เย่ลู่กู่จ้านฉีจับด้ามดาบในมือแน่น รู้สึกถึงน้ำหนักอันหนักหน่วงของดาบเล่มนี้ ราวกับมันหนักเกินกว่าดาบธรรมดาหลี่เฉินมองเย่ลู่กู่จ้านฉีด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า "ในโลกนี้ ไม่ว่าที่ใด ก็ต้องเคารพกฎของที่นั่น ท่านอ๋องอยากจากไปอย่างปลอดภัยใช่หรือไม่? ง่ายมาก ข้าไม่คิดจะรั้งท่านไว้ เพียงแค่ฆ่าคนในกรงนี้ให้หมด เท่านั้นเอง""นี่คือกฎของที่นี่"หลี่เฉินเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเย่ลู่กู่จ้านฉีด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ "ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าท่านอ๋องจะเลือกอย่างไร"“ถ้าข้าไม่ฆ่า เช่นนั้นข้าก็ออกไปไม่ได้หรือ?” เย่ลู่กู่จ้านฉีถามด้วยฟันที่ขบแน่นเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่ใบหน้าของหลี่เฉินจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันทีเขาจ้องเย่ลู่กู่จ้านฉีเหมือนหมาป่าดุร้าย "กฎของข้า ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน เจ้าคือท่านอ๋องในแคว้นเหลียว แต่ที่นี่ เจ้าเป็นเพียงปลาเนื้ออ่อนบนเขียงของข้าเท่านั้น"มือของเย่ลู่กู่จ้านฉีที่จับดาบสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความโกรธเย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องหลี่เฉินด้วยความโกรธแค้น ชายหนุ่มคนนี้ที่มอบความอัปยศอดสูที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต เหมือนปีศาจในคราบมนุษย์ที่โหดร้ายยิ่
“รัชทายาทต้าฉิน!”เย่ลู่กู่จ้านฉีที่อดทนต่อไปไม่ไหว ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเองว่า หากข้าฆ่าพวกนั้นแล้ว เจ้าจะปล่อยข้าไป แต่เจ้ากลับคืนคำได้อย่างไร ทั้งที่เจ้าเป็นถึงรัชทายาทต้าฉิน!”หลี่เฉินโบกมืออย่างเกียจคร้าน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าก็พูดแล้วเช่นกัน ว่าที่นี่มีกฎ และกฎนั้นข้าเป็นคนกำหนด ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือ?”“เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”เย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจนแทบจะระเบิด แต่กลับทำอะไรไม่ได้“การเดินทางข้างนอกไม่ค่อยปลอดภัยนัก ข้าคิดว่าท่านอ๋องควรอยู่ที่เมืองหลวงในฐานะแขกสักสองสามวัน ข้าจะให้คนส่งข่าวไปยังแคว้นเหลียว เพื่อให้พวกเขาส่งคนมารับตัวท่านกลับไป นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของท่านอ๋องเอง หากเกิดอะไรขึ้นกลางทางแล้วท่านเสียชีวิตในเขตแดนต้าฉิน เช่นนั้น ข้าคงกลายเป็นคนร้ายไปโดยไม่ตั้งใจ”เย่ลู่กู่จ้านฉีหัวเราะเยาะ “ข้าไม่ต้องการความหวังดีจากเจ้า ข้ามีองครักษ์ที่สามารถปกป้องข้าได้!”หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย “หรือ?”หลี่เฉินหันไปหาซูผิงเป่ยและพูดอย่างเรียบๆ “ซูผิงเป่ย การเดินทางออกจากชายแดนปลอดภัยหรือไม่?”ซูผิงเป่ยเข้าใจในทันที เขาหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีแล้วหัวเราะเย็น ๆ“เส
“หน้าตา?”“หรือท่านอ๋องกำลังจะบอกข้าว่า การให้เกียรติโจรที่บุกเข้ามาในบ้านอย่างสุภาพเรียบร้อยแล้วส่งมันกลับไป คือการรักษาหน้าตา?”หลี่เฉินหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะหายไปทันที เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าแคว้นเหลียวไม่ได้ร่ำรวย เงินตำลึงก็น้อยนัก เช่นนั้นเอาแค่ แปดแสนตำลึงเงิน และม้าพันธุ์ดีหนึ่งหมื่นห้าพันตัวก็พอ”เมื่อเห็นเย่ลู่กู่จ้านฉีทำท่าจะพูดอะไรอีก หลี่เฉินก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะทันที “อย่ามาต่อรองอีกเลย ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์อย่างท่าน ค่าใช้จ่ายแค่นี้ยังไม่คุ้มหรือ? หากแคว้นเหลียวแม้แต่เรื่องนี้ยังยอมไม่ได้ เช่นนั้นท่านอ๋องก็อยู่ที่ต้าฉินต่อเถอะ ข้ารับรองว่าจะดูแลท่านอย่างดี”เย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นแต่ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ขององครักษ์สองคนที่คอยคุ้มกันเขาในเงามืด พร้อมจะปรากฏตัวทันทีหากเขาออกคำสั่งเพียงแต่เขาสัมผัสได้ว่าในกำแพงด้านหลังตำหนักของหลี่เฉินก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่เช่นกันพลังทั้งสองนั้น ก็คือชายหญิงที่ปรากฏตัวตอนตัดศรีษะเย่ลู่ฉีหมิงวันนี้นี่เองเมื่อมองกลับไปยังทหารกว่าพันนายที่จัดแถวอย่างเป
หลายปีที่ผ่านมา ต้าฉินมักเป็นฝ่ายจ่ายเงินชดเชยให้ต่างชาติในทุกความขัดแย้ง แม้จะไม่ถึงขั้นต้องเสียแผ่นดิน แต่หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นกับต่างชาติเมื่อใด ต้าฉินก็ต้องจ่ายเงินเพื่อยุติเรื่องเสมอแม้ในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้น และชาวต้าฉินผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายแต่ครั้งนี้ หลี่เฉินกลับสามารถเค้นเงินเกือบ แปดล้านตำลึง และม้าพันธุ์ดีถึง หมื่นห้าพันตัว จากปากแคว้นเหลียวมาได้ ซึ่งถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อหากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป และแคว้นเหลียวส่งของตามที่ตกลงมาให้จริง เสียงชื่นชมที่มีต่อรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาจะถึงจุดสูงสุดแม้ในราชสำนัก จ้าวเสวียนจีอาจใช้อิทธิพลของเขากดดันไม่ให้ตำหนักบูรพาเติบโตมากขึ้น แต่ในหมู่ประชาชน เสียงยกย่องของหลี่เฉินจะไม่อาจหยุดยั้งได้ท้ายที่สุดแล้ว การปกครองแผ่นดินย่อมขึ้นอยู่กับ ใจของประชาชนหากสถานการณ์นี้ลุกลามไปจนถึงขั้นสุด แม้แต่จ้าวเสวียนจีที่อยากเดิมพันทุกอย่างก็ยากที่จะเปลี่ยนกระแสที่สำคัญคือ หลี่เฉินไม่ได้มีแผนจะสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีเพื่อปิดปาก แต่กลับเลือกใช้เขาเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีกลับถึงแคว้นเหลียว เรื่องทุกอย่า
หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ดังนั้น ตอนนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีจะมีอันใดมิได้เด็ดขาด ชีวิตของเขาไม่เพียงแต่มีค่าถึงแปดล้านตำลึงเงินและม้าพันธุ์ดีอีกสองหมื่นตัว แต่ยังแลกกับชีวิตของขุนนางอาวุโสแห่งราชสำนักต้าฉินได้อีกด้วย”ซูเจิ้นถิงดวงตาเปล่งประกาย กล่าวอย่างจริงใจว่า “องค์ชายช่างรอบคอบและจัดการได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ หนึ่งศรยิงได้นกหลายตัว ข้าน้อยขอนับถือ”“องค์รัชทายาทจะสังหารขุนนางอาวุโสหรือ!?”จ้าวชิงหลานยกฉลองพระองค์ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดุจหงส์แฝงความเดือดดาล เร่งฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมถามเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดเกือบลืมไปเลยว่าฮองเฮาก็อยู่ด้วยหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฝ่ายในมิควรก้าวก่ายเรื่องการเมือง เรื่องนี้...”“เขาเป็นทั้งขุนนางอาวุโสและเป็นบิดาของข้า ในเมื่อเป็นบิดา เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในบ้าน ข้าจะถามมิได้หรือ?”จ้าวชิงหลานราวกับรู้แต่แรกว่าหลี่เฉินจะพยายามหลบเลี่ยงตนเช่นนี้ จึงกล่าวขึ้นทันทีหลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองจ้าวชิงหลานก่อนกล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”จ้าวชิงหลานเม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าขอเตือนเ
"มิอาจไม่ระวัง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “จ้าวเสวียนจีดูแลราชสำนักมานานหลายปี สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คืออิทธิพลของเขาในราชสำนัก แต่ในกองทัพล่ะ?”“แม้แต่ต้วนจิ่นเจียงที่เคยควบคุมกรมยุทธนาการอย่างแน่นหนา ยังมิอาจกันเขาได้ทั้งหมด คนเช่นจ้าวเสวียนจี เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทิ้งไพ่ลับไว้?”“หากถึงจุดที่มิอาจรักษาสถานการณ์ได้ เขาอาจกล้าก่อกบฏก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าหลี่เฉินฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สำหรับข้าหรือจ้าวเสวียนจี ต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น เรื่องใหญ่นี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์ ไม่มีโอกาสแก้ตัว หากพลิกโต๊ะเมื่อใดก็มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะสามารถใช้กำลังทหารปกป้องอำนาจจักรพรรดิได้!”อำนาจจักรพรรดิและอำนาจทหาร แม้จะคล้ายกัน แต่ซูเจิ้นถิงก็เข้าใจทันทีถึงความหมายที่แท้จริงของหลี่เฉินเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อกลับไป”หลี่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมองซูผิงเป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มี
"องค์ชาย บ่าวจะนวดจุดไท่หยางให้นะเพคะ"วั่นเจียวเจียวเดินเบาๆ เข้ามาข้างกายหลี่เฉิน พลางพูดและยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกขึ้นไปกดเบาๆ ที่ขมับทั้งสองข้างของหลี่เฉินและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวลหลี่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตารับสัมผัสนั้นและกล่าวชมว่า “ฝีมือเจ้าชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”วั่นเจียวเจียวเผยรอยยิ้มบาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “องค์ชายทรงพอพระทัย บ่าวก็ดีใจแล้วเพคะ”ในขณะที่หลี่เฉินปิดตา วั่นเจียวเจียวใช้ดวงตามองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ราวกับต้องการจารึกทุกอณูของบุรุษตรงหน้าไว้ในส่วนลึกของจิตใจ“เมื่อช่วงเช้า มีคนชื่อเหอคุนมาส่งของกำนัลเพคะ”คำพูดของวั่นเจียวเจียวทำให้หลี่เฉินลืมตาขึ้น“ของกำนัล?”วั่นเจียวเจียวพยักหน้า “ใช่เพคะ องค์ชายมิใช่กำลังจะอภิเษกสมรสหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าด้วยเหตุที่ฝ่าบาททรงประชวร และสถานการณ์ยังไม่สงบ พิธีอภิเษกจึงต้องเลื่อนออกไป แต่เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานได้ก่อนเพคะ”“เมื่อเช้านี้ ขุนนางที่ชื่อเหอคุนผู้นั้นบอกว่ามาเข้าเฝ้ากรมครัวเรือนตามหน้าที่ แต่ตามระเบียบ อีกสองวันก็ต้องกลับไปประจำที่
เหอคุน ชายวัย 38 ปีเขาเป็นจิ้นซื่อในปีที่หกแห่งรัชศกต้าสิง จากนั้นผ่านการคัดเลือกและถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการและนายอำเภอในเขตซูหาง ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เก้าแห่งรัชศกเดียวกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าแห่งซูหางระดับห้าขั้นแรกการกลับมารายงานหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ เหอคุนได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานสำหรับงานอภิเษกขององค์รัชทายาทตำหนักบูรพา เขาจึงตัดสินใจลงมือทันทีเหอคุนดำรงตำแหน่งในกรมทอผ้าซูหางมาหลายปีและรู้ว่ากำลังจะครบวาระ ขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักไป เมื่อผู้สนับสนุนของเขาขัดแย้งกับสวีฉังชิง รองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ซึ่งอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาและถูกปลดจากตำแหน่งในสภาพการณ์เช่นนี้ เส้นทางราชการของเหอคุนตกอยู่ในความเสี่ยง เขาอาจถูกส่งไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือถูกละเลย ดังนั้น เขาจึงกัดฟันส่งสิ่งของและของกำนัลล้ำค่าที่เขาได้มาจากตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมดไปยังตำหนักบูรพาเหอคุนรู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางการเมือง เพราะสวีฉังชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักบูรพา ขณะที่เขาเคยอยู่ฝ่ายคณะเสนาบดีใน
คำพูดของเหวินอ๋องฟังดูราบเรียบ แต่กลับซ่อนความโกรธแค้นและความอาฆาตที่ลุกโชนจากหัวใจของบิดาที่สูญเสียบุตรไปไม่มีความเศร้าใดในโลกที่หนักหนาไปกว่าการที่คนแก่ต้องสูญเสียลูกหลานก่อนเวลาอันควรและในตอนนี้ เหวินอ๋องก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมอันเจ็บปวดนี้ต้วนจิ่นเจียงมองเหวินอ๋องที่อยู่ข้างๆ พลันเกิดความคิดขึ้นในใจแม้ว่าหลี่จวิ้นเจ๋อจะไม่ได้เป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำ แต่เขากลับกลัวบิดาของเขาอย่างมาก อีกทั้งยังทำตัวว่านอนสอนง่ายมาตลอด ไม่เช่นนั้นด้วยอุปนิสัยของคนหนุ่มวัยสมัยนี้ จะสามารถอดทนทำตัวสงบเสงี่ยมในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองได้หลายปีเช่นนั้นหรือ?ดังนั้น การกระทำของหลี่จวิ้นเจ๋อ รวมถึงการร่วมมือกับจ้าวเสวียนจี ย่อมต้องมีการบอกใบ้หรือชี้นำจากเหวินอ๋องแน่นอน เขาถึงกล้าทำเช่นนั้นถ้าเช่นนั้น เหวินอ๋องอาจจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วตั้งแต่ต้น?ความคิดนี้ทำให้เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากของต้วนจิ่นเจียง เขายืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวเขารู้สึกราวกับว่าเหวินอ๋อง ผู้ที่เขารู้จักมาหลายสิบปี และคิดว่ารู้จักกันดีคนนี้ กลายเป็นคนแปลกหน้า และอาจกลายร่างเป็นอสูรร้ายที่พร้อมจะเขมือบเขาได้ทุกเมื่อ“พูดถึง ต้อง
เหวินอ๋องมีบุตรชายสี่คนและบุตรสาวหกคน นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่เปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์แต่ต้วนจิ่นเจียงรู้ดีว่า ในสายตาของเหวินอ๋องผู้เย็นชา ลูกชายและลูกสาวคนอื่นๆ เป็นเพียงเครื่องประดับที่ไม่มีความสำคัญคนที่เหวินอ๋องให้ความสำคัญจริงๆ คือหลี่จวิ้นเจ๋อ บุตรชายคนโตที่เกิดจากพระชายาการเสียชีวิตของพระชายาระหว่างการคลอดหลี่จวิ้นเจ๋อ ทำให้เหวินอ๋องเทความสนใจและความหวังทั้งหมดไปที่เขาและเพราะหลี่จวิ้นเจ๋อมีความสำคัญมาก ต้าสิงฮ่องเต้จึงเก็บตัวเขาไว้ในเมืองหลวงในนามคือเพราะต้าสิงฮ่องเต้ทรงชื่นชอบหลานชายผู้นี้และต้องการอบรมสั่งสอนด้วยพระองค์เองแต่ความจริงแล้ว หลี่จวิ้นเจ๋อถูกจับเป็นตัวประกันเรื่องนี้แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังมองออกและการจับตัวประกันเช่นนี้ เหล่าอ๋องแห่งแคว้นคนอื่นๆ ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แต่อย่างใดนี่แสดงให้เห็นว่าต้าสิงฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงเหวินอ๋องเพียงใดตราบใดที่หลี่จวิ้นเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมทำให้เหวินอ๋องต้องระมัดระวังตัวแต่ตอนนี้หลี่จวิ้นเจ๋อได้สิ้นชีวิตลงแล้ว ใครจะรู้ว่าเหวินอ๋องจะทำอะไรต่อไปเพียงชั่วครู่ ต้วนจิ่นเจียงก็คิดไปไกล“เขาตายอย่างไรหรือ?
วั่นเจียวเจียวดีใจจนเนื้อเต้น นางใช้มือประคองคาง พลางมองหลี่เฉินด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม พลางกล่าวว่า “องค์ชาย พระองค์ทรงรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรเพคะ?”“อ่านหนังสือให้มากๆ”หลี่เฉินตอบอย่างไม่ใยดีว่า “เลิกอ่านหนังสือเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ พวกนั้นบ้าง หันไปอ่านหนังสือที่มีประโยชน์เสีย วันก่อนข้าเห็นเจ้ากำลังถือหนังสือเรื่องราวเล่มหนึ่งอ่านอย่างติดใจ เจ้าคงอ่านหนังสือเรื่องราวในวังครบแล้วกระมัง?”วั่นเจียวเจียวทำหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ที่มีอยู่ในวังหม่อมฉันอ่านหมดแล้วเพคะ ช่วงนี้ต้องให้คนช่วยไปหาซื้อจากตลาดข้างนอกมาเพิ่ม มีบางเล่มที่เขียนได้สนุกมากเลยเพคะ”หญิงสาวมักเต็มไปด้วยความฝันในวัยสาว อีกทั้งในยุคนี้ไม่มีสิ่งบันเทิงใจมากมาย ดังนั้นการอ่านหนังสือเรื่องราวความรักหรือเรื่องลี้ลับจึงเป็นทางออกที่นิยมหลี่เฉินไม่ได้เข้มงวดกับวั่นเจียวเจียวมากนัก เมื่อเห็นว่านางชื่นชอบจริงๆ เขาก็ปล่อยไปตามใจ“ส่งคนไปเรียกซูเจิ้นถิงและซูผิงเป่ยมา ข้ามีเรื่องจะหารือกับพวกเขา”...ที่ริมแม่น้ำฉินหวายในจินหลิง สายฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ ชายชราอายุราวครึ่งร้อยผู้หนึ่ง ส
มือเรียวงามขาวสะอาดของหลิวซือฉุนจุ่มลงในน้ำใสในอ่างทอง นางเริ่มต้นด้วยการทำให้มือเปียก แล้วใช้สบู่ก้อนนั้นถูจนทั่ว ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาดทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้คำแนะนำของหลี่เฉิน ผู้ที่สอนวิธีการใช้สบู่ก้อนแรกในโลกมนุษย์ไม่นานนัก หลิวซือฉุนก็พบกับความมหัศจรรย์ของสบู่ แม้จะดูมันเยิ้ม แต่กลับมีศักยภาพในการทำความสะอาดสูงมาก หลังจากล้างมือด้วยสบู่แล้ว มือของนางดูสะอาดสดชื่น คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกต่างๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยแม้มือของหลิวซือฉุนจะสะอาดอยู่แล้ว แต่ความสดชื่นที่สบู่นี้มอบให้กลับเป็นความรู้สึกที่นางไม่ค่อยได้สัมผัส นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าสบู่นี้สามารถล้างคราบน้ำมันที่มองไม่เห็นออกจากมือของนางได้หมด“องค์ชาย สิ่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง!?” หลิวซือฉุนแสดงความตื่นเต้น จนวั่นเจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ แสดงความอิจฉาออกมาไม่มีสตรีคนใดที่ไม่รักความงามหรือความสะอาดหากไม่ใช่เพราะองค์ชายอยู่ที่นี่ด้วย วั่นเจียวเจียวคงรีบไปลองใช้ด้วยตนเองแล้วหลี่เฉินยิ้มพลางกล่าวว่า “ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือการทำความสะอาด โดยเฉพาะสิ่งที่มีน้ำมัน มันมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม”“ปัจจุบันแม้ตระกูลมั่ง
หลิวซือฉุนพักอยู่ในเมืองหลวง และดูเหมือนจะรู้ดีว่าหลี่เฉินจะเรียกพบนางในไม่ช้า ดังนั้นจึงไม่ไปที่ไหน เพียงแค่รออยู่ที่บ้านครึ่งชั่วยามต่อมา หลิวซือฉุนก็ปรากฏตัวในพระที่นั่งสีเจิ้ง“หม่อมฉันหลิวซือฉุน ขอคารวะองค์รัชทายาท”แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ แต่หลิวซือฉุนยังคงรู้สึกอึดอัดจากบรรยากาศแห่งราชวงศ์ที่หนักแน่นทุกครั้งหลี่เฉินมองดูหลิวซือฉุนที่คำนับอย่างไร้ที่ติ แล้วกล่าวว่า “รูปร่างเจ้าอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย”หลิวซือฉุนขมวดคิ้ว ถามว่า “องค์ชายกำลังบอกว่าหม่อมฉันอ้วนหรือเพคะ?”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “หากเป็นคนอื่นคงอ้วน แต่สำหรับเจ้า ไม่เหมือนกัน”หลี่เฉินมองดูหลิวซือฉุนที่มีกลิ่นอายของหญิงสาวนักธุรกิจเด่นชัดขึ้นทุกวัน เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นการเติบโตของนางการที่ได้บ่มเพาะหญิงแกร่งทางการค้าอย่างนี้ด้วยตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เลวโดยเฉพาะเมื่อหญิงแกร่งคนนี้ ไม่ว่าอยู่ภายนอกจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ต่อหน้าเขา กลับว่านอนสอนง่ายราวกับลูกแกะต้องบอกว่า...เป็นรัชทายาทนี่มันดีจริง“ช่วงนี้การเปิดธนาคารเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”หลังจากสล
สวีฉังชิงมีความสามารถอยู่บ้าง แม้จะมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดเช่นกัน แต่หลี่เฉินยังคงวางใจมอบหมายงานของธนาคารให้เขาทำ หากไม่ใช่ปัญหาจริงๆ สวีฉังชิงย่อมไม่มาบ่นถึงตำหนักบูรพาแน่ไม่มีผู้นำคนใดชอบลูกน้องที่โยนปัญหาให้หัวหน้าจัดการอยู่เสมอสวีฉังชิงเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งดังนั้นคำพูดของสวีฉังชิง หลี่เฉินจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งเขาวางฎีกาในมือลงแล้วกล่าวว่า “ปัญหาอะไรหรือ?”สวีฉังชิงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ตอนนี้ธนาคารสองแห่งในเมืองหลวงใกล้จะเปิดทำการแล้ว การตั้งสาขาในพื้นที่นครบาลค่อนข้างราบรื่น แต่เมื่อออกจากพื้นที่นครบาล ไปตั้งสาขาในมณฑลอื่นกลับพบกับความยากลำบากมากมาย”“ตามที่กรมครัวเรือนออกเอกสารมา ได้ขอให้ที่ว่าการอำเภอในท้องถิ่นจัดหาสถานที่สำหรับธนาคาร อีกทั้งยังให้เงินทุนหมุนเวียนของที่ว่าการอำเภอฝากไว้ที่ธนาคารด้วย แต่ในตอนนี้ที่ว่าการอำเภอหลายแห่งกลับอ้างว่าไม่มีสถานที่ว่าง หรือไม่มีเงินสำรองอยู่ในสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่น เหตุผลมากมายเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้างเพื่อขัดขวางการเปิดทำการของธนาคาร”สวีฉังชิงกล่าวอย่างโมโหว่า “แต่เดิมราษฎรยังพอสนใจธนาคารที่เปิดโดยราชสำนักอยู่บ้า
“ข้าดูแล้ว เห็นว่าสิ่งนี้เมื่อยิงออกไป กระสุนที่ออกจากลำกล้องมีวิถีที่ไม่มั่นคง ถูกปัจจัยอย่างแรงลมส่งผลกระทบได้ง่าย ดังนั้น อาจพิจารณาเพิ่มลายเกลียวในลำกล้อง เพื่อให้กระสุนหมุนเป็นเกลียวระหว่างบิน เช่นนี้จะช่วยเพิ่มความเสถียรในการยิงได้อย่างมาก”ช่างฝีมือมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความระมัดระวังว่า “องค์ชายกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าลายเกลียวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”หลี่เฉินมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “เจ้า...รู้หรือ?”ช่างฝีมือผู้นั้นรีบโค้งคำนับแล้วตอบว่า “เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ตอนที่เราปรับปรุงปืนใหญ่ ได้ค้นพบว่าการเพิ่มลายเกลียวในลำกล้องช่วยเพิ่มระยะและความแม่นยำได้อย่างมาก คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะทราบเรื่องนี้ องค์ชายช่างเป็นผู้มีปัญญาเกินคนยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”สำหรับคำเยินยอเช่นนี้ หลี่เฉินรู้สึกกระดากใจอยู่บ้างเขาหัวเราะเบาๆ เพื่อข้ามเรื่องนี้ไป แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทราบถึงหลักการของลายเกลียวแล้ว เช่นนั้นการทำก็คงไม่ยากใช่หรือไม่?”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ”ช่างฝีมือตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “สองข้อเสนอขององค์ชาย หากเร่งมือจริงๆ เพียงสอง
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานมานาน แต่ช่างฝีมือคนนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความชำนาญ เขาดำเนินการบรรจุกระสุนอย่างคล่องแคล่วในขณะที่หลี่เฉินกำลังรอ กวนจือเหวยที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความสงสัย "องค์ชาย เหตุใดพระองค์จึงสนพระทัยในสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ขึ้นมาได้?"หลี่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ของสิ่งนี้มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเจ้ากลับทำให้มันต้องถูกละเลย"กวนจือเหวยยิ้มแห้งๆ แต่ในใจกลับไม่เชื่อมั่นเขาคิดในใจว่าองค์ชายไม่ตั้งพระทัยในหน้าที่ของรัชทายาท กลับมาสนใจของเล่นเช่นนี้แม้องค์ชายจะฉลาดล้ำเลิศ แต่จะเก่งไปทุกเรื่องหรือ?ในขณะสนทนา ช่างฝีมือก็เสร็จสิ้นการบรรจุกระสุนหลี่เฉินเดินออกจากพระที่นั่งสีเจิ้ง มุ่งหน้าไปยังลานกว้าง ยกปืนขึ้นเล็งไปยังต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าก้าวปืนไฟนี้ยังคงใช้ดินปืน ซึ่งมีความเสี่ยงพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากไม่ได้รับการดูแลมานาน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกกังวลเพราะหากเกิดระเบิดขึ้นมาจะไม่มีใครรอดพ้นความผิดกวนจือเหวยมองด้วยความตกใจ รีบเอ่ยเตือน "องค์ชาย โปรดระวัง..."ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงระเบิดดังปังก็ดังขึ้นขัดคำพูดของเขาพร้อมกลิ่นฉุนของดินปื
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนด่าของจ้าวเสวียนจี เสียงในความมืดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "เนื่องจากไม่มีใครเข้าใกล้ตำหนักเฟิ่งสี่ได้ พวกเราจึงได้ยินมาเพียงเสียงรบกวนเล็กน้อย แต่เมื่อมีรายงานเข้ามา ก็น่าจะมีมูลอยู่บ้าง""อย่างไรก็ตาม คาดว่าไม่น่าจะถึงขั้นร้ายแรง"จ้าวเสวียนจีที่โกรธจนหนวดเครากระเพื่อม ตบโต๊ะอย่างแรงก่อนตะโกนออกมา "เจ้าคนสารเลว กล้าดูหมิ่นชิงหลานเช่นนี้ ข้าจะฆ่ามันให้ได้!"หลังจากระบายอารมณ์ออกมา จ้าวเสวียนจีก็ตระหนักว่า เขาอยู่ในสถานะที่ทำได้เพียงโกรธเท่านั้นด้วยการที่คนทั้งหมดในตำหนักเฟิ่งสี่ถูกแทนที่ เขาจึงไม่สามารถติดต่อกับจ้าวชิงหลานได้โดยตรงต้องใช้เวลาไม่น้อยในการสร้างช่องทางใหม่เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวเสวียนจีก็ลุกขึ้น กล่าวว่า "ไปจัดการ ข้าจะเข้าวัง"เขากระวนกระวายใจอย่างยิ่งที่จะได้รู้ว่าบุตรสาวของเขาถูกหลี่เฉินรังแกจริงหรือไม่แม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะเป็นคนเหี้ยมโหดและทะเยอทะยานเพียงใด แต่ในฐานะบิดา ความห่วงใยโดยสัญชาตญาณที่มีต่อบุตรหลานก็ยังคงอยู่"ขอรับ"เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในความมืด ไม่มีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพียงตอบรับสั้นๆ ก่อ