ใบหน้าที่เหี่ยวย่นบิดเบี้ยวอยู่ใต้เท้าหลี่เฉิน สีหน้าของหวังเถิงฮ่วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความอับอายและความโกรธในฐานะมหาอำมาตย์ชั้นหนึ่งของราชสำนัก เขาถูกเหยียบไว้กับพื้นเช่นนี้ แม้ผู้ที่ทำจะเป็นรัชทายาท แต่ก็ยังถือเป็นความอัปยศที่ไม่อาจยอมรับได้“พระองค์ทำกับกระหม่อมเช่นนี้ ไม่กลัวว่า...”“กลัวอะไร?”หลี่เฉินพูดตัดบทเสียงเรียบ “กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้าน กลัวการประณามจากเหล่าขุนนาง หรือกลัวว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องเสียชื่อเสียงล่ะ?”พูดจบ หลี่เฉินใช้ข้อเท้าบดรองเท้าบนใบหน้าของหวังเถิงฮ่วนอีกสองสามครั้ง ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สองมือของหวังเถิงฮ่วนพยายามยึดขาของหลี่เฉินเพื่อดันออกจากหัวของตนแต่ไม่อาจสู้แรงของหลี่เฉินได้ สองมือของหวังเถิงฮ่วนยิ่งไม่สะทกสะท้านหลี่เฉินเลย“เดิมที การต่อสู้ทางการเมืองหรือความแค้นส่วนตัว ก็เป็นเรื่องภายในของต้าฉิน จะสู้กันอย่างไรก็ไม่เกินไปนัก แต่เจ้าจะข่มขู่ข้าได้อย่างไร? เจ้าก็แค่หมาตัวหนึ่งในสำนัก เสียงอ่อนแอที่สุด ฆ่าหรือไว้ชีวิตเจ้าก็ไม่ต่างกัน”“แต่วันนี้ เจ้าทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยงจริงๆ”“ในที่ประชุม เจ้าทำตั
เลือดสดๆ พุ่งกระจายออกจากลำคอของหวังเถิงฮ่วน สาดกระเซ็นไปไกลถึงห้าก้าวดาบต้าเหลียงหลงเชวี้ยในมือของหลี่เฉินลดระดับลง ปลายดาบชี้เฉียงลงสู่พื้น ดาบอันเย็นเยียบเหมือนหยกน้ำแข็งไม่มีคราบเลือดติดอยู่ เลือดไหลรินตามคมดาบมารวมกันที่ปลายดาบ ก่อนหยดลงสู่พื้นดินขณะเดียวกัน หัวของหวังเถิงฮ่วนซึ่งตายตาไม่หลับกลิ้งไปบนพื้นราวกับโชคชะตาหรือความบังเอิญ หัวนั้นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้า และดวงตาที่เบิกกว้างจ้องเขม็งไปที่จ้าวเสวียนจี เหมือนกำลังตั้งคำถามว่าเหตุใดท่านจึงไม่ช่วยข้า?จ้าวเสวียนจีจ้องมองศีรษะของหวังเถิงฮ่วนที่อยู่บนพื้น ความตกตะลึงและความหวาดหวั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตพลุ่งพล่านอยู่ในใจเขาแม้เขาจะเคยเห็นทั้งความตายและฉากนองเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าขุนนางเพื่อนร่วมงานกว่า 10 ปีของเขาจะจบชีวิตลงต่อหน้าต่อตาเขาเงยหน้าขึ้น และสายตาของเขาประสานกับหลี่เฉินสายตาทั้งสองจ้องกันกลางอากาศ ราวกับเสียงสายฟ้าฟาดที่ไม่มีเสียงแต่ทว่าจ้าวเสวียนจีก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนดาบในมือของหลี่เฉินเปื้อนเลือดคาวฉุน จ้าวเสวียนจีไม่อาจแน่ใจได้ว่า หากเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมา อาจลงมือสั
ชีวิตของหวังเถิงฮ่วนจะเป็นหรือตาย เย่ลู่กู่จ้านฉีไม่ได้สนใจเลยในสายตาของเขา หวังเถิงฮ่วนก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนนสิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือศีรษะของเย่ลู่ฉีหมิงในมือก่อนหน้านี้ เขาได้จัดการร่างไร้ศีรษะของเย่ลู่ฉีหมิงไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งใจจะนำกลับไปฝังที่แคว้นเหลียวหลังจากเสร็จธุระ ตลอดทางที่ผ่านมา เขาคิดวางแผนว่าจะกดดันราชสำนักต้าฉินให้ส่งตัวผู้ลงมือมาหาเขา เพื่อให้เขาทรมานจนตาย จากนั้นค่อยนำศีรษะของเย่ลู่ฉีหมิงกลับไปพร้อมกันแต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ศีรษะของเย่ลู่ฉีหมิงปรากฏอยู่ในมือเขาแล้วทำไมศีรษะถึงมาอยู่ที่นี่?เย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องมองศีรษะที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจนั้น เขากัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาโกรธจัด จ้องไปยังพระที่นั่งสีเจิ้งทันใดนั้น เขานึกออกแล้วว่าทำไมเสียงที่ได้ยินถึงฟังดูคุ้นเคยมันเป็นเสียงของคนที่ฆ่าเย่ลู่ฉีหมิงต่อหน้าเขาในวันนี้!ชายหนุ่มชาวต้าฉินลึกลับคนนั้น!ในตอนนี้ หลี่เฉินก้าวออกมาจากพระที่นั่งสีเจิ้งดาบต้าเหลียงหลงเชวี้ยถูกส่งให้วั่นเจียวเจียวถือไว้ แม้หลี่เฉินจะอยู่ในชุดลำลอง แต่ความสง่างามและความน่าเกรงขามยังคงฉายชัดร
หากหลี่เฉินตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะฆ่าเย่ลู่กู่จ้านฉี เย่ลู่กู่จ้านฉีรู้ดีว่าตนเองไม่มีทางหนีรอด ในเมืองหลวงของต้าฉิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตำหนักบูรพา แม้จะมีผู้คุ้มกันฝีมือดีสองคน แต่เขาก็ไม่มีทางหนีชีวิตรอดได้เย่ลู่กู๋จ้านฉีเองก็หมดหวังแล้วอย่างไรก็ดี ในภายหน้ากองทัพม้าเหล็กแห่งแคว้นเหลียวจะต้องมาล้างแค้นแทนตนและเย่ลู่ฉีหมิงแน่นอนแต่ในเวลานี้ ท่าทีของหลี่เฉินกลับทำให้เย่ลู่กู่จ้านฉีที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด มองเห็นแสงแห่งความหวังเพียงเล็กน้อยไม่มีใครอยากตาย หากยังพอมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะแสงแห่งความหวังนี้เอง ทำให้เย่ลู่กู่จ้านฉีลังเลเขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่านี่คือแผนการของหลี่เฉินที่จงใจแสดงออกอย่างเปิดเผย เพื่อให้เขาเห็นความหวัง ทำให้เย่ลู่กู่จ้านฉีไม่มีทางเลือกอื่นเขาทำได้เพียงพยายามทำให้ตนออกจากต้าฉินอย่างมีชีวิตก่อนที่จะมาที่นี่ เขาคิดถึงแต่เรื่องการกดดันราชสำนักต้าฉินให้ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ไม่คิดว่าตนกลับต้องหาวิธีเอาชีวิตรอดกลับไปแคว้นเหลียวให้ได้ความแตกต่างนี้ช่างน่าขันยิ่งนักในทุกคำพูดและการกระทำของหลี่เฉิน เย่ลู่กู่จ้านฉีรู้สึกราวกับกำลังเผชิญ
“เมื่อแปดสิบปีก่อน แคว้นเหลียวและแคว้นจินร่วมกันโจมตีต้าฉิน ในสงครามนั้น ต้าฉินสูญเสียทหารและกำลังพลไปมากกว่าเจ็ดแสน นายทัพเก่งกล้าจำนวนมากต้องสละชีวิตจนแคว้นอ่อนแอลง เป็นเหตุให้แคว้นเหลียวและแคว้นจินฉวยโอกาสขึ้นมามีอำนาจในภายหลัง”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ราวกับกำลังเล่าเรื่องของผู้อื่น“แต่ในสงครามครั้งนั้น แคว้นเหลียวกลับทรยศหักหลังแคว้นจิน ยึดครองเมืองทั้งสิบหกของแคว้นเยี่ยนหยุนไว้เพียงลำพัง ทำให้แคว้นจินไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย ความแค้นนี้ แปดสิบปีผ่านไป แคว้นจินยังไม่ลืมเลยแม้แต่นิดเดียว”“เช่นนั้น เจ้าคิดว่า หากข้าสัญญาให้ผลประโยชน์แก่แคว้นจินแล้วหันไปเป็นพันธมิตรกับพวกเขา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมตกลงหรือไม่?”ดวงตาของเย่ลู่กู่จ้านฉีเป็นประกายวาวโรจน์ เขาจ้องมองหลี่เฉินเนิ่นนานก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “แคว้นจินนั้นเป็นดั่งหมาป่าลอบกัด โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด องค์ชายไม่กลัวหรือว่าจะเชิญหมาป่าเข้าบ้าน?”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ไว้ใจแคว้นจินอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อมีแคว้นเหลียวเป็นศัตรูสำคัญ หากแคว้นต้าฉินหรือแคว้นจินปล่อยให้แคว้นเหลียวก่
"พูดจบแล้วหรือ?"หลี่เฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเย่ลู่กู่จ้านฉีขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "เงื่อนไขดีเยี่ยมขนาดนี้ รัชทายาทต้าฉินยังไม่สนใจอีกหรือ?""เปิดด่านเย่ว์หย่า ให้กองทัพแคว้นเหลียวเดินลึกเข้ามาในเขตแดนพวกเรา พวกเจ้านี่คิดการใหญ่ไม่เบาเลย"หลี่เฉินแค่นเสียงหัวเราะ "ทำไมในโลกนี้ถึงมีคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดล้ำ แต่กลับมองคนอื่นเป็นคนโง่อยู่เสมอ?"ใบหน้าของเย่ลู่กู่จ้านฉีแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาเอ่ยเสียงดังว่า "แคว้นเหลียวกับแคว้นจินมีเทือกเขาเทียนซานเป็นพรมแดนขวางกั้น หากแคว้นเหลียวต้องการโจมตีแคว้นจิน จำเป็นต้องผ่านด่านเย่ว์หย่า เรื่องนี้ไม่มีทางเลือกอื่น แคว้นเหลียวไม่ได้มีเจตนาร้ายใดจริงๆ!""ถ้าพวกท่านไม่สบายใจ เราสามารถบันทึกเงื่อนไขนี้ไว้ในพันธสัญญาได้"หลี่เฉินกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า "เมื่อแปดสิบปีก่อน แคว้นเหลียวและแคว้นจินอาศัยจังหวะที่ต้าฉินประสบกับความวุ่นวายในบ้านเมืองและภัยพิบัติธรรมชาติ โจมตีต้าฉินพร้อมกัน ตอนนั้นต้าฉินอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากตอนนี้เลย""ในครั้งนั้น พวกเจ้าก็ใช้คำพูดเดียวกัน ก่อนเริ่มสงคราม พวกเจ้ากับแคว้นจินตกลงกันว่าจะโจมตีต้าฉินจากพรมแดนท
บทสนทนามาถึงตรงนี้ ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดแล้วเย่ลู่กู่จ้านฉีมองหลี่เฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเอ่ยว่า “รัชทายาทต้าฉินช่างมีความทะเยอทะยานยิ่งนัก แต่ขอให้คำพูดของท่านไม่ใช่เพียงวาทศิลป์ที่ไร้ซึ่งการกระทำ”“การจะยึดคืนแผ่นดินในสนามรบ? ฟังดูดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาทหารในสนามรบ และทหารต้าฉินของพวกท่าน ฮึๆ…”พูดถึงตรงนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีเผยสีหน้าดูถูกอย่างเปิดเผย ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน เขายกมือทำความเคารพอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “ในเมื่อต้าฉินไม่ยอมรับความร่วมมือจากแคว้นเหลียว เช่นนั้น ข้าขอลาก่อน!”ก่อนจะเดินจากไป เขามองหลี่เฉินอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวว่า “พบกันในสนามรบ!”หลังจากพูดจบ เย่ลู่กู่จ้านฉีหมุนตัวเตรียมเดินจากไปแต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของกองทัพจำนวนมากกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วจากนอกตำหนักบูรพาด้วยประสบการณ์ในสนามรบกว่า 20 ปี เย่ลู่กู่จ้านฉีคุ้นเคยกับเสียงกองทัพและเสียงม้าดีเยี่ยม เพียงฟังเสียงก็สามารถประเมินได้ทันทีว่า กองทัพนี้มีประมาณ 1,000 ถึง 1,200 นาย โดยประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นม้าที่สำคัญที่สุดคือ แม้เสียงฝีเท้าจะเร
การมาถึงของซูผิงเป่ยทำให้หลี่เฉินอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัดไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากว่าเขามาได้ถูกจังหวะที่สุดหากมาเร็วหรือมาช้าไปสักนิด คงไม่ลงตัวเช่นนี้ มีเพียงเท่านี้ถึงจะเหมาะสมที่สุด"ยอดเยี่ยม!"ด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน หลี่เฉินตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้าวเดินลงจากบันไดอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังทัพทหารที่ยืนรออยู่เมื่อเดินผ่านเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยืนลังเลอยู่ข้าง ๆ หลี่เฉินก็หยุดก้าวเท้าอย่างกะทันหัน“ท่านอ๋องเก้า สนใจมาชมบรรดาทหารกล้าของต้าฉินร่วมกับข้าหรือไม่?”แววตาของเย่ลู่กู่จ้านฉีสั่นไหว ไม่แน่ใจว่าหลี่เฉินมีจุดประสงค์อะไรเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีคำตอบ หลี่เฉินจึงหันไปกล่าวกับกองทัพว่า“วันนี้ช่างบังเอิญที่แคว้นเหลียว ท่านอ๋องเก้า เย่ลู่กู่จ้านฉี มายังตำหนักบูรพาของเรา พวกเจ้า จงแสดงให้แขกจากแคว้นเหลียวได้เห็นว่า ทหารต้าฉินของเราเป็นอย่างไร!”ไม่มีใครไม่เข้าใจว่า นี่คือช่วงเวลาที่ต้องแสดงความภาคภูมิใจของรัชทายาทให้ปรากฏซูผิงเป่ยลุกขึ้นยืน หันหน้าไปยังพี่น้องร่วมรบของเขา ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ต้าฉินผู้กล้าหาญ!”เมื่อซูผิงเป่ยนำกล่าว ทหารทั้งพันกว่าคนก็ตะโกนประสานเสียงต
เมื่อถูกหลี่เฉินจับยกขึ้นไว้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับชาดิกทั้งตัวเขามองหลี่เฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนเกือบทรุดลง หากไม่ใช่เพราะหลี่เฉินจับคอเสื้อไว้ เขาคงคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว“ขะ...ข้า...”เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายได้แต่หันไปมองจ้าวไท่ไหลด้วยสีหน้าอ้อนวอนและพูดเสียงเบาว่า “พี่จ้าว ช่วยข้าด้วย”จ้าวไท่ไหลขนลุกวาบเขาเป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่เฉินดี และการจะช่วยชายหนุ่มคนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้จ้าวไท่ไหลอยากจะชกเจ้าคนโง่ที่ดึงเขามาเดือดร้อนนี้ให้ตายไปเสีย“อย่าหวังให้เขาช่วยเจ้าเลย ตอนนี้ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด”หลี่เฉินปล่อยคอเสื้อชายหนุ่มลง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขก ไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งหมด ไปคุกเข่าเรียงกันที่หน้าประตูร้าน คอยจับตาดูกันเอง ใครลุกขึ้นหรือขยับตัวผิดปกติ ให้คนที่รายงานกลับได้ ส่วนคนที่ถูกรายงาน ให้ลากออกไปทุบให้ตายซะ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มในกลุ่มเขียวคล้ำการที่ต้องไปคุกเข่าหน้าร้านหลันเยว่เซวียนให้คนทั้งถนนเห็น คงเป็นเรื่องที่เสียหน้าอย่างร้ายแรงสองคนใน
จ้าวไท่ไหลคิดจะหลบหนี แต่หลี่เฉินไม่มีทางปล่อยให้เขาไปง่ายๆหลี่เฉินยกมือวางบนบ่าของจ้าวไท่ไหล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร “ทำตัวอวดดีแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ? ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”จ้าวไท่ไหลตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะพูดว่า “ข้า...ข้ามีตาหามีแววไม่...”หลี่เฉินตบไหล่จ้าวไท่ไหลเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เมื่อครู่เจ้ากร่างมากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูขลาดเขลาไปล่ะ?”“ทำต่อสิ”“คนสุดท้ายที่พูดกับข้าเช่นเจ้า ข้าตัดหัวเขาเองกับมือ”หลี่เฉินยิ้มสดใสให้จ้าวไท่ไหล แต่คำพูดของเขาเย็นชาอย่างน่าสะพรึง “เจ้าก็อยากลองดูบ้างหรือ?”ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกจ้าวไท่ไหลตบหน้าไปก่อนหน้านี้ ยังคงโมโห แต่ไม่กล้าหันไปหาเรื่องจ้าวไท่ไหล จึงพาลไม่พอใจหลี่เฉินแทน“เจ้าเป็นใครกันแน่…”เพี๊ยะ!หลี่เฉินสวนกลับด้วยการตบหน้าชายหนุ่มคนดังกล่าว ทำให้เขาสงบปากได้ทันทีชายหนุ่มที่เพิ่งถูกตบหน้าทั้งซ้ายขวาภายในเวลาไม่นาน ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือที่ชัดเจนความเจ็บปวดร้อนผ่าวทำให้เขาสร่างเมาไปไม่น้อย เมื่อเขามองดูจ้าวไท่ไหลที่ไม่กล้าแม้แต่จะเ
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จ้าวไท่ไหลรู้สึกคุ้นเคยทันทีแต่ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ใดฤทธิ์สุราทำให้ความคิดไม่แจ่มชัด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เปิดปากด่าทันที “ใครมันไม่เจียมตัวมาพูดพล่อยๆ ตรงนี้? เจ้ามีสิทธิ์พูดกับข้าหรือ? ออกมาให้ข้าต่อยจนฟันร่วงเดี๋ยวนี้!”พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูชายผู้นั้นสวมชุดยาวสีขาวมุกทอด้วยไหมชั้นดี มวยผมทรงนักปราชญ์คาดด้วยปิ่นหยกขาวที่ประณีตงดงาม ไม่ฉูดฉาดแต่กลับดูสูงส่งและสมบูรณ์แบบเสื้อชั้นในสีขาวงาช้างกับเข็มขัดหยกยิ่งเสริมให้ชายผู้นั้นดูโดดเด่นราวกับเทพบุตรในภาพวาดเขามีท่วงท่าที่สง่างาม ร่างกายสูงโปร่ง บารมีล้นเหลือทุกสายตาที่มองเห็น ต่างอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความงามสง่าของชายผู้นี้แต่เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น ความเมา ความไม่พอใจ และความหยิ่งยโสบนใบหน้าก็หายไปหมดสิ้นร่างของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกจับจ้องโดยสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อยจ้าวไท่ไหลไม่มีวันคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับองค์รัชทายาทหลี่เฉินในที่แห่งนี้!เขารู้สึกเหมือนลมหายใจหยุดชะงัก ร่างกายช
ในยามปกติ ต่อให้ให้หลิวซือต๋าจะมีความกล้าเป็นสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินจ้าวไท่ไหลแต่เวลานี้สถานการณ์ต่างออกไปเมื่อเห็นน้องสาวของตนกำลังจะถูกลวนลาม เขาในฐานะพี่ชาย หากยังนิ่งเฉย ก็เหมือนหาความอับอายใส่ตัวเองยิ่งไปกว่านั้น หลิวซือต๋ารู้ดีว่าผู้มีอิทธิพลสูงสุดที่เป็นกำลังสำคัญของตระกูลกำลังมองสถานการณ์ทั้งหมดจากด้านนอกเขามั่นใจว่า หลิวซือฉุนน้องสาวของตน ย่อมเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา มิฉะนั้นตระกูลหลิวจะได้ประโยชน์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรด้วยเหตุนี้ เขายิ่งไม่มีทางถอยหลังจ้าวไท่ไหลแล้วอย่างไร? ตระกูลของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาได้เมื่อข้อมือถูกจับ พร้อมกับคำพูดกระทบกระเทียบอย่างไม่อ้อมค้อมของหลิวซือต๋า ทำให้จ้าวไท่ไหลถึงกับอึ้ง“นี่! ตระกูลหลิวช่างกล้าจริงๆ นะ แม้แต่ข้าก็กล้าขวาง?!”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด ก่อนจะกระชากมือกลับ แล้วฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของหลิวซือต๋าอย่างแรงแรงตบทำให้หลิวซือต๋าหมุนไปครึ่งรอบ และเกือบล้มลงกับพื้นหลิวซือฉุนที่ยืนอยู่ใกล้รีบพุ่งเข้ามาพยุงพี่ชายด้วยความตกใจ เพื่อป้องกันไ
หลันเยว่เซวียนสาขานี้ ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เมื่อครู่ก็ถูก "เชิญ" ออกจากร้านอย่างสุภาพหลันเยว่เซวียนที่บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับเงียบสงัดจ้าวไท่ไหลนั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ไขว่ห้างพลางรอเวลาให้สร่างเมาเหล่าคุณชายที่ติดตามเขามาด้วย พูดคุยหัวเราะเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร อาศัยฤทธิ์สุรา สั่งเอาของกินของดื่มจากร้านมาวางเกลื่อนพื้น ราวกับเป็นของส่วนตัวไม่เพียงแค่ลุงสามแห่งตระกูลหลิว แม้แต่พนักงานคนอื่นๆ ในร้านต่างก็เดือดดาลในใจ แต่ไม่มีใครกล้าแสดงออก ได้แต่ยืนกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง ปล่อยให้พวกอันธพาลในคราบคุณชายเหล่านี้ทำตามใจเมื่อเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป จ้าวไท่ไหลพลันแค่นเสียงเย็นชาออกมา พลางพูดขึ้นช้าๆ “ดูเหมือนว่าพวกตระกูลหลิวจะไม่เห็นหัวข้าจริงๆ สินะ”พูดจบ เขาฟาดมือลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง จนน้ำชาในถ้วยกระเด็นหกเลอะเทอะ“หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำให้หลันเยว่เซวียนหายไปจากเมืองหลวงได้จริงๆ!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวอ้อนวอน “คุณชายจ้าว โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะเถิด ข้าน้อยได้ส่งคนไปแจ้งหัวหน้าตระกูลแล้ว นางก
ระบบเงินตราของจักรวรรดิต้าฉินยังคงมีเสถียรภาพโดยทั่วไป เงินหนึ่งพันอีแปะ หรือหนึ่งก้วนเงิน สามารถแลกได้หนึ่งตำลึงเงินต้นทุนการผลิตสบู่หนึ่งก้อนอยู่ที่หนึ่งตำลึงเงิน แต่เมื่อขายออกไป กลับได้กำไรถึงห้าเท่า โดยสบู่หนึ่งก้อนสร้างกำไรสุทธิถึงสี่ตำลึงเงิน ไม่เพียงแต่หลี่เฉินที่พอใจยิ่งนัก แม้แต่สมาชิกตระกูลหลิวเองก็ยังรู้สึกทึ่งพวกเขาทำการค้ามาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยพบธุรกิจใดที่ทำกำไรได้มหาศาลเช่นนี้มาก่อนที่สำคัญ ตอนนี้ความต้องการสบู่ในตลาดมีมากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ ขายดีจนไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมดเพียงแค่ผลิตออกมาก็จะถูกซื้อหมดในทันทีเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการค้นพบภูเขาทองคำหลี่เฉินวางถ้วยชาลงก่อนพูดขึ้นว่า “ดีมาก จงรักษาสถานการณ์นี้ไว้ แต่อย่าเพิ่มกำลังการผลิตอีก รอจนช่างฝีมือของตระกูลหลิวชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มพัฒนาวิธีการผลิตใหม่สำหรับสบู่ราคาถูกที่เข้าถึงคนทั่วไปได้”หลิวซือฉุนตาเป็นประกาย กล่าวว่า “องค์ชายหมายความว่า ของหายากย่อมมีค่ามากใช่หรือไม่เพคะ?”หลี่เฉินยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ของที่ดีเพียงใด หากมีมากเกินไปก็ย่อมหมดความน่าสนใจ สบู่ในราคาห้าตำลึงไม่ใช่ของถูก ยิ่
ความโกรธเกรี้ยวและการโจมตีอย่างกะทันหันของจ้าวไท่ไหล ทำให้ลุงสามแห่งตระกูลหลิวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักท้องของเขาถูกเตะอย่างจังด้วยพลังอันมหาศาล ร่างกายที่ชราภาพอยู่แล้วไม่อาจทนรับไหว ขาทั้งสองถึงกับทรุดลงจนเข่ากระแทกพื้นเขาเอามือกุมท้อง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด แต่ปากยังคงร้องขอความเมตตาไม่หยุด “คุณชายจ้าวโปรดอภัย โปรดอภัย ข้าน้อยจะรีบนำชาร้อนที่ดีที่สุดมาให้เดี๋ยวนี้”“ไม่ต้องแล้ว!”จ้าวไท่ไหลตั้งใจมาหาเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่พูดเรื่องชาไปก็แค่หาข้ออ้างเท่านั้นเขาแค่นเสียงเย็นชา “ตาแก่คนนี้ตาบอดหรืออย่างไร? หวังว่าคนในตระกูลหลิวของเจ้าจะไม่มีใครตาบอดเหมือนเจ้าอีก!”“ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ให้เวลาเจ้าเพียงหนึ่งเค่อ รีบไปตามหัวหน้าตระกูลของเจ้ามา หากช้าแม้เพียงเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ข้าจะทำให้หลันเยว่เซวียนของตระกูลหลิวหายไปจากเมืองหลวงทันที!”“เข้าใจหรือไม่!?”ลุงสามแห่งตระกูลหลิวรู้ว่าวันนี้คงไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายๆ เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดในท้อง ก่อนตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว”เขาลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก โดยมีลูกจ้างร้านสองคนช่วยพยุง แม้พนัก
สิ่งที่เห็นย่อมเป็นสิ่งที่จริงแท้ เมื่อเห็นว่าหลันเยว่เซวียนมียอดขายที่ดีถึงเพียงนี้ ดวงตาของจ้าวไท่ไหลถึงกับแดงฉานด้วยความอิจฉา“ลูกค้าท่านนี้อยากได้อะไรหรือ? หากต้องการซื้อสบู่ ขอความกรุณาท่านลูกค้าไปต่อคิวด้านนอกด้วย”เด็กหนุ่มผู้ช่วยร้านคนหนึ่งเห็นจ้าวไท่ไหลพาผู้ติดตามวัยหนุ่มอีกสี่ห้าคนมาด้วย ทุกคนแต่งกายด้วยชุดหรูหราสะดุดตา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จึงไม่กล้าละเลย รีบเดินเข้ามายิ้มต้อนรับพลางกล่าวด้วยท่าทีสุภาพจ้าวไท่ไหลเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนเดินลอยหน้าลอยตาไปนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับรับรองแขก แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้ามีธุระกิจใหญ่จะเจรจากับหลันเยว่เซวียน ตัวเจ้ายังไม่คู่ควรจะพูดกับข้า รีบไปเรียกเจ้าของร้านออกมา!”เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แม้จะไม่พอใจกับท่าทีของจ้าวไท่ไหลที่ดูหยิ่งยโส แต่ด้วยความที่เขาเป็นเพียงลูกจ้างร้าน เขาจึงชินกับการเจอคนอย่างนี้มานานแล้ว และรู้ว่าตนไม่อาจมีปัญหากับคนที่แต่งกายสูงศักดิ์พวกนี้ได้ จึงรีบขานรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าของร้านไม่นานนัก ชายชราครึ่งร้อยผู้หนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาชายผู้นี้คือลุงสามแห่งตระกูลหลิวหลังจากโลดแล่นอยู่
“ไม่นานมานี้ ตระกูลหลิวต้องขายทรัพย์สินแทบทั้งหมดเพื่อหาเงินมาลงทุนในธนาคาร ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะเยาะในเมืองหลวง หากองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับพวกเขาจริงๆ คงไม่ถึงขั้นให้ตระกูลหลิวขายทรัพย์สินเช่นนั้นหรอก?”จ้าวไท่ไหลคิดว่าคำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลถ้าองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาให้ความสำคัญกับตระกูลหลิวจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องขายทรัพย์สินจนหมดตัวคนพูดเริ่มยุแยงอีกครั้ง “พี่จ้าว สมมติว่าหากพ่อของท่าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ท่านพ่อของพวกข้าก็เป็นคนของผู้อาวุโสและกำลังต่อสู้กับตำหนักบูรพาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรือ หากท่านสามารถสร้างปัญหาให้ตระกูลหลิวได้ ก็เท่ากับช่วยตระกูลท่านไปในตัวมิใช่หรือ?”เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนกดเสียงต่ำลง “อีกอย่าง ท่านกำลังจะไปจินหลิงในเดือนหน้า ต่อให้มีเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง ใครจะสนใจท่านล่ะ?”“หากได้สูตรมา ธุรกิจนี้ทำเงินได้ปีละน้อยสุดก็หลักล้านตำลึง”ยิ่งฟัง จ้าวไท่ไหลยิ่งรู้สึกหวั่นไหวโดยเฉพาะคำว่าธุรกิจปีละล้านตำลึง ทำให้เขาอดใจไม่ไหวอีกต่อไป“ไป! ไปพบกับตระกูลหลิวสักหน่อยดีกว่า!”จ้าวไท่ไหลวางแก้วสุราลงกับโต๊ะเสียงดัง ก่อนลุกขึ้นยืนเหล่าคุณชาย