ผิวขาวเนียนราวหิมะของนางไร้ที่ติใด ๆเนื้อผิวที่แลดูขาวนวลเหมือนน้ำนม ไม่ต้องสัมผัสก็รู้ได้ว่ามันจะต้องอ่อนนุ่มและลื่นมือเป็นอย่างยิ่งใบหน้าที่งดงามประณีตไร้ที่ติ ยิ่งขับความงามของนางให้โดดเด่นยิ่งขึ้นหากจะเปรียบความงามและรัศมีที่นางมีแล้ว ในบรรดาสตรีที่หลี่เฉินเคยพบเจอมา มีเพียงซูจิ่นพ่าและกงฮุยอวี่เท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้แม้แต่จ้าวหรุ่ยและวั่นเจียวเจียวที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ในด้านของราศีและความสง่างาม พวกนางก็ยังคงด้อยกว่าจ้าวชิงหลานอยู่หนึ่งขั้นยิ่งเมื่อพูดถึงสถานะแล้ว ไม่มีสตรีคนใดเทียบเท่าฮองเฮาอย่างจ้าวชิงหลานได้โดยเฉพาะในวันนี้ ที่จ้าวชิงหลานดูอ่อนโยนขึ้นเพราะอาการป่วย หลี่เฉินมองนางแล้วหัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นแต่จ้าวชิงหลานกลับแสดงท่าทีไม่ชอบใจนัก เมื่อเห็นหลี่เฉินเข้ามาใกล้จนเกินไป นางขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ท่านถอยออกไปห่าง ๆ ข้าเสียหน่อย"แต่หลี่เฉินหาได้ฟังไม่ กลับขยับเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม"ท่านป่วย เรียกหมอหลวงมาดูหรือยัง?"จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วแน่น แต่ก็อดทนตอบไปว่า" เรียกแล้ว หมอหลวงบอกว่าเพราะข้าคิดมากเกินไปจนเกิดความเครียด ทำให้เลือดลมไม่เดินสะ
หลี่เฉินผู้มาจากยุคเครือข่ายศตวรรษที่ 21 ผ่านประสบการณ์คำด่าของเหล่านักเลงคีย์บอร์ดมากมายจนชินชา บัดนี้เมื่อได้ยินคำด่าของจ้าวชิงหลาน เขากลับรู้สึกราวกับลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านอย่างเบาสบายนางด่าว่าเขาไร้ยางอาย เรียกเขาว่าคนไร้ศีลธรรม คำด่าก็ยังวนเวียนอยู่แต่ในประโยคเดิม ๆ ดูเหมือนไม่ได้ด่าจริงจังสักเท่าไหร่แต่เมื่อพิจารณาถึงการอบรมสั่งสอนและความประณีตในตัวนางแล้ว การด่าว่าคนอื่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับจ้าวชิงหลานการที่นางสามารถพูดคำด่าเหล่านี้ออกมาได้ แสดงว่านางโมโหจนถึงขีดสุดแล้วหลี่เฉินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยเขากระชับวงแขนที่โอบรัดเอวอันนุ่มนวลของจ้าวชิงหลานให้แน่นขึ้น จากนั้นกระซิบใกล้หูที่แดงระเรื่อของนาง "ท่านต้องการให้ทุกคนข้างนอกนั้นรู้ว่าเรานอนอยู่บนเตียงเดียวกันหรือ?"มาอีกแล้วมาอีกแล้วการข่มขู่อันหน้าด้านของเขามาอีกแล้วกลยุทธ์เก่าใช้ได้ผลเสมอจ้าวชิงหลานที่กำลังส่งเสียงด่าทออย่างไม่เกรงใจพลันเงียบลงนางกัดริมฝีปากแน่น จ้องมองหลี่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยความเดือดดาล "ท่านอย่าทำเกินไปนัก!""ข้าไม่ได้ทำเกินไป"หลี่เฉินยิ้ม ก่อนจะก้มลงและสัมผัสเบา ๆ
บนเตียงหงส์ จ้าวชิงหลานนอนอยู่ด้านใน ส่วนหลี่เฉินนอนอยู่ด้านนอกเดิมที จ้าวชิงหลานตั้งใจจะหลีกเลี่ยงหลี่เฉิน จึงนอนหันหลังให้เขาดังนั้น ท่วงท่าจึงกลายเป็นว่าหลี่เฉินโอบกอดจ้าวชิงหลานจากด้านหลังทว่าเมื่อจ้าวชิงหลานพลิกกายหันมา สองสายตาประสานกัน สร้างบรรยากาศที่แปลกประหลาดขึ้นทันทีจ้าวชิงหลานรู้สึกเสียใจแทบตาย นางคิดในใจว่าพลิกกายทำไมตอนนี้ความกระอักกระอ่วน ความอับอาย และความขุ่นเคืองผสมปนเปกันจ้าวชิงหลานกลับยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองไว้เมื่อหลี่เฉินเห็นท่าทีของจ้าวชิงหลานที่คล้ายดั่งนกกระจอกเทศเช่นนี้ เขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเขาไม่คิดเลยว่าจ้าวชิงหลานจะมีมุมที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ลองคิดดูแล้ว แม้จ้าวชิงหลานจะสูงส่งเพียงใด แม้จะเป็นถึงฮองเฮา แต่แท้จริงแล้วนางก็ยังคงเป็นหญิงสาวอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ ก่อนจะมีฐานะอื่นใดยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางพลิกกายของจ้าวชิงหลานก็ยังไม่อาจสลัดหลุดจากการควบคุมของมือใหญ่ของหลี่เฉินมือหนาราวกับเงาตามตัว จับแน่นบนผิวกายที่นุ่มนวลจนถึงขีดสุด บริเวณที่อวบอิ่มเกินต้านทาน หลี่เฉินมองเห็นผิวกายที่เรียบเนียนสมบูรณ์แบบนั้น ถูกบีบอัดจนเปลี่ยนรูปไปตา
เมื่อจ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของคำว่า “ช่วย” ที่หลี่เฉินต้องการ นางก็ไม่มีทางเลือกอีกต่อไปสมองของจ้าวชิงหลานว่างเปล่า ปั่นป่วนสับสน มีเพียงความคิดเดียวคือ นางจะต้องไม่ปล่อยให้บุรุษไร้ยางอายผู้นี้ได้ดั่งใจทว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ นางสูญเสียความสามารถในการคิดอย่างสิ้นเชิงหลี่เฉินจับข้อมือนางอีกครั้ง เพื่อชักนำเป็นครั้งที่สองในความสับสนว่างเปล่า จ้าวชิงหลานสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่ฝ่ามือของนางอีกครั้งการสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจเพียงแค่สัมผัสผ่านมือก็รู้สึกดีถึงเพียงนี้ หากได้ครอบครองจริง ๆ จะเป็นเช่นไรเล่า?แต่เรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องค่อยเป็นค่อยไปจ้าวชิงหลานไม่ใช่จ้าวหรุ่ย และยิ่งไม่ใช่องค์หญิงเสียนเฉาการจัดการกับนาง จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาดใช่แล้ว...คำว่า “รีบร้อนไม่ได้” ช่างเหมาะกับสถานการณ์นี้นัก“ค่อย ๆ ไปก่อน ให้ชินสักหน่อย”หลี่เฉินพูดกับจ้าวชิงหลาน ขณะที่ยังคงมีผ้าห่มกั้นอยู่ระหว่างทั้งสองร่างของจ้าวชิงหลานสะท้านเล็กน้อย นางเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ตนกำลังทำความอับอายและความโกรธแค้นทำให้นางอยากจะหากรรไกรสักอันมาตัดบ
บนเตียงหงส์ ร่างของทั้งสองแนบชิดกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเสียงจูบที่ดัง “จ๊วบ” ในระหว่างที่ริมฝีปากและลิ้นเกี่ยวพันกันนั้น ทำให้ผู้ใดได้ยินต้องหน้าแดงด้วยความกระดากผ้าห่มที่ขยับและพลิกไปมาบ่งบอกได้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นใต้ผ้าห่มนั้น ไม่ควรมีผู้ใดได้เห็นไม่รู้ว่านานแค่ไหน จ้าวชิงหลานรู้เพียงว่า ริมฝีปากของนางชักจะชาจนไร้ความรู้สึก มือก็เมื่อยล้าจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง ในที่สุด หลี่เฉินจึงครางออกมาเบา ๆ ก่อนจะกอดนางไว้แน่น“อ๊ะ!”จ้าวชิงหลานรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกระทบเข้ากับร่างกายของนาง นางจึงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจครู่ใหญ่ หลี่เฉินจึงปล่อยนางออกด้วยท่าทีพึงพอใจส่วนจ้าวชิงหลานกลับรีบเช็ดมือและเช็ดสิ่งที่เปื้อนอยู่บนร่างกายอย่างลนลานเมื่อพายุผ่านพ้นไป สิ่งที่หลงเหลือคือความโกรธที่ไม่มีที่สิ้นสุดสายตาของจ้าวชิงหลานราวกับจะฆ่าคนได้นางจ้องมองหลี่เฉินด้วยความโกรธแค้น ทั้งอับอายและน้อยใจนางรู้สึกว่าตัวเองไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วทุกส่วนของร่างกายล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหลี่เฉินความรู้สึกถูกหลี่เฉินย่ำยีเช่นนี้ ทำให้นางโกรธจนแทบคลั่งโดยเฉพาะใบหน้าของหลี่เฉินที่ดูอิ่มเอมใจ ยิ่
"เมื่อเจ้าออกไปจากที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องพึ่งพาตัวเจ้าเองทั้งหมด หากในช่วงเวลานี้เจ้าเกิดป่วยขึ้นมา จะเป็นปัญหาใหญ่ได้ พูดคุยกันจากนอกม่านลูกปัดเถิด ข้าจะได้มองเห็นเจ้า"น้ำเสียงของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจ้าวไท่ไหลก็หมองลงทันทีเขาไม่ยืนกรานอีกต่อไป เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ "ท่านพี่ วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ข้าจะอยู่ที่นี่ พวกเขาบอกว่าจะส่งข้าไปเสียนเฉา""เสียนเฉา!?"จ้าวชิงหลานอุทานด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้ถึงจุดหมายปลายทางของจ้าวไท่ไหล นางรีบพูดด้วยความร้อนรน "นั่นเป็นดินแดนที่หนาวเหน็บและแร้นแค้น เจ้าจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?"จ้าวชิงหลานคิดจะขอให้หลี่เฉินเปลี่ยนสถานที่ส่งตัวจ้าวไท่ไหลแม้จะต้องลี้ภัย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปยังเสียนเฉาที่เป็นดินแดนอันกันดารเช่นนั้นสุดท้ายแล้ว นางยังคงสงสารและเป็นห่วงจ้าวไท่ไหลแต่ไม่คาดคิดว่า จ้าวไท่ไหลกลับยิ้มอย่างปล่อยวาง "ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อจะต้องจากไปแล้ว ก็ถือโอกาสเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่เสียเลย ข้าคิดดูแล้ว เสียนเฉาแม้จะเป็นดินแดนป่าเถื่อนและเพิ่งผ่านศึกสงครามมา แต่ด้
จ้าวไท่ไหลเดิมคิดว่าเมื่อพูดจบแล้ว จะได้รับความยินดีจากพี่สาวของตน แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเงียบงันที่แสนประหลาดจากหลังม่านลูกปัดรออยู่ครู่หนึ่ง จ้าวไท่ไหลอดรนทนไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านยังฟังอยู่หรือไม่?”หลังม่านลูกปัด จ้าวชิงหลานยังคงจ้องมองหลี่เฉิน ดวงตาเต็มไปด้วยความลังเลของขวัญที่จ้าวไท่ไหลนำมานั้น นับว่าเป็นแต้มต่อที่ดี แต่โชคร้ายที่หลี่เฉินอยู่ในเหตุการณ์ด้วยพูดได้เพียงว่า ชะตากรรมเล่นตลกนักในยามนี้ จ้าวชิงหลานหวังเพียงให้หลี่เฉินมีเมตตาสักครั้งเช่นพูดว่านี่เป็นของขวัญจากน้องของเจ้า ข้าไม่คิดฉวยโอกาสเช่นนี้แต่หลี่เฉินกลับแสดงท่าทีว่า...ล้อกันเล่นหรือ?เนื้ออันอวบอิ่มที่ลอยมาตรงหน้า ใครเล่าจะปล่อยให้หลุดมือไป?คำว่า "เมตตา" ไม่มีวันเกิดขึ้นกับหลี่เฉินต่อหน้าจ้าวชิงหลาน หลี่เฉินยื่นมือไปแหวกม่านลูกปัดออกหัวใจของจ้าวชิงหลานพลันบีบรัดแน่น“อย่า...”เสียงอ้อนวอนเพิ่งเล็ดรอดออกมา หลี่เฉินก็แหวกม่านลูกปัดจนยืนอยู่ตรงหน้าจ้าวไท่ไหลแล้วจ้าวชิงหลานหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง นางรู้ดีว่า ทุกอย่างจบสิ้นแล้วเป็นไปตามคาด เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นว่าคนที่เดินออกมาจา
อย่าว่าแต่ตอนนี้ตนเป็นเพียงสุนัขไร้เจ้าของเลยแม้ในยามที่ข้ายังเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลจ้าว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลี่เฉิน ตนก็ได้แต่ก้มหัวอ้อนวอนแม้แต่บิดาของตนยังถูกเขาบีบคั้นจนเกือบเสียสติ แล้วตัวเขาจะเหลืออะไรเล่า?แต่เมื่อครู่ ตนกลับกล้าคิดจะลงมือกับเขาหากแตะต้องตัวหลี่เฉินจริง เกรงว่าทันทีที่ลงมือ ตนคงถูกดาบฟันจนแหลกเป็นชิ้นๆ แล้วเช่นนั้น ทุกสิ่งที่พี่สาวตนได้เสียสละไป คงสูญเปล่ายิ่งไปกว่านั้น บางทีพี่สาวของตนอาจต้องยอมรับเงื่อนไขอันเลวร้ายของหลี่เฉินเพราะต้องการปกป้องข้า...ความคิดเหล่านี้ทำให้จ้าวไท่ไหลหัวใจสั่นสะท้านแต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธและสิ้นหวังที่สุดคือ เขาไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยแม้แต่พี่สาวของเขา ซึ่งเป็นฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ ยังต้องยอมศิโรราบต่อหลี่เฉิน แล้วตัวเขามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธหรือท้าทายหลี่เฉิน?สุดท้าย คนที่ต้องตายก็คือตัวเขาเองความคิดเหล่านี้ทำให้จ้าวไท่ไหลรู้สึกหมดอาลัยตายอยากแต่หลี่เฉินหาได้ใส่ใจความทุกข์ทรมานในใจของจ้าวไท่ไหลไม่ เขาเพียงยื่นมือออกมาและกล่าวว่า “ส่งรายชื่อมา”จ้าวไท่ไหลสะดุ้งเฮือก ถอยหลังไปอีกก้าว กัดฟันกล่าวว่า
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี