หลันเยว่เซวียนสาขานี้ ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เมื่อครู่ก็ถูก "เชิญ" ออกจากร้านอย่างสุภาพหลันเยว่เซวียนที่บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับเงียบสงัดจ้าวไท่ไหลนั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ไขว่ห้างพลางรอเวลาให้สร่างเมาเหล่าคุณชายที่ติดตามเขามาด้วย พูดคุยหัวเราะเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร อาศัยฤทธิ์สุรา สั่งเอาของกินของดื่มจากร้านมาวางเกลื่อนพื้น ราวกับเป็นของส่วนตัวไม่เพียงแค่ลุงสามแห่งตระกูลหลิว แม้แต่พนักงานคนอื่นๆ ในร้านต่างก็เดือดดาลในใจ แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก ได้แต่ยืนกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง ปล่อยให้พวกอันธพาลในคราบคุณชายเหล่านี้ทำตามใจเมื่อเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป จ้าวไท่ไหลพลันแค่นเสียงเย็นชาออกมา พลางพูดขึ้นช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกตระกูลหลิวจะไม่เห็นหัวข้าจริงๆ สินะ”พูดจบ เขาฟาดมือลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง จนน้ำชาในถ้วยกระเด็นหกเลอะเทอะ“หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำให้หลันเยว่เซวียนหายไปจากเมืองหลวงได้จริงๆ!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวอ้อนวอน “คุณชายจ้าว โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะเถิด ข้าน้อยได้ส่งคนไปแจ้งหัวหน้าตระกูลแล้ว นางก
ในยามปกติ ต่อให้ให้หลิวซือต๋าจะมีความกล้าเป็นสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินจ้าวไท่ไหลแต่เวลานี้สถานการณ์ต่างออกไปเมื่อเห็นน้องสาวของตนกำลังจะถูกลวนลาม เขาในฐานะพี่ชาย หากยังนิ่งเฉย ก็เหมือนหาความอับอายใส่ตัวเองยิ่งไปกว่านั้น หลิวซือต๋ารู้ดีว่าผู้มีอิทธิพลสูงสุดที่เป็นกำลังสำคัญของตระกูลกำลังมองสถานการณ์ทั้งหมดจากด้านนอกเขามั่นใจว่า หลิวซือฉุนน้องสาวของตน ย่อมเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา มิฉะนั้นตระกูลหลิวจะได้ประโยชน์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรด้วยเหตุนี้ เขายิ่งไม่มีทางถอยหลังจ้าวไท่ไหลแล้วอย่างไร? ตระกูลของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาได้เมื่อข้อมือถูกจับ พร้อมกับคำพูดกระทบกระเทียบอย่างไม่อ้อมค้อมของหลิวซือต๋า ทำให้จ้าวไท่ไหลถึงกับอึ้ง“นี่! ตระกูลหลิวช่างกล้าจริงๆ นะ แม้แต่ข้าก็กล้าขวาง?!”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด ก่อนจะกระชากมือกลับ แล้วฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของหลิวซือต๋าอย่างแรงแรงตบทำให้หลิวซือต๋าหมุนไปครึ่งรอบ และเกือบล้มลงกับพื้นหลิวซือฉุนที่ยืนอยู่ใกล้รีบพุ่งเข้ามาพยุงพี่ชายด้วยความตกใจ เพื่อป้องกันไ
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จ้าวไท่ไหลรู้สึกคุ้นเคยทันทีแต่ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ใดฤทธิ์สุราทำให้ความคิดไม่แจ่มชัด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เปิดปากด่าทันที “ใครมันไม่เจียมตัวมาพูดพล่อยๆ ตรงนี้? เจ้ามีสิทธิ์พูดกับข้าหรือ? ออกมาให้ข้าต่อยจนฟันร่วงเดี๋ยวนี้!”พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูชายผู้นั้นสวมชุดยาวสีขาวมุกทอด้วยไหมชั้นดี มวยผมทรงนักปราชญ์คาดด้วยปิ่นหยกขาวที่ประณีตงดงาม ไม่ฉูดฉาดแต่กลับดูสูงส่งและสมบูรณ์แบบเสื้อชั้นในสีขาวงาช้างกับเข็มขัดหยกยิ่งเสริมให้ชายผู้นั้นดูโดดเด่นราวกับเทพบุตรในภาพวาดเขามีท่วงท่าที่สง่างาม ร่างกายสูงโปร่ง บารมีล้นเหลือทุกสายตาที่มองเห็น ต่างอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามสง่าของชายผู้นี้แต่เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ความเมา ความไม่พอใจ และความหยิ่งยโสบนใบหน้าก็หายไปหมดสิ้นร่างของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกจับจ้องโดยสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อยจ้าวไท่ไหลไม่มีวันคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทหลี่เฉินในที่แห่งนี้!เขารู้สึกเหมือนลมหายใจหยุดชะงัก ร่างกายช
จ้าวไท่ไหลคิดจะหลบหนี แต่หลี่เฉินไม่มีทางปล่อยให้เขาไปง่ายๆหลี่เฉินยกมือวางบนบ่าของจ้าวไท่ไหล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร “ทำตัวอวดดีแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ? ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”จ้าวไท่ไหลตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะพูดว่า “ข้า...ข้ามีตาหามีแววไม่...”หลี่เฉินตบไหล่จ้าวไท่ไหลเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เมื่อครู่เจ้ากร่างมากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูขลาดเขลาไปล่ะ?”“ทำต่อสิ”“คนสุดท้ายที่พูดกับข้าเช่นเจ้า ข้าตัดหัวเขาเองกับมือ”หลี่เฉินยิ้มสดใสให้จ้าวไท่ไหล แต่คำพูดของเขาเย็นชาอย่างน่าสะพรึง “เจ้าก็อยากลองดูบ้างหรือ?”ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกจ้าวไท่ไหลตบหน้าไปก่อนหน้านี้ ยังคงโมโห แต่ไม่กล้าหันไปหาเรื่องจ้าวไท่ไหล จึงพาลไม่พอใจหลี่เฉินแทน“เจ้าเป็นใครกันแน่…”เพี๊ยะ!หลี่เฉินสวนกลับด้วยการตบหน้าชายหนุ่มคนดังกล่าว ทำให้เขาสงบปากได้ทันทีชายหนุ่มที่เพิ่งถูกตบหน้าทั้งซ้ายขวาภายในเวลาไม่นาน ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือที่ชัดเจนความเจ็บปวดร้อนผ่าวทำให้เขาสร่างเมาไปไม่น้อย เมื่อเขามองดูจ้าวไท่ไหลที่ไม่กล้าแม้แต่จะเ
เมื่อถูกหลี่เฉินจับยกขึ้นไว้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับชาดิกทั้งตัวเขามองหลี่เฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนเกือบทรุดลง หากไม่ใช่เพราะหลี่เฉินจับคอเสื้อไว้ เขาคงคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว“ขะ...ข้า...”เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายได้แต่หันไปมองจ้าวไท่ไหลด้วยสีหน้าอ้อนวอนและพูดเสียงเบาว่า “พี่จ้าว ช่วยข้าด้วย”จ้าวไท่ไหลขนลุกวาบเขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เฉินดี และการจะช่วยชายหนุ่มคนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้จ้าวไท่ไหลอยากจะชกเจ้าคนโง่ที่ดึงเขามาเดือดร้อนนี้ให้ตายไปเสีย“อย่าหวังให้เขาช่วยเจ้าเลย ตอนนี้ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด”หลี่เฉินปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มลง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ไปคุกเข่าเรียงกันที่หน้าประตูร้าน คอยจับตาดูกันเอง ใครลุกขึ้นหรือขยับตัวผิดปกติ ให้คนที่รายงานกลับได้ ส่วนคนที่ถูกรายงาน ให้ลากออกไปทุบให้ตายซะ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มในกลุ่มเขียวคล้ำการที่ต้องไปคุกเข่าหน้าร้านหลันเยว่เซวียนให้คนทั้งถนนเห็น คงเป็นเรื่องที่เสียหน้าอย่างร้ายแรงสองคนใน
จักรวรรดิต้าฉิน ห้องบรรทมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีไฝที่หน้าอก ท่านอยากดูไหม?”หลี่เฉินลืมตาโพลงขึ้นมา และหอบหายใจอย่างหนักราวกับปลาขาดน้ำ เขาจ้องมองเสาแกะสลักลายมังกรรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ การตกแต่งห้องแบบโบราณและวิจิตรตระการตา บวกกับมีสาวงามที่น่าทึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆวิญญาณของฉัน ทะลุมิติมาเหรอ!?“ฝ่าบาท ท่านทรงเป็นอะไรไป?”ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาสวยกว่าดาราหญิงทุกคนในชาติก่อนของเขากำลังส่งเสียงเรียก ทำให้ความคิดของหลี่เฉินกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉับพลันความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉิน ทำให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังหายใจเข้าอย่างหนัก หลี่เฉินก็เข้าใจขึ้นมาชาตินี้ เขาไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่ถือว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นพรอีกต่อไป แต่เป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ว่าที่ฮ่องเต้ ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวในจักรวรรดิต้าฉินอันยิ่งใหญ่!ชาตินี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายจนๆ อีกต่อไป แต่เป็นผู้มีอำนาจและสถานะ ควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไว้ในมือ!“ฉัน...ข้าอยากเห็น แน่นอนอยากเห็นสิ”หลี่เฉิ
เฉินจื้อกัดฟันด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง มือที่จับบนด้ามดาบเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด เผยให้เห็นถึงความโกรธสุดขีด“ไม่กล้า? ไม่กล้าก็ไสหัวไป! ถอยไปด้านหลังให้ข้าห้าก้าว ลงไปจากขั้นบันได ถ้ากล้าเหยียบขั้นบันไดขึ้นมาหนึ่งก้าว สังหารไร้ปรานี!”หลี่เฉินมองสีหน้าอึมครึมของเฉินจื้อ ที่ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ด้วยความอับอาย เมื่อถอยลงจากขั้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหยุด หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะหันหัวเดินเข้าไปด้านในเมื่อจ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่เฉิน ความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของเฉินจื้อก็แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง“หลี่เฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เมื่อแผนการของฮองเฮากับใต้เท้าราชเลขาธิการบรรลุผล ข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”เมื่อกลับเข้ามาด้านใน หลี่เฉินก็เห็นฮองเฮาจ้าวชิงหลานกำลังปลอบใจจ้าวหรุ่ยที่กำลังร้องไห้อยู่อ้อมแขนของนางอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่เคยถูกแตะต้อง แต่เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวหรุ่ยตอนนี้ และยังรอยเลือดบนแท่นบรรทมจึงพอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางย่อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน“องค์รัชทายาท ท่านบังอาจไปแล้วนะ!”เมื่อเห็นห
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปานนางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง ท้องน้อยที่แบนราบ เ
เมื่อถูกหลี่เฉินจับยกขึ้นไว้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับชาดิกทั้งตัวเขามองหลี่เฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนเกือบทรุดลง หากไม่ใช่เพราะหลี่เฉินจับคอเสื้อไว้ เขาคงคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว“ขะ...ข้า...”เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายได้แต่หันไปมองจ้าวไท่ไหลด้วยสีหน้าอ้อนวอนและพูดเสียงเบาว่า “พี่จ้าว ช่วยข้าด้วย”จ้าวไท่ไหลขนลุกวาบเขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เฉินดี และการจะช่วยชายหนุ่มคนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้จ้าวไท่ไหลอยากจะชกเจ้าคนโง่ที่ดึงเขามาเดือดร้อนนี้ให้ตายไปเสีย“อย่าหวังให้เขาช่วยเจ้าเลย ตอนนี้ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด”หลี่เฉินปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มลง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ไปคุกเข่าเรียงกันที่หน้าประตูร้าน คอยจับตาดูกันเอง ใครลุกขึ้นหรือขยับตัวผิดปกติ ให้คนที่รายงานกลับได้ ส่วนคนที่ถูกรายงาน ให้ลากออกไปทุบให้ตายซะ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มในกลุ่มเขียวคล้ำการที่ต้องไปคุกเข่าหน้าร้านหลันเยว่เซวียนให้คนทั้งถนนเห็น คงเป็นเรื่องที่เสียหน้าอย่างร้ายแรงสองคนใน
จ้าวไท่ไหลคิดจะหลบหนี แต่หลี่เฉินไม่มีทางปล่อยให้เขาไปง่ายๆหลี่เฉินยกมือวางบนบ่าของจ้าวไท่ไหล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร “ทำตัวอวดดีแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ? ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”จ้าวไท่ไหลตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะพูดว่า “ข้า...ข้ามีตาหามีแววไม่...”หลี่เฉินตบไหล่จ้าวไท่ไหลเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เมื่อครู่เจ้ากร่างมากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูขลาดเขลาไปล่ะ?”“ทำต่อสิ”“คนสุดท้ายที่พูดกับข้าเช่นเจ้า ข้าตัดหัวเขาเองกับมือ”หลี่เฉินยิ้มสดใสให้จ้าวไท่ไหล แต่คำพูดของเขาเย็นชาอย่างน่าสะพรึง “เจ้าก็อยากลองดูบ้างหรือ?”ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกจ้าวไท่ไหลตบหน้าไปก่อนหน้านี้ ยังคงโมโห แต่ไม่กล้าหันไปหาเรื่องจ้าวไท่ไหล จึงพาลไม่พอใจหลี่เฉินแทน“เจ้าเป็นใครกันแน่…”เพี๊ยะ!หลี่เฉินสวนกลับด้วยการตบหน้าชายหนุ่มคนดังกล่าว ทำให้เขาสงบปากได้ทันทีชายหนุ่มที่เพิ่งถูกตบหน้าทั้งซ้ายขวาภายในเวลาไม่นาน ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือที่ชัดเจนความเจ็บปวดร้อนผ่าวทำให้เขาสร่างเมาไปไม่น้อย เมื่อเขามองดูจ้าวไท่ไหลที่ไม่กล้าแม้แต่จะเ
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จ้าวไท่ไหลรู้สึกคุ้นเคยทันทีแต่ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ใดฤทธิ์สุราทำให้ความคิดไม่แจ่มชัด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เปิดปากด่าทันที “ใครมันไม่เจียมตัวมาพูดพล่อยๆ ตรงนี้? เจ้ามีสิทธิ์พูดกับข้าหรือ? ออกมาให้ข้าต่อยจนฟันร่วงเดี๋ยวนี้!”พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูชายผู้นั้นสวมชุดยาวสีขาวมุกทอด้วยไหมชั้นดี มวยผมทรงนักปราชญ์คาดด้วยปิ่นหยกขาวที่ประณีตงดงาม ไม่ฉูดฉาดแต่กลับดูสูงส่งและสมบูรณ์แบบเสื้อชั้นในสีขาวงาช้างกับเข็มขัดหยกยิ่งเสริมให้ชายผู้นั้นดูโดดเด่นราวกับเทพบุตรในภาพวาดเขามีท่วงท่าที่สง่างาม ร่างกายสูงโปร่ง บารมีล้นเหลือทุกสายตาที่มองเห็น ต่างอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามสง่าของชายผู้นี้แต่เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ความเมา ความไม่พอใจ และความหยิ่งยโสบนใบหน้าก็หายไปหมดสิ้นร่างของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกจับจ้องโดยสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อยจ้าวไท่ไหลไม่มีวันคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทหลี่เฉินในที่แห่งนี้!เขารู้สึกเหมือนลมหายใจหยุดชะงัก ร่างกายช
ในยามปกติ ต่อให้ให้หลิวซือต๋าจะมีความกล้าเป็นสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินจ้าวไท่ไหลแต่เวลานี้สถานการณ์ต่างออกไปเมื่อเห็นน้องสาวของตนกำลังจะถูกลวนลาม เขาในฐานะพี่ชาย หากยังนิ่งเฉย ก็เหมือนหาความอับอายใส่ตัวเองยิ่งไปกว่านั้น หลิวซือต๋ารู้ดีว่าผู้มีอิทธิพลสูงสุดที่เป็นกำลังสำคัญของตระกูลกำลังมองสถานการณ์ทั้งหมดจากด้านนอกเขามั่นใจว่า หลิวซือฉุนน้องสาวของตน ย่อมเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา มิฉะนั้นตระกูลหลิวจะได้ประโยชน์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรด้วยเหตุนี้ เขายิ่งไม่มีทางถอยหลังจ้าวไท่ไหลแล้วอย่างไร? ตระกูลของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาได้เมื่อข้อมือถูกจับ พร้อมกับคำพูดกระทบกระเทียบอย่างไม่อ้อมค้อมของหลิวซือต๋า ทำให้จ้าวไท่ไหลถึงกับอึ้ง“นี่! ตระกูลหลิวช่างกล้าจริงๆ นะ แม้แต่ข้าก็กล้าขวาง?!”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด ก่อนจะกระชากมือกลับ แล้วฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของหลิวซือต๋าอย่างแรงแรงตบทำให้หลิวซือต๋าหมุนไปครึ่งรอบ และเกือบล้มลงกับพื้นหลิวซือฉุนที่ยืนอยู่ใกล้รีบพุ่งเข้ามาพยุงพี่ชายด้วยความตกใจ เพื่อป้องกันไ
หลันเยว่เซวียนสาขานี้ ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เมื่อครู่ก็ถูก "เชิญ" ออกจากร้านอย่างสุภาพหลันเยว่เซวียนที่บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับเงียบสงัดจ้าวไท่ไหลนั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ไขว่ห้างพลางรอเวลาให้สร่างเมาเหล่าคุณชายที่ติดตามเขามาด้วย พูดคุยหัวเราะเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร อาศัยฤทธิ์สุรา สั่งเอาของกินของดื่มจากร้านมาวางเกลื่อนพื้น ราวกับเป็นของส่วนตัวไม่เพียงแค่ลุงสามแห่งตระกูลหลิว แม้แต่พนักงานคนอื่นๆ ในร้านต่างก็เดือดดาลในใจ แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก ได้แต่ยืนกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง ปล่อยให้พวกอันธพาลในคราบคุณชายเหล่านี้ทำตามใจเมื่อเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป จ้าวไท่ไหลพลันแค่นเสียงเย็นชาออกมา พลางพูดขึ้นช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกตระกูลหลิวจะไม่เห็นหัวข้าจริงๆ สินะ”พูดจบ เขาฟาดมือลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง จนน้ำชาในถ้วยกระเด็นหกเลอะเทอะ“หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำให้หลันเยว่เซวียนหายไปจากเมืองหลวงได้จริงๆ!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวอ้อนวอน “คุณชายจ้าว โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะเถิด ข้าน้อยได้ส่งคนไปแจ้งหัวหน้าตระกูลแล้ว นางก
ระบบเงินตราของจักรวรรดิต้าฉินยังคงมีเสถียรภาพโดยทั่วไป เงินหนึ่งพันอีแปะ หรือหนึ่งก้วนเงิน สามารถแลกได้หนึ่งตำลึงเงินต้นทุนการผลิตสบู่หนึ่งก้อนอยู่ที่หนึ่งตำลึงเงิน แต่เมื่อขายออกไป กลับได้กำไรถึงห้าเท่า โดยสบู่หนึ่งก้อนสร้างกำไรสุทธิถึงสี่ตำลึงเงิน ไม่เพียงแต่หลี่เฉินที่พอใจยิ่งนัก แม้แต่สมาชิกตระกูลหลิวเองก็ยังรู้สึกทึ่งพวกเขาทำการค้ามาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยพบธุรกิจใดที่ทำกำไรได้มหาศาลเช่นนี้มาก่อนที่สำคัญ ตอนนี้ความต้องการสบู่ในตลาดมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ ขายดีจนไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมดเพียงแค่ผลิตออกมาก็จะถูกซื้อหมดในทันทีเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการค้นพบภูเขาทองคำหลี่เฉินวางถ้วยชาลงก่อนพูดขึ้นว่า “ดีมาก จงรักษาสถานการณ์นี้ไว้ แต่อย่าเพิ่มกำลังการผลิตอีก รอจนช่างฝีมือของตระกูลหลิวชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มพัฒนาวิธีการผลิตใหม่สำหรับสบู่ราคาถูกที่เข้าถึงคนทั่วไปได้”หลิวซือฉุนตาเป็นประกาย กล่าวว่า “องค์ชายหมายความว่า ของหายากย่อมมีค่ามากใช่หรือไม่เพคะ?”หลี่เฉินยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ของที่ดีเพียงใด หากมีมากเกินไปก็ย่อมหมดความน่าสนใจ สบู่ในราคาห้าตำลึงไม่ใช่ของถูก ยิ่
ความโกรธเกรี้ยวและการโจมตีอย่างกะทันหันของจ้าวไท่ไหล ทำให้ลุงสามแห่งตระกูลหลิวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักท้องของเขาถูกเตะอย่างจังด้วยพลังอันมหาศาล ร่างกายที่ชราภาพอยู่แล้วไม่อาจทนรับไหว ขาทั้งสองถึงกับทรุดลงจนเข่ากระแทกพื้นเขาเอามือกุมท้อง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด แต่ปากยังคงร้องขอความเมตตาไม่หยุด “คุณชายจ้าวโปรดอภัย โปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบนำชาร้อนที่ดีที่สุดมาให้เดี๋ยวนี้”“ไม่ต้องแล้ว!”จ้าวไท่ไหลตั้งใจมาหาเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่พูดเรื่องชาไปก็แค่หาข้ออ้างเท่านั้นเขาแค่นเสียงเย็นชา “ตาแก่คนนี้ตาบอดหรืออย่างไร? หวังว่าคนในตระกูลหลิวของเจ้าจะไม่มีใครตาบอดเหมือนเจ้าอีก!”“ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ให้เวลาเจ้าเพียงหนึ่งเค่อ รีบไปตามหัวหน้าตระกูลของเจ้ามา หากช้าแม้เพียงเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ข้าจะทำให้หลันเยว่เซวียนของตระกูลหลิวหายไปจากเมืองหลวงทันที!”“เข้าใจหรือไม่!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรู้ว่าวันนี้คงไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายๆ เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดในท้อง ก่อนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว”เขาลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก โดยมีลูกจ้างร้านสองคนช่วยพยุง แม้พนัก
สิ่งที่เห็นย่อมเป็นสิ่งที่จริงแท้ เมื่อเห็นว่าหลันเยว่เซวียนมียอดขายที่ดีถึงเพียงนี้ ดวงตาของจ้าวไท่ไหลถึงกับแดงฉานด้วยความอิจฉา“ลูกค้าท่านนี้อยากได้อะไรหรือ? หากต้องการซื้อสบู่ ขอความกรุณาท่านลูกค้าไปต่อคิวด้านนอกด้วย”เด็กหนุ่มผู้ช่วยร้านคนหนึ่งเห็นจ้าวไท่ไหลพาผู้ติดตามวัยหนุ่มอีกสี่ห้าคนมาด้วย ทุกคนแต่งกายด้วยชุดหรูหราสะดุดตา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่กล้าละเลย รีบเดินเข้ามายิ้มต้อนรับพลางกล่าวด้วยท่าทีสุภาพจ้าวไท่ไหลเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนเดินลอยหน้าลอยตาไปนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับรับรองแขก แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้ามีธุระกิจใหญ่จะเจรจากับหลันเยว่เซวียน ตัวเจ้ายังไม่คู่ควรจะพูดกับข้า รีบไปเรียกเจ้าของร้านออกมา!”เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แม้จะไม่พอใจกับท่าทีของจ้าวไท่ไหลที่ดูหยิ่งยโส แต่ด้วยความที่เขาเป็นเพียงลูกจ้างร้าน เขาจึงชินกับการเจอคนอย่างนี้มานานแล้ว และรู้ว่าตนไม่อาจมีปัญหากับคนที่แต่งกายสูงศักดิ์พวกนี้ได้ จึงรีบขานรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าของร้านไม่นานนัก ชายชราครึ่งร้อยผู้หนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาชายผู้นี้คือลุงสามแห่งตระกูลหลิวหลังจากโลดแล่นอยู่
“ไม่นานมานี้ ตระกูลหลิวต้องขายทรัพย์สินแทบทั้งหมดเพื่อหาเงินมาลงทุนในธนาคาร ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะเยาะในเมืองหลวง หากองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับพวกเขาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นให้ตระกูลหลิวขายทรัพย์สินเช่นนั้นหรอก?”จ้าวไท่ไหลคิดว่าคำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลถ้าองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับตระกูลหลิวจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องขายทรัพย์สินจนหมดตัวคนพูดเริ่มยุแยงอีกครั้ง “พี่จ้าว สมมติว่าหากพ่อของท่าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ท่านพ่อของพวกข้าก็เป็นคนของผู้อาวุโสและกำลังต่อสู้กับตำหนักบูรพาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรือ หากท่านสามารถสร้างปัญหาให้ตระกูลหลิวได้ ก็เท่ากับช่วยตระกูลท่านไปในตัวมิใช่หรือ?”เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนกดเสียงต่ำลง “อีกอย่าง ท่านกำลังจะไปจินหลิงในเดือนหน้า ต่อให้มีเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง ใครจะสนใจท่านล่ะ?”“หากได้สูตรมา ธุรกิจนี้ทำเงินได้ปีละน้อยสุดก็หลักล้านตำลึง”ยิ่งฟัง จ้าวไท่ไหลยิ่งรู้สึกหวั่นไหวโดยเฉพาะคำว่าธุรกิจปีละล้านตำลึง ทำให้เขาอดใจไม่ไหวอีกต่อไป“ไป! ไปพบกับตระกูลหลิวสักหน่อยดีกว่า!”จ้าวไท่ไหลวางแก้วสุราลงกับโต๊ะเสียงดัง ก่อนลุกขึ้นยืนเหล่าคุณชาย