ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อหลี่เฉินทราบว่าสวีฉังชิงขอเข้าเฝ้า ก็อนุญาตให้เข้ามาทันที“กระหม่อมสวีฉังชิง ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพันปี...”“ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินนวดขมับเบาๆ แต่ความปวดหัวก็ยังไม่ทุเลา จึงโบกมือให้วั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามานวดผ่อนคลายให้ เขาหลับตาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย แม้เหวินอ๋องจะทำการอันไม่สมควร แต่จัดการเขาเสียก็พอ ขอองค์ชายอย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพเลยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินลืมตาขึ้น มองไปที่สวีฉังชิงพร้อมรอยยิ้ม “พวกเจ้ารู้ข่าวไวดีจริง วันนี้เพิ่งเกิดเรื่องก็ลือกันไปทั่วเมืองแล้ว”“หลานของเจ้าคงบอกเจ้าว่าข้าถูกเหวินอ๋องยั่วจนโกรธมาก แล้วกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีฉังชิงรีบพยายามจะอธิบายเพราะตอนนี้สวีจวินโหลวถือว่าเป็นคนใกล้ชิดในตำหนักบูรพา และในตำแหน่งที่ไวต่อทุกเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันขององค์รัชทายาท การพูดจาไม่ระวังจะทำให้เกิดปัญหาได้ สวีฉังชิงจึงไม่อยากให้หลี่เฉินมีความเห็นไม่ดีต่อหลานของตน“ไม่ต้องอธิบาย”หลี่เฉินขัดคำพูดของสวีฉังชิง “มันเป็นเรื่องธร
จักรวรรดิต้าฉิน ห้องบรรทมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีไฝที่หน้าอก ท่านอยากดูไหม?”หลี่เฉินลืมตาโพลงขึ้นมา และหอบหายใจอย่างหนักราวกับปลาขาดน้ำ เขาจ้องมองเสาแกะสลักลายมังกรรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ การตกแต่งห้องแบบโบราณและวิจิตรตระการตา บวกกับมีสาวงามที่น่าทึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆวิญญาณของฉัน ทะลุมิติมาเหรอ!?“ฝ่าบาท ท่านทรงเป็นอะไรไป?”ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาสวยกว่าดาราหญิงทุกคนในชาติก่อนของเขากำลังส่งเสียงเรียก ทำให้ความคิดของหลี่เฉินกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉับพลันความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉิน ทำให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังหายใจเข้าอย่างหนัก หลี่เฉินก็เข้าใจขึ้นมาชาตินี้ เขาไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่ถือว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นพรอีกต่อไป แต่เป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ว่าที่ฮ่องเต้ ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวในจักรวรรดิต้าฉินอันยิ่งใหญ่!ชาตินี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายจนๆ อีกต่อไป แต่เป็นผู้มีอำนาจและสถานะ ควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไว้ในมือ!“ฉัน...ข้าอยากเห็น แน่นอนอยากเห็นสิ”หลี่เฉิ
เฉินจื้อกัดฟันด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง มือที่จับบนด้ามดาบเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด เผยให้เห็นถึงความโกรธสุดขีด“ไม่กล้า? ไม่กล้าก็ไสหัวไป! ถอยไปด้านหลังให้ข้าห้าก้าว ลงไปจากขั้นบันได ถ้ากล้าเหยียบขั้นบันไดขึ้นมาหนึ่งก้าว สังหารไร้ปรานี!”หลี่เฉินมองสีหน้าอึมครึมของเฉินจื้อ ที่ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ด้วยความอับอาย เมื่อถอยลงจากขั้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหยุด หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะหันหัวเดินเข้าไปด้านในเมื่อจ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่เฉิน ความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของเฉินจื้อก็แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง“หลี่เฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เมื่อแผนการของฮองเฮากับใต้เท้าราชเลขาธิการบรรลุผล ข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”เมื่อกลับเข้ามาด้านใน หลี่เฉินก็เห็นฮองเฮาจ้าวชิงหลานกำลังปลอบใจจ้าวหรุ่ยที่กำลังร้องไห้อยู่อ้อมแขนของนางอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่เคยถูกแตะต้อง แต่เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวหรุ่ยตอนนี้ และยังรอยเลือดบนแท่นบรรทมจึงพอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางย่อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน“องค์รัชทายาท ท่านบังอาจไปแล้วนะ!”เมื่อเห็นห
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปานนางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง ท้องน้อยที่แบนราบ เ
หัวใจของหลี่เฉินหนักอึ้ง เขารู้ว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบตัวเองผลงานของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วินาทีสุดท้ายของฮ่องเต้ พระองค์ก็ยังไม่กล้าที่จะมอบภาระของประเทศไว้บนบ่าของเขาตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การกระทำของเขานั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในท้ายที่สุด“ความยากในการบริหารแผ่นดิน เกิดจากปัญหาภายในและภายนอก”หลี่เฉินผสมผสานความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขึ้นและลงของราชวงศ์ที่เขาอ่านก่อนทะลุมิติมา จากนั้นก็กล่าวว่า “ปัญหาจากภายนอก มาจากพวกคนเถื่อน เฉวี่ยนหรง หนู่เจิน ซยงหนู นอกจากนี้ยังมีพิษร้ายที่เหลือรอดจากอดีตราชวงศ์หยวน ซึ่งต้องการทำลายต้าฉินของพวกเรา”“ปัญหาจากภายใน มาจากการแบ่งแยกของอ๋องศักดินา ซึ่งก็คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องหรือโหว พวกเขามีอำนาจเก็บภาษีในดินแดนศักดินา และมีอำนาจทางการทหาร มันเป็นเพียงสถานที่นอกกฎหมาย เป็นเขตปกครองตนเอง นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ”“ยังมีเจ้าหน้าที่ทุจริตออกอาละวาดในท้องถิ่น พวกขุนนางใหญ่จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาต่อสู้เพื่ออำนาจและ
หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุขไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วยในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเองกองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน“ดีมาก”หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วน
“อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห
บทสนทนาระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหลี่เฉินที่ด้านนอกนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน“ตายแล้ว...เฉินจื้อตายแล้ว”จ้าวหรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง แม้ว่าเตียงจะยังอุ่นอยู่ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเย็นนางกับเฉินจื้อ แม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียวของเฉินจื้อ แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยของจ้าวหรุ่ย แต่คนเช่นนั้น ถูกทุบตีจนตายอยู่นอกตำหนักจ้าวหรุ่ยกระทั่งรู้สึกว่า เมื่อคืนนี้ หลี่เฉินจงใจฆ่าเฉินจื้อที่ลานกว้างหน้าประตูตำหนัก และทำเรื่องเช่นนั้นกับนางในห้องนางรู้สึกว่าหลี่เฉินในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังน่ากลัวอีกด้วย“ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องหาโอกาสทูลขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา เพื่อจัดการองค์รัชทายาท...” จ้าวหรุ่ยกำผ้าห่มแน่น พลางพึมพำกับตัวเององครักษ์เสื้อแพรสองนายเพิ่งจะไป ขันทีซานเป่าก็มาเยือนเขานำรายงานลับมา และมอบให้หลี่เฉินด้วยความเคารพ“องค์รัชทายาท ของที่พระองต์ต้องการอยู่นี่แล้ว”หลี่เฉินหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอนว่าเป็นบันทึกชีวิตประจำวันขององค์ชายเก้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รวมถึงเวลาและสถานที่ที่เขาไป สิ่งที่เขาพูด ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก จนองค์
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อหลี่เฉินทราบว่าสวีฉังชิงขอเข้าเฝ้า ก็อนุญาตให้เข้ามาทันที“กระหม่อมสวีฉังชิง ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพันปี...”“ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินนวดขมับเบาๆ แต่ความปวดหัวก็ยังไม่ทุเลา จึงโบกมือให้วั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามานวดผ่อนคลายให้ เขาหลับตาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “องค์ชาย แม้เหวินอ๋องจะทำการอันไม่สมควร แต่จัดการเขาเสียก็พอ ขอองค์ชายอย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพเลยพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินลืมตาขึ้น มองไปที่สวีฉังชิงพร้อมรอยยิ้ม “พวกเจ้ารู้ข่าวไวดีจริง วันนี้เพิ่งเกิดเรื่องก็ลือกันไปทั่วเมืองแล้ว”“หลานของเจ้าคงบอกเจ้าว่าข้าถูกเหวินอ๋องยั่วจนโกรธมาก แล้วกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวีฉังชิงรีบพยายามจะอธิบายเพราะตอนนี้สวีจวินโหลวถือว่าเป็นคนใกล้ชิดในตำหนักบูรพา และในตำแหน่งที่ไวต่อทุกเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันขององค์รัชทายาท การพูดจาไม่ระวังจะทำให้เกิดปัญหาได้ สวีฉังชิงจึงไม่อยากให้หลี่เฉินมีความเห็นไม่ดีต่อหลานของตน“ไม่ต้องอธิบาย”หลี่เฉินขัดคำพูดของสวีฉังชิง “มันเป็นเรื่องธร
แม้ว่าหลี่อิ๋นหู่จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือจริง เขาก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า โจมตีครั้งเดียวต้องถึงตายจากจ้าวเสวียนจี ในหัวของเขาเริ่มจินตนาการถึงภาพตัวเองในชุดองค์รัชทายาทสีแดงลายมังกรทอง ยืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกรในพระที่นั่งไท่เหอ แทนที่หลี่เฉินใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่เริ่มขึ้นสีแดงเล็กน้อย เขาพยายามกดความตื่นเต้นนั้นลงก่อนจะกล่าวว่า “ดี ทุกเรื่อง ข้าจะทำตามที่ท่านทั้งสามวางแผนไว้โดยไม่ขัดขืน”จางปี้อู่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “จ้าวอ๋องอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ทุกอย่างเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ตามที่เราคำนวณไว้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรในราชสำนัก องค์รัชทายาทย่อมไม่มีทางยอมสละอำนาจและตำแหน่งด้วยตัวเอง”“ดังนั้น สุดท้ายแล้ว เราต้องอาศัยการกดดันด้วยกำลังทหาร”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่อิ๋นหู่ก็หันไปถามจ้าวเสวียนจีว่า “แล้วทางแคว้นเหลียวล่ะ?”“ไม่มีปัญหา”จ้าวเสวียนจีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เย่ลู่เสิ่นเสวียนได้ออกจากเขตแดนแล้ว และพร้อมจะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ ส่วนที่ด่านเย่ว์หยานั้น ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการ จ้าวเสวียนจีไม่คิดจะบอก
แม้จักรวรรดิต้าฉินจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ แต่ราษฎรก็ยังพอมีความหวังจักรวรรดิต้าฉินตั้งมั่นมาได้กว่า 360 ปีแล้ว แม้จะดูเสื่อมถอยและเก่าแก่ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะล่มสลายในมุมมองของราษฎรทั่วไป พวกเขาเห็นว่าราชสำนักมีข้อบกพร่อง ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง และชีวิตความเป็นอยู่ลำบากแต่ตราบใดที่ยังมีข้าวให้กิน พวกเขาก็จะไม่ก่อกบฏนอกจากนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว การบรรเทาทุกข์ของราชสำนักก็ค่อนข้างได้ผล ภัยพิบัติผ่านพ้นไปแล้ว ราษฎรยังพอมองเห็นความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปรากฐานของจักรวรรดิต้าฉินยังไม่ถึงขั้นเน่าเฟะจนต้องรื้อถอนสร้างใหม่ดังนั้น การก่อกบฏในช่วงเวลานี้จึงไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จนี่คือเหตุผลหลักที่จ้าวเสวียนจีต้องการให้หลี่อิ๋นหู่เป็นผู้นำหน้าแม้จะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง หลี่อิ๋นหู่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เขาถามว่า “จะเริ่มด้วยข้ออ้างใด?”จ้าวเสวียนจี จางปี้อู่ และฟู่อวี้จือต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่ฟู่อวี้จือจะเป็นผู้กล่าวตอบ “ในตอนแรก พวกเรายังลังเลว่าจะใช้ข้ออ้างใดที่เหมาะสมที่สุด เพราะตำหนักบูรพานั้นมีจุดให้โจมตีมากมาย ทั้งการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ความโหดเหี้ยม และอื่นๆ แ
หลี่เฉินมองหีบสีดำที่บรรจุซากเสือเน่าเปื่อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโบกมือให้คนยกหีบพร้อมศพของหู่ข่ายและผู้ติดตามออกไปเพื่อเตรียมส่งกลับไปยังจินหลิง จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปยังพระที่นั่งสีเจิ้งไม่นานเรื่องของขวัญจากเหวินอ๋องก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงเมื่อผู้คนได้ยินว่าเหวินอ๋องมอบซากเสือเน่าเปื่อยเป็นของขวัญในงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท แต่ละคนต่างมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจพวกเขาเคยเห็นการกระทำที่โหดร้ายมามาก แต่ไม่เคยเห็นใครทำได้โหดร้ายขนาดนี้ตามสายเลือด เหวินอ๋องเป็นลุงแท้ๆ ขององค์รัชทายาทแต่ในฐานะอ๋องแห่งแคว้น กลับมอบของขวัญที่เต็มไปด้วยหนอนเน่าให้หลานชายในวันสำคัญเช่นนี้ การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงของเหวินอ๋องได้รับความเสียหายอย่างมากจักรวรรดิต้าฉินเป็นดินแดนที่ให้ความสำคัญกับมารยาทและคุณธรรม โดยมีวัฒนธรรมขงจื๊อเป็นหลักและในบรรดาคุณธรรมต่างๆ มารยาทถูกจัดวางไว้อันดับแรกการกระทำของเหวินอ๋องเช่นนี้จึงเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองเมื่อข่าวนี้ไปถึงจ้าวเสวียนจี เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เพราะดูเหมือนว่าเขาเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเหวินอ๋องแต่เมื่อ
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของหลี่เฉิน หู่ข่ายที่เมื่อครู่ยังดูมั่นใจ กลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันทีเขารู้สึกเหมือนองค์รัชทายาทตรงหน้าเป็นเสือโคร่งดุร้าย กำลังเดินย่างกรายเข้ามาใกล้เขาช้าๆเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวย่างช้าๆ แต่ละก้าวเหมือนกำลังเหยียบย่ำอยู่บนหัวใจของหู่ข่ายเมื่อจิตใจเริ่มสั่นคลอน หู่ข่ายก็พยายามระลึกถึงสถานะของตัวเอง ระลึกถึงเหวินอ๋องที่อยู่เบื้องหลัง แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็ง “องค์ชาย กระหม่อมเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสั่งอย่างไร กระหม่อมก็ทำตามนั้น”คำพูดนี้แม้จะฟังดูเหมือนการเตือนหลี่เฉินว่ามีเหวินอ๋องอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวของหู่ข่ายอย่างชัดเจนหลี่เฉินยืนนิ่งอยู่หน้าเกวียน ที่ตรงนั้นกลิ่นเหม็นเน่ายิ่งรุนแรงขึ้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าการอภิเษกของข้า จะทำให้บางคนไม่พอใจสินะ”ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่าหมายถึงใครหู่ข่ายกลืนน้ำลาย มองสบตากับผู้ติดตามที่มาด้วยกันพวกเขาเกรงกลัวบารมีของหลี่เฉิน ตอนนี้ต้องการเพียงแค่หนีออกจากตำหนักบูรพาให้เร็วที่สุด“องค์ชาย กระหม่อมทำหน้าที่เสร็จแล้ว ขออนุญาต
หลี่เฉินไม่ได้สนใจหู่ข่ายแต่หันไปมองหีบขนาดใหญ่บนเกวียนแทนโดยปกติ ของขวัญแสดงความยินดีในงานอภิเษกจะมีการตกแต่งอย่างสวยงามบ้างก็ใช้ผ้าแดงคลุม บ้างก็ติดสัญลักษณ์มงคลแต่หีบสีดำใบนี้ดูเรียบง่ายเกินไป แถมเพราะความยาวที่ผิดปกติ จนดูคล้ายกับโลงศพเสียมากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาของขวัญที่เหวินอ๋องส่งมาไม่ใช่แค่ไม่ใส่ใจ แต่ยังมีเจตนาท้าทายอย่างชัดเจนเหอคุนมองหน้าหลี่เฉิน ก่อนจะตัดสินใจยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับหู่ข่าย “ของขวัญจากเหวินอ๋องมีรายการบรรยายหรือไม่?”หู่ข่ายตอบด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว แถมยังแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย “ของขวัญมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีรายการบรรยาย”เหอคุนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอย่างมากของที่เหวินอ๋องส่งมาชัดเจนว่าไม่ใช่ของดี แต่ในเมื่อองค์รัชทายาทยังไม่พูดอะไร ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจึงต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม้ไม่มีรายการบรรยาย อย่างน้อยก็ควรจะมีการบอกวัตถุประสงค์ ของขวัญในงานอภิเษกสมรสองค์รัชทายาทคือเรื่องที่ทุกคนในแผ่นดินร่วมยินดี การที่บ้านของท่
การปรากฏตัวของเจี้ยว่าง ในที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการเพิ่มความเป็นไปได้ที่ดูเหมือนจะเป็นผลดีต่อหลี่เฉินในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดแต่อะไรก็ยังไม่แน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลี่เฉินรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่แน่นอนเจี้ยว่างดูเหมือนจะมีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเส้าหลินแต่ปัญหาคือ เส้าหลินฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือแยกกันมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ละฝ่ายมีเจ้าอาวาสและระบบการปกครองของตัวเองหากเจี้ยว่างยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นดั่งสัญลักษณ์มงคล ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมจะเคารพนับถือแต่ถ้าเขาก้าวขึ้นมาเพื่อจะเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย นั่นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายเลยแม้หลี่เฉินจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาก็รู้ว่ามันมีความเสี่ยงสูงดังนั้นเขาจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะตอนนี้ เขายังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ นั่นคือพิธีอภิเษกสมรสกับซูจิ่นพ่า ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า"เหลือเวลาอีกห้าวัน"ในเช้าวันถัดมา หลี่เฉินเรียกเหอคุนเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง “อีกห้าวันก็จะถึงวันอภิเษกแล้ว ของขวัญแสดงความยินดีที
แม้เจี้ยว่างจะมีศักดิ์สูงและเป็นยอดฝีมือระดับเซียนบนดิน ไม่ว่าใครในเส้าหลินต่างก็ต้องให้เกียรติเขาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถตัดสินใจทุกเรื่องแทนเส้าหลินได้ยังคงมีคนในสำนักที่มีความเห็นต่างและหากเรื่องราวดำเนินไปผิดพลาด อาจกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่เหมือนกับการแยกฝ่ายระหว่างเส้าหลินฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือในอดีตความฝันตลอดชีวิตของเจี้ยว่างคือการทำให้พุทธศาสนาในเส้าหลินรุ่งเรือง จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงแม้จะมีพลังมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกเรื่องได้เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเจี้ยว่าง หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เงื่อนไขได้ถูกวางไว้แล้ว ท่านอาจารย์จะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปข้างหน้า หรือจะกลับไปตีไม้ปลุกระฆังอย่างสงบในวัด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเอง”เจี้ยว่างถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบว่า “เรื่องนี้ยากยิ่งนัก มิใช่สิ่งที่อาตมาจะตัดสินใจได้โดยลำพัง ขอองค์ชายโปรดให้เวลาอาตมาพิจารณา”“เป็นธรรมดา”หลี่เฉินพยักหน้า “แต่ข้ามีเวลาให้แค่สามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้ ท่านต้องให้คำตอบ หากไม่มีข่าวใดๆ ข้าจะถือว่าท่านได้ปฏิเสธข้อเสนอของข้าแล้ว”เจี้ยว่างถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวว่
"นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ