก่อนจะรั้งตัวหานซิ่นและหลัวเหิงให้อยู่ต่อหานซิ่นในตอนนี้ศีรษะสวมกวานหยก สวมชุดผาวสีน้ำเงินเข้ม พกกระบี่คมกริบตรงเอว แม้รูปร่างผอมแห้ง กลับสูงตรงมาก เป็นคนละคนกับที่ใส่เสื้อผ้าปุ ๆ ปะ ๆ เมื่อก่อนหน้านี้เขาเอ่ยปากช้า ๆ “ทะเบียนสำมะโนครัวทหารจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ พวกทหารซาบซึ้งใจกับการปฏิบัติอย่างพิเศษของรัชทายาทยิ่งนัก ฝึกซ้อมขยันขันแข็งมากขึ้น สองวันนี้ข้าน้อยรับสมัครคนฝีมือดีอีกสองพันคน รวมฝึกด้วยกันแล้ว หลังจากนี้จะรับและคัดเลือกทหารฝีมือดีมากขึ้นขอรับ”“ส่งเสริมทหารเก่าที่มีประสบการณ์มากจำนวนหนึ่ง ประเมินความสามารถของแต่ละคนและจัดแบ่งเป็นกลุ่ม เลือกทหารหน้าไม้ฝีมือดีสามร้อยคนหนึ่งหน่วย ศึกระยะประชิดและการโจมตีระยะไกลล้วนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด”“หน้าไม้ขนาดกลางและขนาดใหญ่ก็กำลังจัดเตรียมอย่างลับ ๆ เรื่องพวกนี้ต้องมอบหมายให้คนที่ไว้ใจได้ที่สุดจึงจะดี ดังนั้นหนึ่งเดือนมานี้ข้าน้อยจึงทดสอบและคัดเลือกทหาร
ยามนี้หานซิ่นตื้นตันจนน้ำตาจะไหล เขาอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฉินอวิ๋นฟานจะเชื่อใจเขาถึงขั้นนี้?ไม่เพียงแต่ไม่ถามที่ไปของเงิน ยังจะให้เขาพยายามใช้เงินอีก นายที่เชื่อใจเขาอย่างไร้เงื่อนไข ทำให้หานซิ่นยิ่งมุ่งมั่งว่าจะต้องติดตามอวิ๋นฟานทำงานใหญ่ให้จงได้“การไปพื้นที่ภัยพิบัติครั้งนี้ยังมีภารกิจสำคัญมากที่จะมอบหมายให้เจ้า เจ้าต้องคัดเลือกทุกคนด้วยตัวเอง จะต้องทำให้ทุกคนจงรักภักดีโดยปราศจากเงื่อนไขเต็มร้อย”นี่คือแผนการที่สองที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำ ดังนั้นเวลานี้คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะต้องทำให้ทุกคนจงรักภักดีราวกับนักรบพลีชีพ มิเช่นนั้น ทันทีที่ปากกระบอกปืนเล็งไปที่คนของตัวเอง เช่นนั้นจะยุ่งแล้วปืนคือความรุนแรงสุดขั้ว ทั้งเป็นการรับรองผลประโยชน์ที่สมบูรณ์ และเป็นของที่อันตรายอย่างยิ่งยวดในเวลาเดียวกัน ถ้าสามารถกุมกองกำลังพิเศษในรูปแบบสมัยใหม่นี้ให้อยู่ในมือตัวเองได้ย่อมไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด แต่หากเกิดช่องโหว่ภายใน เมื่อนั้นอันตรายก็จะมาถึงตัวฉินอวิ๋นฟานไม่อยากให้ไม้ตายของตัวเองกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงของตัวเอง“รัชทายาท หรือว่าท่านยังมีแผนการอื่นอีกหรือขอรับ?”หานซิ่นสบตากับหลัวเหิงทีหนึ
“เช่น เช่นนั้นทำไมเมื่อครู่เสี่ยวหงถึงบอกว่าท่านเรียกคุณหนูใหญ่ไปดูโคมไฟล่ะเจ้าคะ?”ฉินอวิ๋นฟานตะลึงงันเดี๋ยวนั้น ตระหนักถึงความผิดปกติทันที เนื่องจากช่วงนี้ฉินอวิ๋นฟานหายจากอาการป่วย เรื่องที่ต้องจัดการมีมากขึ้นทุกที คนช่วยงานไม่พอ พวกเสี่ยวหงคือสาวใช้ที่รับเข้ามาใหม่“แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานรู้ซึ้งถึงความชั่วช้าอันตรายของศึกในวัง กอปรกับช่วงนี้เขาฉายประกายคมเด่นล้ำ ล่วงเกินคนจำนวนไม่น้อย ตอนนี้จู่ ๆ มู่หรงจิ่นก็ถูกคนล่อลวงไป จะต้องมีคนจงใจมุ่งเป้ามาที่เขาแน่เขาไม่มีขั้วอิทธิพลใด ๆ ในวัง ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าจิ่นเอ๋อร์อยู่ที่ไหน วังหลวงใหญ่ออกปานนั้น สถานที่ต้องห้ามมากอย่างนั้น คิดจะตรวจสอบความเป็นมาให้เร็วที่สุดและหานางให้เจอคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ฉินอวิ๋นฟานในตอนนี้ลนลานโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาร้อนรนจนเหงื่อกาฬผุด“เสี่ยวจวี๋ พระชายารัชทายาทตามเสี่ยวหงไปนานแค่ไหนแล้ว?”ตอนนี้ใบหน้าของอู่จ้านก็ร้อนรนเหมือนกัน เขารีบถาม ฟ้ามืดแล้ว เวลายิ่งล่วงเลยก็ยิ่งตามหายาก“นาน นานแค่ไหน?”ตอนนี้เสี่ยวจวี๋ตัวสั่นไปทั้งตัว หัวสมองสับสนไปหมด พอถูกอู่จ้านตะคอก นางจึงตั้งสติขึ้นมาได้เ
ถ้าเป็นฝีมือของเหอกุ้ยเฟยจริง ๆ เขาจะให้นางอสรพิษผู้นี้ได้ชดใช้อย่างสาสม มู่หรงจิ่นคือสิ่งต้องห้ามของเขา ไม่ว่าใครก็ล่วงเกินรังแกลบหลู่ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะต้องรับกับเพลิงโทสะไม่สิ้นสุดของฉินอวิ๋นฟาน“ถ้าเป็นฝีมือของเหอกุ้ยเฟยจริง งั้นก็ยุ่งแล้ว”อู่จ้านขมวดคิ้วแน่นในวังหลวงต่างจากข้างนอก หากไม่มีหลักฐานหรือคำสั่งที่แน่ชัด ไม่ว่าใครก็ห้ามย่างเข้าวังหลัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปตามหาคนคนหนึ่งนอกเสียจากมีคดีพิเศษ มิเช่นนั้นย่างเข้าวังหลังเท่ากับล่วงเกินฮ่องเต้ ประหารได้ทันทีหากพระชายารัชทายาทถูกคนกักขังอย่างลับ ๆ อยู่วังหลังจะไม่ใช่แค่เรื่องยุ่งธรรมดา ถ้าไม่มีหลักฐานก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ อยู่อย่างนั้นไม่นานพวกฉินอวิ๋นฟานก็มาถึงหอบุปผาอย่างรวดเร็ว หอบุปผาในเวลานี้มีนางกำนัลและขันทีกำลังจัดช่อดอกไม้อยู่ไม่น้อย“เสี่ยวเต๋อจื่ออยู่ที่ไหน?”ฉินอวิ๋นฟานรู้ชื่อขันทีน้อยผู้นั้นจากเสี่ยวจวี๋ระหว่างทาง พอมาถึงก็ตะโกนเรียกด้วยความโกรธทันที “นางกำนัลขันทีทั้งหมด ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”พอได้ยินเสียงตวาดกร้าว ทุกคนก็ตกใจขวัญผวา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?บรรดานางกำนัลและขันทีเห็นการแต่งกายของผู
สองดวงตาฉินอวิ๋นฟานเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่ง ดังราชสีห์เพศผู้ที่คลุ้มคลั่ง เนื้อตัวบนล่างมีจิตสังหารเต็มพิกัด แรงกดดันไร้ลักษณ์ทำให้หัวใจของเสี่ยวเต๋อจื่อตกสู่เหวลึกทันทีความกดดันมหาศาลทำให้เสี่ยวเต๋อจื่อตกใจตัวสั่นเทิ้มเขารีบพูด “เสี่ยวหงไม่ใช่นางกำนัลของหอบุปผาขอรับ นางเป็นคนที่ขันทีอีกคนหนึ่งแนะนำมา ขันทีผู้นั้นข้าน้อยคุ้นหน้าอยู่บ้าง เหมือนจะเป็นคนจากจวนองค์ชายห้า ถ้าไม่เกินคาด เสี่ยวหงน่าจะเป็นสาวใช้จากจวนขององค์ชายห้าขอรับ”“อะไรนะ? คนขององค์ชายห้า?”อู่จ้านใบหน้าเปลี่ยนสี ได้กลิ่นอันตราย เมื่อวานฉินอวิ๋นฟานเกือบจะฟันเขาแล้ว ทั้งยังซ้อมเขาอย่างหนักอีกยกหนึ่ง หรือว่าองค์ชายห้าจะแก้แค้นไวขนาดนี้?“รัชทายาท รัชทายาทขอรับ ขอร้องละ ปล่อย...”ฉึก...เสี่ยวเต๋อจื่อยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกฉินอวิ๋นฟานปาดคอตายอนาถไปแล้ว ทันทีที่คนผู้นี้ทำกระทำการลักพาตัวมู่หรงจิ่น เขาก็คือคนตายซี้ด...หัวหน้าขันทีเห็นภาพตรงหน้า สูดลมเย็นเข้าปอดหนึ่งเฮือก ตกใจจนขาอ่อน ไม่มีความกล้าแม้แต่จะมองฉินอวิ๋นฟานสักหน“โยนศพของมันให้หมากิน”เพลิงโทสะของฉินอวิ๋นฟานยังไม่ล
“พระชายารัชทายาทที่รักของข้า ถึงตอนนี้เจ้าจะรู้ก็สายไปแล้ว”เสี่ยวหงเลียปาก ใบหน้าชวนหลงใหล อยู่ต่อหน้าฉินอวิ๋นผู่ นางรับบทบาทนางร้ายโดยสมบูรณ์ ให้ท่ายั่วยวนไม่หยุด ภาพนี้ทำให้มู่หรงจิ่นยากจะมองตรง“มู่หรงจิ่น ข้าหมายปองความงามแห่งยุคของเจ้ามานานแล้ว ติดที่ศักดิ์ศรีของราชวงศ์และกฎหมายจึงอดกลั้นเอาไว้ แต่พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ฉินอวิ๋นฟานหยามข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”ฉินอวิ๋นผู่พูดหน้าเหี้ยม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็อย่างหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน ข้าต้องทำให้ไอ้ฉินอวิ๋นฟานอยู่ภายใต้เงามืดของข้าตลอดชีวิต ให้มันรู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวด อะไรหรือความสิ้นหวัง”“มันเห็นเจ้าเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่ามิใช่หรือ? เช่นนั้นข้าก็จะสัมผัสความล้ำค่าของเจ้าสักหน่อยแล้วกัน”ฉินอวิ๋นผู่เลียปาก ตีประชิดมู่หรงจิ่นทีละก้าว พอคิดถึงบาดแผลที่ฉินอวิ๋นฟานทำไว้กับเขาแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พอนึกว่าเขากำลังจะย่ำยีผู้หญิงของฉินอวิ๋นฟาน มันก็ทำให้เขาคึกคะนองมาก รอยแส้บนตัวยิ่งเจ็บ เขายิ่งรู้สึกสะใจ“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ เจ้าทำเช่นนี้คือความผิดร้ายแรง ผิดต่อจารีตประเพณี ไม่เพียงฉินอวิ๋นฟานจะไม่ปล่อยเจ้า ไท่ซั่งหวงก็
“แย่แล้ว องค์ชายรอง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่โตแล้ว!”ในขณะเดียวกัน จวนขององค์ชายรองจ้าละหวั่นแล้ว ลิ่งหูชงมาถึงห้องหนังสือขององค์ชายรองด้วยความเร่งรีบ“มีอะไรหรือ? ท่านลิ่งหู”องค์ชายรองไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่อง จึงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนลิ่งหูชงพูดด้วยใจหน้าหมดหนทาง “องค์ชายห้าหาเรื่องอีกแล้ว!”“น้องห้าอยู่ในคุกหลวงมิใช่หรือ? บาดเจ็บหนักอย่างนั้นยังจะก่อเรื่องอะไรได้?”องค์ชายรองขมวดคิ้วถาม“รีบพูดมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”ลิ่งหูชงโยนขันทีชุดดำลงกับพื้นแล้วตะคอกเสียงดุขันทีชุดดำรีบอธิบาย “องค์ชายรอง นี่จะโทษข้าน้อยไม่ได้นะขอรับ องค์ชายห้าให้ข้าน้อยทำ เขาให้ข้าน้อยหลอกพระชายารัชทายาทไปที่ห้องลับเพื่อกระทำชำเรา เขาต้องการแก้แค้นฉินอวิ๋นฟาน...”จังหวะที่ฉินอวิ๋นฟานสังหารเสี่ยวเต๋อจื่อ ขันทีชุดดำก็ตระหนักถึงความร้ายแรง และน่าจะสืบสาวถึงตัวองค์ชายห้าได้ด้วยนิสัยของฉินอวิ๋นฟาน แค้นที่ย่ำยีภรรยาต้องทะยานขึ้นฟ้าแน่ ถ้าจะพูดถึงคนที่กล้าสังหารองค์ชายห้าในวังหลวง เกรงว่าไม่พ้นเขาฉินอวิ๋นฟาน เขาจึงรีบเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดรอบหนึ่ง“อะไรนะ น้องห้าลักพา
“เด็กบางคนคือเด็ก เด็กบางคนเกิดมาก็คือปีศาจ ข้าฆ่าปีศาจมีอะไรผิด?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพี่รองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตรวจสอบให้ละเอียดได้ หากข้าไม่มีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ท่านก็ต้องทนเอาไว้ อย่างไรนี่ก็คือลักษณะการทำงานของข้าฉินอวิ๋นฟาน”“สำหรับทำไมถึงฆ่าคนเยอะอย่างนั้น ข้าได้แต่บอกท่านว่าพวกเขาล้วนสมควรตาย พร้อมกันนั้น ข้ากำลังเตือนทุกคน มีบางเรื่องทำได้ มีบ้างเรื่องทำไม่ได้ ถ้าใครกล้าล้ำเส้น ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเอาชีวิตมันผู้นั้นเหมือนกัน!”“และถ้าจะให้ข้ามอบเหตุผลให้ได้ละก็ เช่นนั้นข้าได้แต่พูดว่าเพราะข้าคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ คือผู้ดำรงกฎหมายต้าเฉียน ข้ามีอำนาจและมีหน้าที่พิทักษ์บ้านเมืองของต้าเฉียน ชาวบ้านคือรากฐานของเรา มิใช่คนที่พวกท่านจะข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจ!”ซี้ด...ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาเผด็จการ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปาก แม้ในใจพวกเขาจะมีความแค้นมากมายเพียงใด หากเวลานี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้เพราะฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่มีอำนาจประหารอันเป็นอำนาจสูงสุด ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้ใดกล้าคั
“เจ้า...!”ฉินอวิ๋นฮุยมาถึงก็พูดแทงใจดำของเขา ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยเลือดขึ้นหน้า กลับไร้กำลังโต้ตอบ นาทีนี้เขาแทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น“นี่คือท้องพระโรง คือสถานที่หารือเรื่องสำคัญของบ้านเมือง มิใช่สถานที่ให้พวกท่านมาอวดเก่ง แต่ละคนกัดข้าไม่ปล่อยกับแค่เรื่องที่ข้ามาสายครึ่งชั่วยาม? พวกท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกระด้าง “มีความสามารถก็ทำการทำงานให้มากหน่อย มิใช่ใช้เล่ห์กลอุบาย อวดเก่งแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่มีความสามารถก็ลาออกไปเสีย ปลดเกษียณกลับบ้านเกิด อย่าครองส้วมแล้วไม่ขี้ คนที่อยากแทนที่ตำแหน่งพวกเจ้ามีถมเถไป!”เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันเบิกตาโต ทีแรกนึกว่าจะหาเรื่องฉินอวิ๋นฟาน ไม่นึกว่าเพิ่งเริ่มก็แพ้ย่อยยับแล้ว ในทางกลับกัน ยังถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียดหยามอย่างหนักอีก ทำเอาทุกคนตัวชาไปทั้งคนหลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรู้เรื่องตระกูลเริ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังผวาไม่หาย อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก จากนั้นจึงเลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ทันที ดังนั้นขณะฉินอวิ๋นฟานถูกทุกคนเปิดฉากสงครามน้ำลาย เขาจึงเลือกเงียบงัน“ดี ในเมื่อน้องเจ็ดพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่น
ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงหลีกเลี่ยงการหาเรื่องของอู๋ต้าไห่ มิหนำซ้ำยังเลือกเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าว คราวนี้ทำเอาทุกคนไปต่อไม่เป็นแล้วเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ทำผิดแล้วยังอวดเก่งเช่นนี้อีก? โอหังขนาดนี้เชียว? ก็คงจะมีแต่เจ้าฉินอวิ๋นฟานนี่แหละ!“แค่ยึดอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาได้ก็ทำให้รัชทายาทลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้เลยหรือ?”อู๋ต้าไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานเหิมเกริมเช่นนี้จึงโต้กลับด้วยโทสะทันที “แม่ทัพใหญ่ทุกท่านของต้าเฉียนต่างสร้างผลงานการศึกให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมากมาย ยังไม่เคยเห็นใจวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เหน็บแนมกลับทันที “แม่ทัพคนอื่น ๆ สร้างผลงานการศึกเพื่อต้าเฉียน ข้ายังพอเข้าใจได้ แต่ข้าขอถามหน่อย เกี่ยวอันใดกับเจ้าอู๋ต้าไห่ด้วย?”“ท่าน ท่านเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องสร้างผลงานกับท่านอยู่ ท่านกลับไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อย?”อู๋ต้าไห่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าจนหน้าเขียวปัด แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย คือยอดฝีมือในการใช้ภาษาแก้ต่าง ชำนิชำน
ถูกฉินอวิ๋นฟานเอาใจเช่นนี้ สามดรุณีหน้าแดงระเรื่อด้วยความสุข ฉินอวิ๋นฟานประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงชาดของพวกนางสามพี่น้องแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียง......“ไม่มีระเบียบ ไม่มีระเบียบ!”“ก็นั่นนะสิ! ประชุมขุนนางเริ่มมาครึ่งชั่วยามแล้ว รัชทายาทกลับยังไม่ถึง? ไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตาเลย ช่างไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตา!”“สร้างผลงานเข้าหน่อยก็เมินระเบียบของราชสำนักแล้วหรือ? ก็ทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ? บังอาจยิ่งนัก!”......ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางเริ่มเปิดฉากด่าทอต่าง ๆ นานาต่อพฤติกรรมมาสายของฉินอวิ๋นฟานด้วยไฟโกรธเต็มทรวงและถ้อยคำแข็งกร้าว เดิมพวกเขาก็ไม่มีภาพจำดีอะไรต่อฉินอวิ๋นฟานอยู่แล้ว กอปรกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานเมื่อวาน ชัดเจนว่ากำลังท้าทายบรรดาผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมื่อเช้ามาฉินอวิ๋นฟานก็เปิดช่องโหว่ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา ต่อให้การมาสายมิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็จะไม่ละเว้นฉินอวิ๋นฟานเด็ดขาดบนบัลลังก์มังกร ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วหันไปกล่าวกับเฉาเจิ้งฉุน “ส่งคนไปตามฟานเอ๋อร์แล้วหรือ?”“ทูลไท่ซั่งหวง ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกระซิบ “แต่ดูเหมื
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ