“แต่รัฐทายาทเหวินอ๋องยกให้จ้าวไท่ไหลเป็นผู้นำสมาคมคนแรก จ้าวไท่ไหลคงไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาหรอกนะ?” ซูจิ่นพ่าถาม หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “นี่คือส่วนที่ร้ายกาจที่สุด”“ผู้นำสมาคมจะอยู่ได้ไม่นาน มันเป็นเพียงชื่อ อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของเขา ตราบใดที่เขาสามารถมีอิทธิพลต่อสมาคมเหวินหยวนได้ตลอดเวลา เช่นนั้นเป้าหมายของสองพ่อลูกก็บรรลุผล”“ดูท่าทางภาคภูมิใจของจ้าวไท่ไหลสิ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นถูกสองพ่อลูกเหวินอ๋องใช้เป็นโล่บังธนู” “หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น แล้วทางราชสำนักต้องการจะกวาดล้าง หรือสมาคมเหวินหยวนทำให้พวกเขารู้สึกระแวงขึ้นมา ใครล่ะคือผู้รับผิดชอบเป็นคนแรก? แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้นำสมาคม”“จ้าวไท่ไหลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นถึงแม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงใช้จมูกไปจับคน การเดินหมากของเหวินอ๋องตานี้ฉลาดมาก” “แต่นี่ก็ไม่ใช่ข่าวไม่ดีแต่อย่างใด อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าจ้าวเสวียนจีกับเหวินอ๋องไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกัน”ขณะที่หลี่เฉินอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ซูจิ่นพ่าก็รู้สึกว่า ด้านมืดอันน่าเกลียดซึ่งซ่อนอยู่ในสวนอี้เหมยแห่งนี้ได้ถ
เสียงอุทานของผู้คนโดยรอบต่างดึงดูดผู้คนให้เข้ามาชมมากขึ้นซูจิ่นพ่าเพิกเฉยต่อสีหน้าเหยเกของจ้าวไท่ไหล และหันไปมองรัฐทายาทเหวินอ๋องซึ่งมีสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “รัฐทายาท ไม่ใช่ว่าพระองค์ต้องการให้ข้าเชิญผู้แต่ง มาหรอกหรือ?” “ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่แล้ว”“และ นี้ ข้าคัดลอกด้วยลายมือของข้าเอง ข้าสงสัยว่ามันจะมีมูลค่าเท่าไร?” รัฐทายาทเหวินอ๋องขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคุณชายฉินที่อยู่ตรงหน้าเขา คือผู้แต่งลำนำหอเถิงหวัง?เมื่อมองไปที่หลี่เฉิน รัฐทายาทเหวินอ๋องก็แอบตกใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ คนผู้นี้หยิ่งยโสโอหังก็ช่างเถอะ แต่ทำไมถึงได้มีความสามารถขนาดนี้? ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่มีการเผยแพร่ บรรดานักวิชาการทั่วใต้หล้าต่างปรบมือและทอดถอนใจ แม้แต่บิดาของเขาเหวินอ๋องก็ยังกล่าวถึงคนผู้นี้ในจดหมาย ถ้าหากคนที่มีความสามารถเช่นนี้คิดจะทำการใหญ่ ก็คงจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหาผู้แต่งแต่ไม่คิดว่า หาไปหามาจะเจอหลี่เฉินเข้าสีหน้าของจ้าวไท่ไหลพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึมลำนำหอเ
“ประโยคนี้กล่าวเกินจริงไปมาก”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แต่ท่าทางสงบและผ่อนคลายของเขานั้น ทำให้ความโกรธของจ้าวไท่ไหลพุ่งทะยานเป็นร้อยเท่า“ทำไมถึงบอกว่าปั่นหัวล่ะ? คุณชายจ้าวเป็นผู้นำสมาคมเหวินหยวนอันสูงส่ง ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่รู้สึกชื่นชมเจ้า พวกเขาคงแทบรอไม่ไหวที่จะได้กอดต้นขาเจ้า แล้วข้าจะกล้าปั่นหัวเจ้าได้อย่างไร?”“นี่เป็นโอกาสของคุณชายจ้าวที่จะได้แสดงบารมีของผู้นำสมาคม หนึ่งแสนตำลึง มีแต่ผู้นำสมาคมเท่านั้นที่จะฟุ่มเฟือยขนาดนี้ได้ มอบให้เขาสิ ข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ ชื่นชมจริงๆ นะ”หลี่เฉินพูดจบ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วจูงซูจิ่นพ่าเดินจากไปทั้งจ้าวไท่ไหลและรัฐทายาทเหวินอ๋องก็ไม่มีใครพูดอะไรจ้าวไท่ไหลโกรธจัดจนแทบระเบิดตัวตาย แต่รัฐทายาทเหวินอ๋องกลับจ้องมองแผ่นหลังของหลี่เฉินด้วยความรู้สึกยำเกรง เขามีลางสังหรณ์ว่าการยั่วยุคนๆ นี้จะทำให้เขาเดือดร้อนหนักมาก หลังออกจากสวนอี้เหม่ยแล้ว ท่าทางผ่อนคลายและรอยยิ้มของหลี่เฉินก็หายไปทันทีซูจิ่นพ่ามองไปที่หลี่เฉิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “ท่านพ่ออยู่ที่จวน เจ้าจะกลับไปพร้อมกับข้าหรือไม่?” หลี่เฉินเก็บค
“ถึงแล้ว”ซูจิ่นพ่าปลุกหลี่เฉิน หลี่เฉินลืมตาขึ้นและบิดขี้เกียจก่อนออกจากรถม้าหลังจากงีบหลับไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็รู้สึกสดชื่นขึ้น เขาหันไปพูดกับซูจิ่นพ่าอย่างร่าเริงว่า “ครั้งหน้าถ้าข้าง่วง ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”หลังจากซูจิ่นพ่าได้ยินประโยคนี้ นางก็ถลึงตาใส่เขาอย่างโมโห แล้วทิ้งท้ายประโยคหนึ่งว่าฝันไปเถอะ และวิ่งหนีไปเมื่อเข้ามาในจวนแม่ทัพใหญ่ หลี่เฉินก็ไม่ได้หยอกล้อซูจิ่นพ่าอีกต่อไป เขาสั่งให้ใครซักคนไปเรียกซูเจิ้นถิงมาและตรงไปที่ห้องหนังสือที่นอกจากซูเจิ้นถิงแล้วก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป ตอนที่ซูเจิ้นถิงมาถึง หลี่เฉินก็กำลังพลิกดูเอกสารทางการหลายฉบับบนโต๊ะของซูเจิ้นถิง และอ่านอย่างตั้งใจเอกสารเหล่านี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอ่านคงโดนโทษประหารไปแล้ว แต่สำหรับหลี่เฉินนั้นเขามีสิทธิที่จะอ่าน ซูเจิ้นถิงประสานมือกล่าวว่า “ฝ่าบาท”หลี่เฉินพยักหน้าแล้ววางเอกสารลง ก่อนจะกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “ท่านแม่ทัพเชิญนั่ง” หากพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องที่จะพูดคุยต่อไปนี้ เป็นการพูดคุยระหว่างองค์รัชทายาทกับแม่ทัพใหญ่ เป็นเรื่องทางการซูเจิ้นถิงพยักหน้าและนั่งลงที่เก้าอี้แขก ไม่มีใครคิดว่ามีอะไ
แค่ได้ยินเสียงสายก็ทราบความนัย ยิ่งไปกว่านั้นซูเจิ้นถิงเป็นใครในฐานะอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางทหารอย่างลับๆ ที่องค์จักรพรรดิทิ้งไว้ให้ เขาคือจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์เพียงแค่ฟังประโยคนี้ ก็คาดเดาเรื่องราวได้เจ็ดแปดส่วน “เรื่องนี้จะต้องตัดหางปล่อยวัด!”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในราชสำนักก็มีกลุ่มพรรคอยู่แล้ว โดยมีจ้าวเสวียนจีเป็นผู้นำ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับราชสำนักมานานกว่าสิบปี ในความคิดเห็นของกระหม่อม จะต้องไม่มีกลุ่มพรรคอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากพรรคนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ขนาดของมันอาจจะใหญ่กว่าของจ้าวเสวียนจี”หลี่เฉินยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “รัฐทายาทเหวินอ๋องถ่อมตัวมาหลายปี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกปิดผลลัพธ์ของวันนี้ และตอนนี้สมาคมเหวินหยวนของเขาก็ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว คงยากที่จะแก้ไขได้”“ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดยั้งการก่อตั้งได้ งั้นก็ทำลายมันซะ”เวลานี้เอง ซูเจิ้นถิงได้แสดงพฤติกรรมเด็ดเดี่ยวของแม่ทัพใหญ่ผู้อาจหาญขึ้นมา เขาพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปล่อยให้มันเติบโตได้”“สิ่งที่นายพลท่านแม่ทัพใหญ่พูด คือสิ่งที่ข้าต้องการ”หลี่
“ฝ่าบาท ทรงประสงค์ให้กระหม่อมไปด้วยหรือไม่?”ซูเจิ้นถิงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้จึงถามหลี่เฉินส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น ตอนนี้ภาระของเจ้าหนักพอแล้ว จัดการเรื่องต่างๆ ในมือของเจ้าก่อนดีกว่า”ซูเจิ้นถิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดยืนกราน และยืนขึ้นเพื่อส่งหลี่เฉินออกจากจวนเมื่อเห็นหลี่เฉินกลับไป ระหว่างทางกลับเดินกลับ ซูเจิ้นถิงก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลมจะรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีฉังชิงนั้นไม่มีมูลความจริงแต่เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง เพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างคดีให้มั่นคง มีบางคนจงใจที่จะฆ่าสวีฉังชิง เพื่อตัดนิ้วของตำหนักบูรพาออกเมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือของตัวเอง ซูเจิ้นถิงก็ถอนหายใจเบาๆ เขาตัดสินใจจะไม่แทรกแซงเรื่องนี้ และทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากองค์รัชทายาทให้ดีแม้ว่าเขาและองค์รัชทายาทจะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วองค์รัชทายาทก็เป็นนาย ส่วนเขาก็คือลูกน้อง การยื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลี่เฉินกลับมาถึงตำหนักบูรพา เอกสารอย่างเป็นทางการจากกรมย
“เยี่ยมมาก”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ในเอกสารระบุว่า สวีฉังชิงซื้อขายตำแหน่งขุนนาง มีหลักฐานหรือไม่?”เฉียนซื่อเหยียนตอบว่า “กระหม่อมได้สอบปากคำสมุบาญชีย์กรมครัวเรือนสองนาย พวกเขายอมรับสารภาพว่า ตำแหน่งของพวกเขาได้มาจากการติดสินบนสวีฉังชิงด้วยเงิน 500 ตำลึงและ 600 ตำลึงตามลำดับ โดยเงินสกปรกเหล่านั้นถูกค้นพบในบ้านของสวีฉังชิง และถูกอายัดไว้ในกรมยุติธรรม”“นอกจากนี้ ตามคำรับสารภาพของสมุบาญชีย์ทั้งสองคน ไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีคนอีกเจ็ดคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งพวกเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสวีฉังชิง และติดสินบนเขาผ่านช่องทางต่างๆ สวีฉังชิงยอมรับพวกเขาทีละคน และมอบตำแหน่งของพวกเขาในเจียงซู เจ้อเจียง หมิ่นเซิ่ง และชวนซี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้”หลี่เฉินฟังอย่างเงียบๆ และพูดว่า “เอาล่ะ นี่คือการขายตำแหน่ง แล้วการซื้อตำแหน่งล่ะ เจ้ารู้ไหมว่าตำแหน่งรองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้ายของเขา ซื้อมาจากใคร?” สีหน้าสงบนิ่งของเฉียนซื่อเหยียนก็พลันแข็งทื่อเขาไม่คาดว่าหลี่เฉินจะถามคำถามเช่นนี้ มีขุนนางในราชสำนักคนไหนบ้างที่ไม่ทราบว่า รองเสนาบด
ประโยคนี้ หนักแน่นดุจเขาไท่ซานใบหน้าของเฉียนซื่อเหยียนพลันกระตุก เขากำแขนเสื้อแน่น กัดฟันแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์จะเริ่มจากตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?” “สามหมื่นตำลึง!”หลี่เฉินยืนขึ้น และเดินเข้าไปหาเฉียนซื่อเหยียน กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง เงินที่เข้าและออกจากกรมครัวเรือนจะต้องได้รับการอนุมัติจากสวีฉังชิง ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 80,000 ถึง 100,000 ตำลึงทุกวัน หากมีการบรรเทาภัยพิบัติครั้งใหญ่ เงินเดือน หรือค่าจ้างทหาร ก็อาจจะเกินล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย”“เงินหมุนเวียนที่มากมายเช่นนี้ อีกทั้งสวีฉังชิงก็มีอำนาจในการอนุมัติการเข้าและออกแต่เพียงผู้เดียว หากเขาเกิดความโลภ บวกกับทำงานในกรมครัวเรือนมาครึ่งชีวิต เขาก็สามารถนำเงินจำนวนมากออกไปได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ถ้าหากไม่ใช่ราชสำนักตรวจสอบบัญชี คนธรรมทั่วไปก็คงไม่มีใครค้นพบ”“เงินทองกองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้ากลับไม่เอา แต่ดันไปหาหัวขโมยข้างนอกมาขโมยเงินในท้องพระคลังสามหมื่นตำลึง เจ้าคิดว่าเขาสมองหมูหรือไม่?”เมื่อมองไปที่เฉียนซื่อเหยียน หลี่เฉินก็ตะคอกใส่ว่า “หรือว่าเสนาบดีกรมยุติธรร
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า
บางครั้ง คำพูดก็เป็นอาวุธที่ทำร้ายได้ลึกยิ่งกว่าคมดาบโดยเฉพาะเมื่อใช้จัดการกับคนอย่างเย่ลู่กู่จ้านฉีเขาเคยอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาต้องอดทนต่อความอัปยศแต่หลังจากถูกนำตัวมายังเมืองหลวงต้าฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง ความลำบากใจประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อนตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นเพียงเชลยศึกถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถือดีว่าหลี่เฉินจะไม่ฆ่าเขา และพยายามรักษาศักดิ์ศรีในฐานะท่านอ๋องเอาไว้แต่ศักดิ์ศรีนั้นถูกหลี่เฉินบดขยี้จนป่นปี้เย่ลู่กู่จ้านฉีจ้องหลี่เฉินด้วยสายตาแข็งกร้าว หากไม่ใช่เพราะกำลังพลด้อยกว่า เขาคงได้ฉีกหลี่เฉินเป็นชิ้นๆ ไปแล้วเขาแสยะยิ้มเยือกเย็น ก่อนเอ่ยว่า "ดีๆๆ! แต่หากข้าจับโอกาสได้สักครั้ง ข้าจะบีบกระดูกเจ้าทีละข้อจนแหลกคามือ!""พูดจาข่มขู่ ใครๆ ก็พูดได้"หลี่เฉินหัวเราะเยาะ พลางกล่าวว่า "หากการพูดเพียงอย่างเดียวทำให้ชนะได้ แคว้นเหลียวของเจ้าไม่ต้องเลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าแล้ว แค่นั่งอยู่ในบ้านแล้วปล่อยคำพูดลอยลมออกไป ก็คงครองแผ่นดินได้ทั้งปวง"กร็อบเย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วลั่นเสียงดังเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ม
การมาถึงของหลี่เฉิน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรในบริเวณตำหนักบูรพาคุกเข่าลงราวกับคลื่นลูกใหญ่กงฮุยอวี่ที่อยู่บนหลังคาเหลือบมองหลี่เฉินเพียงครู่เดียว ก่อนจะหมุนตัวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยหญิงผู้นี้ยังคงเย็นชา และดูเหมือนจะไม่เป็นมิตร นางพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับหลี่เฉินอยู่เสมอ ซึ่งหลี่เฉินเองก็หาได้ใส่ใจไม่เขาคิดในใจว่าน้ำอุ่นต้มกบ ค่อยๆ ทนรอไป สักวันคงมีโอกาสส่วนซานเป่าซึ่งอยู่หน้าประตูตำหนัก กลับไม่มีท่าทียโสเช่นนั้น เมื่อเห็นหลี่เฉินที่พาวั่นเจียวเจียวมาด้วย เขารีบลุกขึ้นมาทักทายทันที"บ่าวขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า "ข้าจะไปพบเย่ลู่กู่จ้านฉี จดหมายของเขา ส่งออกไปแล้วหรือยัง?"ซานเป่ากล่าวตอบด้วยความเคารพว่า "ส่งออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเขาเองที่สั่งให้หนึ่งในองครักษ์ของเขาดำเนินการ บ่าวปฏิบัติตามรับสั่งขององค์ชาย จึงไม่ได้ขัดขวางพ่ะย่ะค่ะ""สายลับของแคว้นเหลียวในเมืองหลวงมีอยู่ไม่น้อย ให้เขาใช้ช่องทางของเขาเองก็ดี พวกเขาถึงจะเชื่อ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย"พูดพลาง หลี่เฉินก้าวเข้าไปในตำหนักปีกแม้จะเป็นตำหนักปีก แต่การตกแต่ง
"นำรายงานจากกรมครัวเรือนมาให้ข้าดู"หลี่เฉินสั่งวั่นเจียวเจียวให้นำรายงานจากกรมครัวเรือนที่ส่งมาช่วงเช้าออกมา พลางเปิดอ่านดูเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีรายจ่ายอื่น ๆ ยังถือว่าอยู่ในงบประมาณตามปกติ แต่วันนี้ที่ต้องจัดเลี้ยงทหารทั้งสามกองทัพ เพียงวันแรกก็หมดเงินไปหลายหมื่นตำลึงแล้วอย่ามองว่าเป็นตัวเลขน้อย นี่เพียงแค่วันเริ่มต้นเท่านั้น ตามธรรมเนียม ทัพผู้ชนะจะต้องจัดเลี้ยงตามขนาดของศึก หากศึกเล็กจัดเจ็ดวัน หากศึกใหญ่จัดเลี้ยงได้นานถึงหนึ่งเดือน ของใช้ต่าง ๆ อาหาร สุรา สำหรับคนหลายหมื่นคน เพียงแค่ค่าใช้จ่ายปกติในหนึ่งวันก็มหาศาลแล้ว ยังไม่นับถึงอาหารเลี้ยงฉลอง เช่น ปลาตัวใหญ่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ต้องเชือดวัว เชือดแกะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเงินของราชสำนักประกอบกับภัยพิบัติยังไม่ได้รับการฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ราคาสินค้าต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ไม่เพียงชาวบ้านทั่วไปที่ลำบาก แม้แต่ราชสำนักเองยังแทบรับไม่ไหวตามที่กรมครัวเรือนคำนวณไว้ ค่าเลี้ยงฉลองทั้งหมดจะต้องใช้เงินอย่างน้อยสามถึงสี่แสนตำลึง และนี่เป็นเพียงค่าเลี้ยงฉลองเท่านั้น ยังมีค่าตอบแทนวีรกรรมรบ ค่าชดเชยสำห
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล